ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=32643 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | แก้วกัลยา [ 17 มิ.ย. 2010, 14:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
เรื่องบารมี ๑๐ นะค่ะ ถ้าสังเกตุจะเห็นว่า พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา จะเห็นแค่ เมตตาบารมี กับ อุเบกขาบารมีเท่านั้น เรียนถามว่าทำไม กรุณากับมุทิตา จึงไม่จัดเข้าเป็นบารมีที่ต้องบำเพ็ญค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ สาธุ ![]() |
เจ้าของ: | Joyly [ 17 มิ.ย. 2010, 16:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
มึนตึ๊บ ![]() ![]() ![]() รออ่านความเห็นท่านผู้รู้ดีกว่า ![]() |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 17 มิ.ย. 2010, 16:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
แก้วกัลยา เขียน: เรื่องบารมี ๑๐ นะค่ะ ถ้าสังเกตุจะเห็นว่า พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา จะเห็นแค่ เมตตาบารมี กับ อุเบกขาบารมีเท่านั้น เรียนถามว่าทำไม กรุณากับมุทิตา จึงไม่จัดเข้าเป็นบารมีที่ต้องบำเพ็ญค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ สาธุ ![]() สวัสดี จขกท. คุณแก้วกัลยา หัวข้อกระทู้นี้ เกี่ยวข้องด้วย หัวข้อ ธรรม 3 กลุ่ม คือ 1.พุทธการกธรรม 2.พรหมวิหารธรรม 4 3.อัปปมัญญา 4 เป็นการจัดกลุ่มธรรมที่มีอรรถ เป็นหมวดต่างกัน ด้วยจุดประสงค์ต่างกัน พุทธการกธรรม เป็นธรรมที่พระโพธิสัตว์ก่อนจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะต้องทรงบำเพ็ญ เพื่อการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณพร้อมด้วยสัพพัญญุตญาณ 10x3 =30ประการ หรือที่ได้มีการบันทึกไว้ว่า บารมี 30 ทัศ. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พรหมวิหารธรรม หรืออัปปมัญญา4 ในภายหลัง คือ เมตตาบารมี ซึ่งเป็นบุพพนิมิตของพรหมวิหารธรรม และอัปปมัญญา 4. ก็เป็นอันว่ากรุณา และอุเบกขาในพรหมวิหาร 4 และอัปปมัญญา 4 ซึ่งมีมาในภายหลัง ก็เป็นอันครอบคลุมอยู่ในข้อ เมตตาบารมีแล้ว. เจริญธรรม |
เจ้าของ: | แก้วกัลยา [ 18 มิ.ย. 2010, 07:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
เช่นนั้น เขียน: ก็เป็นอันว่ากรุณา และอุเบกขาในพรหมวิหาร 4 และอัปปมัญญา 4 ซึ่งมีมาในภายหลัง ก็เป็นอันครอบคลุมอยู่ในข้อ เมตตาบารมีแล้ว. เจริญธรรม สาธุคะ ขอบคุณนะคะ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 18 มิ.ย. 2010, 09:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
พรหมวิหาร ๔ มีดังนี้ เมตตา = ความรัก ความมีไมตรีจิต กรุณา = ความสงสาร อยากช่วยให้พ้นทุกข์ ความไม่เบียดเบียน มุทิตา = ความยินดี ความไม่ริษยา อุเบกขา = ความวางเฉยอย่างผู้รู้ ผู้มีปัญญา เมตตา เป็นเหตุ กรุณาเป็นผล เมื่อเกิดเมตตา กรุณาก็เกิดขึ้น มุทิตาก็เกิดต่อเนื่องกันมา เมตตานั้นต้องทำให้เกิด ทำให้มีขึ้น กล่าวคือต้องบำเพ็ญจึงจะเกิดในตน เมื่อเกิดเมตตา ความกรุณาและมุทิตาก็ตามมา เหตุนั้นใน บารมี ๑๐ จึงมีแค่ เมตตาบารมีกับอุเบกขาบารมี ด้วยประการฉะนี้แล.. ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 มิ.ย. 2010, 12:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
![]() ![]() ...โดยปกติมนุษย์มีเมตตาต่อมนุษย์และสัตว์...มักจะสงสาร เห็นใจ รักและไม่ฆ่ากัน... ...เมื่อนำสัตว์มาเลี้ยงดูก็กรุณาให้อาหาร ดูแลเอาใจใส่ และเยียวยาพาหาหมอเมื่อเจ็บป่วย... ...และมีความรู้สึกยินดีพอใจที่ได้เอ็นดูสัตว์ที่ตนเองเลี้ยงให้รอดชีวิตเจริญเติบโตขึ้นมาได้... ...และมักจะวางเฉยไม่ได้เมื่อสัตว์เลี้ยงของตนถูกรังแกหรือถูกรถชนตายหรือหมดอายุตายลง... ...เหล่านี้เป็นสภาพที่มนุษย์สามัญทั่วไปเจริญในทางโลกและไม่รู้สภาพธรรมที่เป็นธรรมชาติ... ![]() ...ถ้ากล่าวตามสภาวะธรรมแล้ว...ธรรมอยู่ในธรรมชาติของทุกสิ่งมีเกิด-ดับเป็นธรรมดา... ...เมตตาพรหมวิหารเป็นคุณธรรมขั้นสูงเรียกว่าพรหมวิหารธรรม 4 ประการที่เจ้าของกระทู้ถาม... ...ปุถุชนทั่วไปยังไม่รู้สภาพธรรมตามจริงเพราะปกปิดด้วยอวิชชาและกิเลสครอบงำ... ...ในทางธรรม...การมีสติในการทำกุศลกรรมจำเป็นต้องใช้เมตตาและอุเบกขานำ... ...เพราะหากไม่มีเมตตากับอุเบกขา...กรุณากับมุทิตาก็เกิดไม่ได้...ยกตัวอย่างเช่น... ...แค่เราเห็นหน้าคนที่ไม่ชอบใจ...เราก็ไม่พอใจ...เวลาเผชิญหน้ากันจะหน้าบึ้งตึงเขม่นกันใช่ป่าว... ![]() ...หรือเวลามีคนมาชี้หน้าแล้วก็ด่าๆๆๆๆเรา...จะทนฟังโดยไม่ตอบโต้อะไรเลย...ได้ไหมคะ... ...ถ้าเราไปยืนชี้หน้าด่าตอบหรือไม่ก็ตบตีกันแล้วก็คิดโกรธแค้นอาฆาตจองเวรและต่างไม่ยอมกัน... ...ทุกข์(อกุศล)เกิดทั้ง2ฝ่าย...หรือเราโกรธเกลียดเขาและทำอะไรไม่ได้จึงทุกข์เพราะไม่รู้สภาวะ... ...ถ้าทนไม่ได้ก็แสดงว่ายังคิดให้ถูกตามธรรมไม่ได้เลยว่าเป็นแค่การเห็นและการได้ยินเกิด-ดับ... ...ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวเขา เป็นแต่ความคิดของแต่ละคนที่ไม่พิจารณาให้รู้ธรรมชาติที่เป็นอนัตตา... ...ถ้าทนได้แล้วก็กำหนดว่าเห็นหนอๆ ยินหนอๆ เกิดขึ้นแล้วดับไป ให้เมตตาแล้วก็วางเฉยเสีย... ...ความสงบในจิตใจเราก็จะเกิดขึ้น...จึงจำเป็นต้องเข้าใจธรรมจนคลี่คลายความหลงเข้าใจผิด... ![]() ...เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาทุกข์เท่ากัน...มีทุกข์ในโลก...และไม่มีทุกข์ในโลก... ...ทุกข์เพราะโลภ โกรธ หลง หลงในการเกิด แก่ เจ็บ ตายว่าเป็นของจริงซึ่งคิดผิด... ...ทุกอย่างที่มีคือภาวะจิตติดข้องคิดเหมือนๆกันของภพภูมิมนุษย์คือเห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของ... ...มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่คิดถูกเป็นคนแรกและทรงแสดงธรรมนั้นให้ทุกคนได้รู้ตาม... ...ว่าทุกสิ่งมีเกิด-ดับเป็นธรรมดา ไม่มีตัวตน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น มีทุกขัง อนิจจัง อนัตตา... ...ลองคิดไตร่ตรองดูว่ามีใครบ้าง...ไม่เห็นสำคัญว่านี้เรา นี้ของเรา นี้คนและสัตว์ที่เรารัก... ...เวลาที่ข่าวในหนังสือพิมพ์มีคนตายทำไมเราไม่ร้องไห้เสียใจ...ทำไม่พ่อแม่ตายจึงร้องไห้... ![]() ...เพราะเราคิดวนเวียนใส่ใจอยู่ในภาพและสิ่งที่เกี่ยวข้องใกล้กับตัวเอง...แต่ไม่สนใจสิ่งอื่นที่ไกลตัว... ...เราจะรู้ไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เกิดเป็นธรรมชาติชีวิตที่จุติในภพนี้ ถ้าเราไม่ศึกษาธรรมะให้เข้าใจตามจริง... ...จุติจากภพเก่ามาเกิดแล้วในภพภูมิมนุษย์มีโอกาสได้เรียนรู้พระสัทธรรม...เรามารับกรรมอันเก่า... ...และพยายามสร้างกรรมอันใหม่สืบต่อไป และจะไม่สามารถหยุดยั้งกรรมได้หากยังไม่พิจารณาธรรม... ...เพราะธรรมคือธรรมชาติของทุกๆสิ่งที่เป็นอนัตตา...ไม่มีตัวตน...มีเกิดขึ้นและดับไปตลอดเวลา... ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 มิ.ย. 2010, 13:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
![]() ![]() ...ลองพิจารณาสภาพธรรม... ![]() ![]() กายกับจิตแยกส่วน? http://www.dhammahome.com/front/videocl ... =pl&id=121 รูป+นาม=ธรรม=กาย(สภาพเย็นร้อนอ่อนแข็งเป็นรูปธรรมไม่มีธาตุรู้)+จิต(ธาตุรู้เป็นนามธรรม) http://www.dhammahome.com/front/videocl ... =pl&id=122 ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 มิ.ย. 2010, 13:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
![]() ![]() ...การสะสมบารมีเกิดด้วยปัญญา... http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=123 ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 มิ.ย. 2010, 13:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
![]() ![]() ...อธิษฐานบารมี... http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=124 ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 มิ.ย. 2010, 13:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
![]() ![]() ...สัจจบารมี... http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=138 ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 มิ.ย. 2010, 13:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
![]() ![]() ...อุเบกขาบารมี... http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=139 ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 มิ.ย. 2010, 13:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
![]() ![]() ...ปัญญาเกิดจากสะสมความเข้าใจของตน... http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=140 ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 มิ.ย. 2010, 13:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
![]() ![]() ...ทัศนะชาวต่างชาติต่อธรรมในพระพุทธศาสนา... http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=141 http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=142 http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=143 ![]() ![]() |
เจ้าของ: | แก้วกัลยา [ 18 มิ.ย. 2010, 14:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
Ronsarin เขียน: ในทางธรรม...การมีสติในการทำกุศลกรรมจำเป็นต้องใช้เมตตาและอุเบกขานำ... ...เพราะหากไม่มีเมตตากับอุเบกขา...กรุณากับมุทิตาก็เกิดไม่ได้.. สาธุคะ คุณ Rosarin ![]() วิริยะ เขียน: เมตตานั้นต้องทำให้เกิด ทำให้มีขึ้น กล่าวคือต้องบำเพ็ญจึงจะเกิดในตน เมื่อเกิดเมตตา ความกรุณาและมุทิตาก็ตามมา ขอบคุณนะค่ะ สาธุ ![]() วิริยะ เขียน: อุเบกขา = ความวางเฉยอย่างผู้รู้ ผู้มีปัญญา ขอความรู้หน่อยนะคะว่า ลักษณะของอุเบกขา อย่างผู้รู้ ผู้มีปัญญา คืออย่างไรค่ะ สาธุคะ ![]() |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 18 มิ.ย. 2010, 15:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บารมี ๑๐ กับสิ่งที่หายไป ? |
แหะ..แหะ..ถามมาก็ตอบไป ผิดถูกเป็นอีกเรื่องนะขอรับ ![]() อุเบกขา = ความวางเฉยอย่างผู้รู้ ผู้มีปัญญา การวางเฉยเพราะความรู้ เพราะปัญญานี้ เป็นเรื่องของการฝึกจิต เป็นอาการของจิตที่ประกอบด้วยปัญญา เพ่งพินิจพิจารณา ต้องอาศัยการปฏิบัติ อันเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" การทำใจโดยแยบคาย คิดให้เห็นเหตุผล เห็นสัจจะธรรมความจริง เมื่อประสบการกับโลกธรรมแปด ทั้งที่เป็นส่วนดีและส่วนที่ไม่ดี เมื่อใด ตนเองหรือผู้อื่นสัตว์อื่น ประสบกับโลกธรรมส่วนไม่ดี ให้คิดพิจารณาถึงกรรมว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เป็นทายาทรับผลกรรม ต้องโทษกรรม โทษผลของกรรม เหตุของกรรมกับผลของกรรมนั้นย่อมเหมาะสมกัน กรรมไม่มีเอียง ไม่มีอคติกับใคร ใครทำกรรมไว้อย่างไร ก็ต้องรับผลของกรรมอย่างนั้น คิดได้อย่างนี้ จึงเรียกว่า อุเบกขา การวางเฉยอย่างผู้รู้ ผู้มีปัญญา อุเบกขานี้ ที่พึงอบรมให้มีขึ้นในจิต วิธีอบรม คือ ระมัดระวังใจมิให้ขึ้นลง ด้วยความยินดียินร้าย ทั้งในคราวประสบโลกธรรมฝ่ายดีและไม่ดี ก็ต้องพยามระงับใจ หัดคิดถึงกรรมและผลของกรรมรับผิดชอบเอาไปเสีย อย่างนี้เป็นต้น โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมเอ้ยการอ่าน เป็นความเห็นเฉพาะตัวครับ แต่ไม่สงวนสิทธิ.. สาธุที่ถาม.. ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |