วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 07:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 13:16
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บ้านเราเปิดกิจการร้านอาหารค่ะประเภทเนื้อย่าง การค้าขายเนื้อสัตว์นั้นเป็นอาชีพต้องห้าม 5 อย่างของพระพุทธเจ้าที่ไม่ควรทำด้วยใช่ไหมค่ะ เราอยากจะทำบุญใส่บาตรให้กับวิญญาณของสัตว์เหล่านั้น เราควรจะพูดอย่างไรค่ะเวลาที่เรากรวดน้ำรึว่าเวลาที่เราทำบุญให้กับเค้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออโหสิกรรมแด่สัตว์ที่เราเอามาขาย และไม่ได้เอามาขาย กิน และไม่ได้กินด้วยกันทั้งหมด
รวมทั้งนั่งสมาธิวิปัสสนาพิจารณาโทษของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามที่พระพุทธเจ้าท่านชี้แนะมา
ส่วนบทสวดต้องปรึกษาพระผู้รู้ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 22:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อาชีพต้องห้ามคือการค้าสัตว์ที่มีชีวิต
ไม่รู้ว่าร้านของคุณจขกท.ซื้อแบบที่เค้าฆ่าแล้ววางขายอยู่แล้วหรือเปล่า
เพราะหากไม่เอาสัตว์มีชีวิตมาฆ่าด้วยตนเอง
ไม่รู้ ไม่เห็น เขาฆ่าสัตว์เพื่อเรา
และต้องไม่สั่งให้เขาฆ่าเพื่อเอาเนื้อมาประกอบอาหาร
ไม่ผิดศีลข้อ 1 ค่ะ

เรามีบุญแล้วสามารถอุทิศบุญให้เค้าได้ แต่เขาต้องอยู่ในสถานภาพที่รับได้
ไม่ไปเกิดในภพภูมิที่กันดารห่างไกล สัตว์นรกทุกขณะจิตเสวยแต่ความทุกข์
เปรตทุกขณะจิตเสวยแต่ความหิวโหย
ยกเว้นเปรตปรทัตตุปชีวี ที่พอจะมีเวลาว่างคอยรับส่วนบุญจากผู้อุทิศให้

ขอยกคำตอบของคำถามที่คล้ายกัน ของดร.สนอง วรอุไร มา ณ ที่นี้ค่ะ
การทำธุรกิจเกี่ยวกับหนังสัตว์ ไม่ผิดศีลข้อปาณาติบาต เพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่าเพื่อเอาหนังมาทำเครื่องใช้ แต่อาจผิดศีลข้อ 2 อทินนา ตรงที่ว่าหากมีสัตว์ตัวใดเห็นผิด ผูกพยาบาทจองเวรกับผู้ที่เอาชิ้นส่วนของซากศพไปใช้ โดยมิได้ขออนุญาตจากเจ้าของซาก ทางที่ปลอดภัย ควรบังสุกุลตาย ก่อนนำหนังสัตว์เข้าสู่โรงงาน และทำให้ดียิ่งขึ้น ควรทำบุญบ่อย ๆ แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับสัตว์ทุกตัวที่เราไปเอาหนังของเขามาใช้ (บังสุกุลตายหาดูได้จากหนังสือสวดมนต์ทั่วไป)

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีลข้อ1 มีองค์ประกอบ 5 อย่าง
คือต้องครบห้าอย่าง ถึงจะถือว่าผิดศีล ศีลขาด

แต่ถึงองค์ไม่ครบ มันก็"หมอง"

ต่อไปนี้ ผมนำมาจากส่วนหนึ่งของบทความที่คุณควรจะอ่าน
ซึ่งจะได้ให้ลิงก์เอาไว้ตอนท้าย

อ้างคำพูด:

ศีลข้อ ๑ มีองค์ ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม เพียรเพื่อจะฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น


ถ้าครบองค์ ๕ ศีลข้อ ๑ ก็ขาด
ถ้าไม่ครบ ๕ ข้อ ศีลไม่ขาด แต่ก็เศร้าหมอง

โทษของศีลข้อ ๑ นี้
อย่างหนัก ทำให้ไปเกิดในอบาย เป็นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์ เดรัจฉาน
อย่างเบา ทำให้อายุสั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์

ถึงกระนั้นโทษของการล่วงศีลข้อนี้ก็หนักเบาต่างกันด้วย
- ด้วยร่างกายของสัตว์ ๑
- ด้วยคุณของสัตว์ ๑
- ด้วยเจตนา ๑
- และด้วยความพยายาม ๑

กล่าวคือ ถ้าฆ่าสัตว์ใหญ่ โทษก็มาก
ถ้าฆ่าสัตว์เล็ก โทษก็น้อย

ถ้าฆ่าสัตว์มีคุณมาก โทษก็หนักมาก
ถ้าฆ่าสัตว์มีคุณน้อย โทษก็น้อยลดหลั่นกันลงไป

ถ้าเจตนา คือความจงใจแรง โทษก็แรง
ถ้าเจตนาคือ ความจงใจอ่อน โทษก็น้อย

ความพยายามมากโทษก็มาก
ความพยายามน้อยโทษก็น้อย

แต่อย่าได้คิดว่าเมื่อท่านฆ่าสัตว์เล็ก ทั้งมีคุณน้อย มีความจงใจอ่อน และมีความพยายามน้อย
โทษก็น้อย คงจะไม่น่ากลัว อย่าลืมว่า บาปอกุศลนั้นถึงแม้จะเล็กน้อยก็ไม่ควรทำ เพราะเมื่อสำเร็จเป็น
กรรมแล้ว ย่อมพาไปอบายได้เช่นเดียวกับโทษหนักเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอาจไปอยู่ในอบายชั่วระยะเวลา
อันสั้น ไม่ยาวนานเหมือนโทษหนัก เพราะฉะนั้นจึงควรสังวรระวังไม่ประมาทแม้โทษเพียงเล็กน้อย

ใน อรรถกถาวัมมิกสูตร มัช.มูล. เล่าถึงพวกโจรที่ฆ่าอุบาสกที่เป็นพระอนาคามีว่าทำให้ตาบอดทันที
เพราะผู้ถูกฆ่าเป็นสัตว์ใหญ่ มีคุณธรรมสูง เจตนาของโจรก็แรง ผลจึงเกิดขึ้นในปัจจุบันทันที
ยังไม่ต้องกล่าวถึงโทษที่จะเกิดในอนาคตว่าจะร้ายแรงแค่ไหน


นำมาจาก
ศีล เป็นอาภรณ์อันประเสริฐ ( สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ ) --- ประณีต ก้อง สมุทร
http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 17 ก.ค. 2010, 00:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 06:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


gingglebell เขียน:
บ้านเราเปิดกิจการร้านอาหารค่ะประเภทเนื้อย่าง การค้าขายเนื้อสัตว์นั้นเป็นอาชีพต้องห้าม 5 อย่างของพระพุทธเจ้าที่ไม่ควรทำด้วยใช่ไหมค่ะ เราอยากจะทำบุญใส่บาตรให้กับวิญญาณของสัตว์เหล่านั้น เราควรจะพูดอย่างไรค่ะเวลาที่เรากรวดน้ำรึว่าเวลาที่เราทำบุญให้กับเค้า
จันทร์ ณ ฟ้า เขียน:
อาชีพต้องห้ามคือการค้าสัตว์ที่มีชีวิต
ไม่รู้ว่าร้านของคุณจขกท.ซื้อแบบที่เค้าฆ่าแล้ววางขายอยู่แล้วหรือเปล่า
เพราะหากไม่เอาสัตว์มีชีวิตมาฆ่าด้วยตนเอง
ไม่รู้ ไม่เห็น เขาฆ่าสัตว์เพื่อเรา
และต้องไม่สั่งให้เขาฆ่าเพื่อเอาเนื้อมาประกอบอาหาร
ไม่ผิดศีลข้อ 1 ค่ะ

คุณจันทร์ ที่คุณตอบมาผมว่า เป็นคำตอบแบบเลี่ยงบาลีนะครับ
สิ่งไหนที่คุณทำได้ คุณบอกว่าบุญ แต่อันไหนทำไม่ได้
ต้องบอกว่าบาปด้วยซิครับ ไม่ใช่เลี่ยงว่าไม่บาป

จริงหรือครับที่ว่าไม่รู้ไม่เห็น แล้วที่ว่า "เขาไม่ฆ่าเพื่อเรา"
ถ้าเราไม่ไปซื้อเขาจะฆ่ามั้ยครับ แล้วที่ซื้อมาไม่ใช่เพื่อประกอบอาหาร
ไว้ขายชาวบ้านหรือ ผมเห็นแม่ค้าขายอาหารจะซื้อเนื้อเพื่อประกอบอาหาร
จะต้องถามผู้ขายทุกที่ว่า เนื้อนี้สดหรือเปล่า ลองให้ผู้ขายบอกว่า ไม่สดหรือ
บอกว่า ไม่ต้องกลัวบาปหรอกนะ เนื้อนี้เราไม่ได้ฆ่า มันตายของมันเอง
ถามจริงคุณจะซื้อมั้ยครับ ไม่ต้องบอกหรอกครับว่าเป็นอะไรตาย เราต้องคิดว่า
มันเป็นโรคตาย คุณกล้าซื้อมั้ยครับ

....คนที่กินเนื้อสัตว์ แล้วฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารสำหรับตนเอง
ผมว่ายังบาปน้อยกว่า คนที่ขายอาหารที่มาจากสัตว์เสียอีก
ลองดูนะครับอีกคนทำเพื่อการอยู่รอดของชีวิต
อีกคนทำเพื่อผลประโยชน์ เพื่อการเพิ่มพูนของทรัพย์สิน

ชาติสยาม เขียน:
ศีลข้อ1 มีองค์ประกอบ 5 อย่าง
คือต้องครบห้าอย่าง ถึงจะถือว่าผิดศีล ศีลขาด
แต่ถึงองค์ไม่ครบ มันก็"หมอง"
ศีลข้อ ๑ มีองค์ ๕ คือ[/b]
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม เพียรเพื่อจะฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น

ผมขอยกตัวอย่างองค์ประกอบ5อย่างมาพิจารณา
1.สัตว์มีชีวิต ... ถ้าคุณไปเจตนาว่าจะซื้อและคนขายไม่ฆ่า สัตว์ตัวนั้นยังคงมีชีวิตอยู่มั้ยครับ
2.รู้ว่าสัตว์มีชีวิต...ขณะที่คุณกำลังทำความสะอาดเนื้อ คุณเห็นเศษเลือดและกลิ่นคาว
คุณคงรู้นะครับว่า เนื้อนั้นพึ่งผ่านการฆ่ามา แล้วก่อนที่จะมาเป็นก้อนเนื้อ มันมีชีวิตมั้ยครับ
3.จิตคิดจะฆ่า...จิตคิดที่จะขายอาหารเพื่อผลประโยชน์ จิตคิดที่จะหาวัตถุดิบ
จิตคิดว่าวัตถุดิบนั้นคืออะไร และขบวนการที่จะมาเป็นวัตถุดิบต้องผ่านอะไรมาบ้าง
นี่แหล่ะครับ จิตที่คิดจะฆ่า
4.เพียรเพื่อฆ่า...การที่ต้องออกไปซื้อหรือต้อง จ่ายเงินทองเพื่อให้ได้มาทุกคราว
มันเป็นความเพียรนะครับ
5.สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น....ข้อนี้คุณมองย้อนไปจากข้อหนึ่งถึงสี่ แล้วเหลี่ยวมอง
ก้อนเนื้อสดที่คุณกำลังทำอาหารเพื่อจำหน่ายดู
จากสิ่งที่มีชีวิต จนมาเป็นก้อนเนื้อที่ไม่มีชีวิต มันเกิดจากขบวนการของคุณ

คุณหรือใครๆอาจเรียกว่า ความเพียรในการทำมาหากิน แต่ผมเรียกว่า
ความเพียรในการทำให้สัตว์ต้องมาตายลงเพราะผลประโยชน์ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่าถ้าตีความแบบคุณโฮฮับ

พระพุทธเจ้าจะผิดศีลเป็นคนแรกเลยครับ

มาดูกัน


โฮฮับ เขียน:
1.สัตว์มีชีวิต ... ถ้าคุณไปเจตนาว่าจะซื้อและคนขายไม่ฆ่า สัตว์ตัวนั้นยังคงมีชีวิตอยู่มั้ยครับ

ถ้าพระพุทธเจ้าไม่รับประเคนซะอย่าง วันหลังเขาจะเอามาถวายไหมครับ
สัตว์ตัวนั้นยังคงมีชีวิตอยู่มั้ยครับ
เพราะทรงรับประเคน เขาจึงนำมาถวาย

จะมีเนื้อบางอย่างเท่านั้น ที่ไม่ทรงรับ


โฮฮับ เขียน:
2.รู้ว่าสัตว์มีชีวิต...ขณะที่คุณกำลังทำความสะอาดเนื้อ คุณเห็นเศษเลือดและกลิ่นคาว
คุณคงรู้นะครับว่า เนื้อนั้นพึ่งผ่านการฆ่ามา แล้วก่อนที่จะมาเป็นก้อนเนื้อ มันมีชีวิตมั้ยครับ

เวลาพระพุทธเจ้าฉันเนื้อ ท่านจะไม่รู้หรือ ว่าเนื้อนั้นพึ่งผ่านการฆ่ามา
แล้วก่อนที่จะมาเป็นก้อนเนื้อ มันมีชีวิตมั้ยครับ



โฮฮับ เขียน:
3.จิตคิดจะฆ่า...จิตคิดที่จะขายอาหารเพื่อผลประโยชน์ จิตคิดที่จะหาวัตถุดิบ
จิตคิดว่าวัตถุดิบนั้นคืออะไร และขบวนการที่จะมาเป็นวัตถุดิบต้องผ่านอะไรมาบ้าง
นี่แหล่ะครับ จิตที่คิดจะฆ่า

อันนี้คุณตีความเกินไป
จิตคิดจะฆ่านั้น มันต้องยืนพื้นจากองค์ประกอบ 2 ข้อแรกด้วย
คือรู้ทั้งรู้ว่าสัตว์นี้เป็นสิ่งมีชีวิต กำลังมีชีวิต แล้วจึงคิดจะปลงชีวิตนั้นลงเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง
คนขายต่างหากครับ ที่มีจิตคิดจะฆ่า
คนไปซื้อ เขาไม่ได้มีจิตคิดจะฆ่าด้วยนี่ครับ คนซื้อเขาซื้อ"ซาก"


โฮฮับ เขียน:
4.เพียรเพื่อฆ่า...การที่ต้องออกไปซื้อหรือต้อง จ่ายเงินทองเพื่อให้ได้มาทุกคราว
มันเป็นความเพียรนะครับ

คุณตีความเกินไปอีกแล้ว

เราดูละครแล้วเกลียดตัวโกง มันเลวเหลือเกิน อยากจะฆ่ามัน
แต่ถ้าไม่ลงมือ มันก็ไม่ครบองค์ประกอบ

การออกไปซื้อของ มันไม่ได้เป็นความเพียรในการฆ่าซะหน่อยนึงครับ
คนละเรื่องเลย


โฮฮับ เขียน:
5.สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น....ข้อนี้คุณมองย้อนไปจากข้อหนึ่งถึงสี่ แล้วเหลี่ยวมอง
ก้อนเนื้อสดที่คุณกำลังทำอาหารเพื่อจำหน่ายดู
จากสิ่งที่มีชีวิต จนมาเป็นก้อนเนื้อที่ไม่มีชีวิต มันเกิดจากขบวนการของคุณ

คุณหรือใครๆอาจเรียกว่า ความเพียรในการทำมาหากิน แต่ผมเรียกว่า
ความเพียรในการทำให้สัตว์ต้องมาตายลงเพราะผลประโยชน์ครับ


ถ้าตีความแบบคุณ คุณก็จะเหมือนพระเทวทัตตอนที่เสนอพระพุทธเจ้าให้ห้ามรับประเคนเนื้อสัตว์
แต่แปลก พระพุทธเจ้าไม่รับข้อเสนอนั้น
และยังคงให้รับประเคนอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์อยู่ (เว้นแต่เนื้อ 10 อย่าง)
และป่านนี้ศาสนาพุทธ จะต้องเป็นศาสนาที่กินเจ


ส่วนตัว ผมเห็นด้วยกับคุณจันทร์ทุกประการ
จันทร์ ณ ฟ้า เขียน:
อาชีพต้องห้ามคือการค้าสัตว์ที่มีชีวิต
ไม่รู้ว่าร้านของคุณจขกท.ซื้อแบบที่เค้าฆ่าแล้ววางขายอยู่แล้วหรือเปล่า
เพราะหากไม่เอาสัตว์มีชีวิตมาฆ่าด้วยตนเอง
ไม่รู้ ไม่เห็น เขาฆ่าสัตว์เพื่อเรา
และต้องไม่สั่งให้เขาฆ่าเพื่อเอาเนื้อมาประกอบอาหาร
ไม่ผิดศีลข้อ 1 ค่ะ

คุณจันทร์พูดว่าไม่ผิดศีล
ก็มันไม่ครบองค์จริงๆ ก็เรียกว่าไม่ผิดศีล ก็ถูกแล้ว

แต่ถามว่าแล้วถ้าศีลไม่ขาด แล้วจะไม่ได้รับผลกรรมอะไรหรือ อันนี้มันอีกเรื่องหนึ่ง
ถึงศีลไม่ขาด อย่างไรเสียก็ต้องมีเวรภัยอยู่
ง่ายๆเลย ก็เจ้าของกระทู้นี่ไงครับ ถึงไม่ครบองค์ประกอบ
แต่ก็ไม่สบายใจ เศร้าหมองอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นการเสวยวิบาก


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 17 ก.ค. 2010, 09:25, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ผมว่าถ้าตีความแบบคุณโฮฮับ
พระพุทธเจ้าจะผิดศีลเป็นคนแรกเลยครับ
มาดูกัน
โฮฮับ เขียน:
1.สัตว์มีชีวิต ... ถ้าคุณไปเจตนาว่าจะซื้อและคนขายไม่ฆ่า สัตว์ตัวนั้นยังคงมีชีวิตอยู่มั้ยครับ

ถ้าพระพุทธเจ้าไม่รับประเคนซะอย่าง วันหลังเขาจะเอามาถวายไหมครับ
สัตว์ตัวนั้นยังคงมีชีวิตอยู่มั้ยครับ
เพราะทรงรับประเคน เขาจึงนำมาถวาย
จะมีเนื้อบางอย่างเท่านั้น ที่ไม่ทรงรับ

ท่านชาติสยามครับ เราจะเอาพระไตรปิฎกหรือพระวินัยมาใช้
เราต้องไม่ลืมใช้ ธรรมวิจยะมาเป็นประธานในการพิจารณาควบคู่ไปด้วย
อย่างเช่นกรณีนี้ ที่ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่รับประเคนก็หมดเรื่อง

ท่านต้องไม่ลืมว่า ยังมีพระวินัยที่ใช้กำหนด การกินการอยู่ของพระอีกนะครับ
ซึ่งผมว่ามันสำคัญกว่า การรับหรือไม่รับประเคน

อย่างเช่น พระสงฆ์จะต้องบิณทบาตรแต่อย่างเดียว ห้ามปรุงอาหารเอง
หรือพระสงฆ์ห้ามปฏิเสธ ในการรับบิณทบาตรฆราวาส ยกเว้นเนื้อสิบอย่างที่กำหนดไว้

จะเห็นได้ว่าพระสงฆ์ไม่มีทางเลือกในเรื่องอาหาร
แต่ฆราวาวาสเลือกได้ครับ
ชาติสยาม เขียน:
โฮฮับ เขียน:
2.รู้ว่าสัตว์มีชีวิต...ขณะที่คุณกำลังทำความสะอาดเนื้อ คุณเห็นเศษเลือดและกลิ่นคาว
คุณคงรู้นะครับว่า เนื้อนั้นพึ่งผ่านการฆ่ามา แล้วก่อนที่จะมาเป็นก้อนเนื้อ มันมีชีวิตมั้ยครับ

เวลาพระพุทธเจ้าฉันเนื้อ ท่านจะไม่รู้หรือ ว่าเนื้อนั้นพึ่งผ่านการฆ่ามา
แล้วก่อนที่จะมาเป็นก้อนเนื้อ มันมีชีวิตมั้ยครับ

ดังที่ว่ามาแล้ว ท่านเลือกไม่ได้ครับ เพราะท่านมีสิทธิเป็นเพียงผู้ขอและผู้รับ
ไม่มีสิทธิปฏิเสธและเลือกครับ

เนื้อสิบอย่างผมก็ว่าอยู่ในหลักเกณท์นี้เพียงแต่ว่า เมื่อรับมาแล้วห้ามฉันท์ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
โฮฮับ เขียน:
3.จิตคิดจะฆ่า...จิตคิดที่จะขายอาหารเพื่อผลประโยชน์ จิตคิดที่จะหาวัตถุดิบ
จิตคิดว่าวัตถุดิบนั้นคืออะไร และขบวนการที่จะมาเป็นวัตถุดิบต้องผ่านอะไรมาบ้าง
นี่แหล่ะครับ จิตที่คิดจะฆ่า

อันนี้คุณตีความเกินไป
จิตคิดจะฆ่านั้น มันต้องยืนพื้นจากองค์ประกอบ 2 ข้อแรกด้วย
คือรู้ทั้งรู้ว่าสัตว์นี้เป็นสิ่งมีชีวิต กำลังมีชีวิต แล้วจึงคิดจะปลงชีวิตนั้นลงเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง
คนขายต่างหากครับ ที่มีจิตคิดจะฆ่า
คนไปซื้อ เขาไม่ได้มีจิตคิดจะฆ่าด้วยนี่ครับ คนซื้อเขาซื้อ"ซาก"

ท่านพอจะเข้าใจเรื่องเหตุปัจจัยมั้ยครับ เราจะดูเหตุปัจจัยอะไรสักเรื่อง
เพื่องมาแก้ปัญหาต่างๆเราต้องดู เหตุที่มาของต้นตอไม่ใช่ดูแค่ครึ่งเดียวครับ
มันดูไม่ค่อยมีเหตุผลครับ

ถ้าลองไล่เรียงมา ทั้งสามสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นเหตุปัจจัยของกัน
แล้วที่บอกว่าซื้อซาก เหตุที่ทำให้เกิดซาก มันมาจากการฆ่านะครับ
ดังที่ผมได้บอกไว้แล้วว่า ซากที่เกิดจากการตายเองของสัตว์
เขาคงไม่ต้องการ

ท่านไม่รู้สึกทะแม่งๆหรือครับ ที่บอกว่าไม่มีจิตคิดที่จะฆ่า
แต่อยากได้ซากที่เกิดจากการฆ่า แถมสิ่งที่ได้มาไม่ได้เอาไปเพื่อเป็นปัจจัยสี่
เอาสิ่งนี้ไปหาผลประโยชน์เป็นเงินทอง ขอโทษครับที่จะกล่าวว่า มันเป็นกิเลศล้วนๆครับ
ชาติสยาม เขียน:
โฮฮับ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
4.เพียรเพื่อฆ่า...การที่ต้องออกไปซื้อหรือต้อง จ่ายเงินทองเพื่อให้ได้มาทุกคราว
มันเป็นความเพียรนะครับ

คุณตีความเกินไปอีกแล้ว

เราดูละครแล้วเกลียดตัวโกง มันเลวเหลือเกิน อยากจะฆ่ามัน
แต่ถ้าไม่ลงมือ มันก็ไม่ครบองค์ประกอบ

การออกไปซื้อของ มันไม่ได้เป็นความเพียรในการฆ่าซะหน่อยนึงครับ
คนละเรื่องเลย

ครับเราไม่ได้ลงมือเอง แต่ถ้าจ้างคนอื่นไปฆ่าแทนละครับ
ก็เหมือนกับใช้เงินไปซื้อมา เงินที่ซื้อกับเงินที่จ้างความหมายเหมือนกันนะครับ

สิ่งที่ต้องทำทุกวันและผู้ที่กระทำเต็มใจ ไม่ได้โดนบังคับ
แบบนี้จะให้เรียกว่าอะไร ถ้าไม่ใช่ความเพียร แต่จะถูกจะควรมันอีกเรื่องครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
โฮฮับ เขียน:
5.สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น....ข้อนี้คุณมองย้อนไปจากข้อหนึ่งถึงสี่ แล้วเหลี่ยวมอง
ก้อนเนื้อสดที่คุณกำลังทำอาหารเพื่อจำหน่ายดู
จากสิ่งที่มีชีวิต จนมาเป็นก้อนเนื้อที่ไม่มีชีวิต มันเกิดจากขบวนการของคุณ

คุณหรือใครๆอาจเรียกว่า ความเพียรในการทำมาหากิน แต่ผมเรียกว่า
ความเพียรในการทำให้สัตว์ต้องมาตายลงเพราะผลประโยชน์ครับ


ถ้าตีความแบบคุณ คุณก็จะเหมือนพระเทวทัตตอนที่เสนอพระพุทธเจ้าให้ห้ามรับประเคนเนื้อสัตว์
แต่แปลก พระพุทธเจ้าไม่รับข้อเสนอนั้น
และยังคงให้รับประเคนอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์อยู่ (เว้นแต่เนื้อ 10 อย่าง)
และป่านนี้ศาสนาพุทธ จะต้องเป็นศาสนาที่กินเจ

ข้อนี้ผมได้ให้เหตุผลไว้ในข้อหนึ่งและสองแล้วครับ

ถ้าเราใช้เหตุผลมาพิจารณา เราก็จะได้รับคำตอบทุกเรื่องในพระไตรปิฎก
แต่ถ้าเราขาดเหตุผล เราก็จะโยนความผิดหรือสิ่งไม่ดีไปให้นิกายอื่นเขาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หากความเห็นมีส่วนกระทบความรู้สึกต้องขออภัยค่ะ
ไม่ขอตีความในประเด็นที่โต้แย้งนะคะ
เพียงจะสื่อสิ่งที่จขกท.ขอความเห็น
ซึ่งจขกท.ก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อ และอาจต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ

บาปนั้นเกิดแล้วทุกขณะจิตที่จขกท.เกิดความไม่สบายใจ คงไม่ต้องย้ำอีก^^
หากเปลี่ยนอาชีพได้อาจจะทำไปแล้ว
คงไม่มีใครสบายใจบนเลือดเนื้อและน้ำตาของผู้อื่น
แต่ร้านอาหารเป็นของครอบครัว ไม่ใช่ของจขกท.คนเดียว

หากทำได้ ปฏิบัติธรรมแล้วอุทิศบุญกุศลให้เค้าก็จะดีค่ะ

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่งสมาธิ อุทิศบุญกุศล แผ่เมตตาให้เขานะครับ กับทำบุญไถ่ชีวิตสิ่งต่างๆหรือทำบุญไถ่ชีวิตโค-กระบือ อุทิศบุญให้เขา บวกกับสิ่งที่เราตั้งใจทำให้เขาอยู่แล้วด้วยนะครับ

อนุโมทนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จันทร์ ณ ฟ้า เขียน:
หากความเห็นมีส่วนกระทบความรู้สึกต้องขออภัยค่ะ
ไม่ขอตีความในประเด็นที่โต้แย้งนะคะ
เพียงจะสื่อสิ่งที่จขกท.ขอความเห็น
ซึ่งจขกท.ก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อ และอาจต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ

บาปนั้นเกิดแล้วทุกขณะจิตที่จขกท.เกิดความไม่สบายใจ คงไม่ต้องย้ำอีก^^
หากเปลี่ยนอาชีพได้อาจจะทำไปแล้ว
คงไม่มีใครสบายใจบนเลือดเนื้อและน้ำตาของผู้อื่น
แต่ร้านอาหารเป็นของครอบครัว ไม่ใช่ของจขกท.คนเดียว

หากทำได้ ปฏิบัติธรรมแล้วอุทิศบุญกุศลให้เค้าก็จะดีค่ะ

คุณจันทร์ครับ ทำจิตใจให้หนักแน่นหน่อยซิครับ
ความเห็นของคุณไม่ได้กระทบอะไรผมเลย เพียงแต่ผมอยากเสนอความเห็น
ในแนวทางของผมบ้างเท่านั้นเอง บ้างครั้งอาจมีอ้างอิงบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา
ของการสนทนา เพราะกระทู้มันมีกรอบให้แสดงความเห็นอยู่ อาจจะไปกระทบกันบ้าง
ควรจะให้อภัยกันนะครับ กรุณาอย่าใช้อารมณ์แล้วแสดงออกด้วยการประชดประชันครับ
ผมจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าจะแสดงความเห็นแย้งผม ความรู้ความเข้าใจจะเกิดก็ด้วย การแสดง
ความแย้งหรือเห็นตรงข้ามครับ

นี้เป็นการสนทนาธรรมนะครับ เราต่างก็อยากเสนอความเห็นที่หลากหลาย
จุดประสงค์เพื่อให้เกิดประโยชน์ มันเป็นธรรมดาอยู่แล้วความเห็นอาจไม่ลงรอยกันบ้าง
ซึ่งผมว่าเป็นสิ่งดี ผู้ที่เข้ามาอ่านจะได้ใช้วิจารณญาณของตัวเองว่าอันไหนถูกอันไหนผิด
และเลือกที่จะเชื่อสิ่งนั้นๆ คุณก็บอกเองว่าเป็นสิทธิของแต่ละคน

ท่านเจ้าของกระทู้ ตั้งกระทู้เพื่อขอความเห็น และสิ่งที่ต้องการคือความเป็นจริงครับ
เรามีหน้าที่แสดงความเห็นที่เป็นจริงครับ ชี้ถูกชี้ผิดให้เห็นเท่านั้น ส่วนจะเชื่อแล้วไปปรับปรุงแก้ไข
หรือจะไม่เชื่อ มันเป็นสิทธิของจขกทครับ เราไม่มีสิทธิไปบังคับหรือไปโกรธสมาชิกที่แสดง
ความเห็นไม่ตรงกับเรานะครับ

ขอแสดงความเห็นตอนท้ายหน่อยครับ ถ้ากรรมที่ต้องชดใช้มีจริง ผมว่ามันแก้ไม่ได้หรอกครับ
กับการที่จะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ มันแลกกันได้หรือครับ อย่าเอาวิธีการของพ่อค้ามาใช้กับ
เรื่องบาป บุญ คุณ โทษ มันคนละเรื่องครับ มันมีอย่างหรือครับรู้ว่าผิด แต่ยังทำไม่ยอมเลิก
แล้วยังใช้วิธีการต่างๆมาบ่ายเบี่ยงเรื่องบาปอีก

ขอออกตัวหน่อยนะครับ ความเห็นผมเป็นการแสดงออกทั่วไป
ของประเด็นในกระทู้และความเห็นนะครับ ไม่เกี่ยวกับตัวบุคคลครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว^^ เลยต้องขออนุญาตจขกท.นะคะ

คุณโฮฮับคะ
ไม่ได้โกรธหรือประชดอะไรเลยนะคะ
เพราะเข้าใจ ว่าความเห็นของแต่ละคนอาจไม่ตรงกันได้ค่ะ

จากความเห็นแรกของคุณโฮฮับ
ทำให้ดิฉันเข้าใจว่า คุณเห็นว่าไม่ควรจะประกอบอาชีพนี้เลย(ถ้าเข้าใจผิดต้องขออภัย)
เลยสื่อถึงจขกท.อีกครั้งว่าถ้าเราจำเป็นที่ต้องทำอาชีพนี้ ควรจะทำยังไง ณ ตอนนี้น่ะค่ะ

แต่บางคำที่ใช้ในความเห็นข้างต้นอาจสื่อให้เกิดการเข้าใจไม่ตรงกัน ต้องขออภัยอีกครั้งนะคะ

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42:


แก้ไขล่าสุดโดย Rotala เมื่อ 20 ส.ค. 2010, 14:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คนที่กินเนื้อสัตว์ แล้วฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารสำหรับตนเอง
ผมว่ายังบาปน้อยกว่า คนที่ขายอาหารที่มาจากสัตว์เสียอีก
ลองดูนะครับอีกคนทำเพื่อการอยู่รอดของชีวิต
อีกคนทำเพื่อผลประโยชน์ เพื่อการเพิ่มพูนของทรัพย์สิน


ยังไม่ใช่ผู้รู้ แต่เท่าที่ศึกษาคำสอนของผู้รู้นั้นทราบว่า
ข้อมูลกรรมที่บันทึกในจิตของคนที่ลงมือฆ่าสัตว์นั้นเอง
กับคนที่ไม่ได้ฆ่า ความรุนแรงหนักแน่นต่างกันมากค่ะ

ความเห็นที่จะเพิ่มเติมคงมีเพียงเท่านี้
:b8:

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 112 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร