วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 10:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากกระทู้ 31709.ตัดกรรมทำได้จริงๆหรือ ผมลงพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่โดนมารตนนี้ลบทิ้งหมด ผมสงสัยว่าจะเป็นการกระทำของจอมมาร "ชาติสยาม" ใช่หรือไม่ตอบให้ชัดด้วย แล้วเหตุใดท่านลบพุทธพจน์ที่ท่านไม่เชื่อทิ้งไปล่ะ ท่านเก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร? หรือท่านกลัวว่า คนในศาสนาพุทธจะรู้วิธีลดวิบากกรรมให้เบาบางลง?


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 17 พ.ค. 2010, 11:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองอ่านพุทธพจน์ที่โดนมารตัดทิ้งนะครับ

[๖๑๔] ดูกรนายคามณี สาวกที่เลื่อมใสในศาสดานั้น ย่อมมีความคิด อย่างนี้ว่า ศาสดาของเรากล่าวอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ว่า ผู้ที่ฆ่าสัตว์ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่ แม้เรา ก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้

ศีล 5 ข้ออื่นก็แบบเดียวกัน

สรุป 614

ถ้าเรายังไม่ทำการก้าวล่วงบาปกรรม คือ พูดและละการผิดศีล 5 ข้อนั้น เขาย่อมต้องไปนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้



[๖๑๕] ...... ..... .......

สาวกเป็นผู้เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อม พิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์ มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำ บาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อม งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้ ฯ


สรุปทั้ง 614 และ 615


เมื่อทำการก้าวล่วงบาปกรรมแล้ว เขาย่อมไม่ตกนรก
ถ้าไม่ทำการก้าวล่วงบาปกรรม เขาย่อมตกนรก ตามปกติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ) พุทธพจน์ที่โดนมารในเว็บนี้ลบทิ้ง ไม่ยอมให้ลง มารมันกลัวมากว่าคนจะไม่ตกนรกเป็นลูกสมุนของมันมั๊ง

ท่อนแรก

สาวกที่เลื่อมใสใน ศาสดา(พระพุทธเจ้า) นั้น กลับได้ความเห็นว่า สัตว์ที่เราฆ่ามี
อยู่ แม้เรา ก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น
ยังไม่ สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้

= ถ้าเรายังไม่ทำการก้าวล่วงบาปกรรม คือ พูดและละการผิดศีล 5 ข้อนั้น เขาย่อมต้องไปนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้

ท่อนหลัง

สาวกเป็นผู้เลื่อมใสในพระศาสดา(พระพุทธเจ้า)นั้น ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์ มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า.......... ...........
เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำ บาปกรรมนั้นหามิได้
เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อม งดเว้นจาก
ปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม

= เขาได้ทำการก้าวล่วงบาปกรรมแล้ว เขาย่อมไม่ตกนรก ตามที่ผมนำเสนอไปในอีกกระทู้หนึ่งแล้วว่า กรรมนั้นได้กลายเป็นเศษกรรมไป และเขาได้รับผลของเศษกรรมไปแล้วบนโลก ขณะนี้ เขาได้ละวาจานั้น ได้ละความคิดนั้น ได้สละความเห็นนั้นแล้ว เขาจึงไม่ตั้งอยู่ในนรก ที่เหมือนถูกนำมาขังไว้


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 17 พ.ค. 2010, 11:49, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ) พุทธพจน์ที่โดนมารในเว็บนี้ลบทิ้ง ไม่ยอมให้ลง มารมันกลัวมากว่าคนจะไม่ตกนรกเป็นลูกสมุนของมันมั๊ง

พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า:

" กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด "

ในโลกมนุษย์ เพราะว่าคุณได้สำนึกผิดอย่างเด็ดขาดไปแล้ว วิบากกรรมที่จะส่งผลถึงคุณนั้นจะเบาบางลง แม้เจ้ากรรมนายเวรไม่ได้ให้อภัย ส่วนในปรโลก วิบากกรรมนั้นจะกลายเป็นเศษกรรมไป

ตัวอย่าง

1. หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ในวัยเด็กท่านเคยฆ่าไก่ตายเป็นจำนวนมากด้วยการหักคอไก่ ต่อมาหลังจากท่านมาบวชเป็นพระแล้ว ท่านก็สำนึกในบาปกรรมที่เคยได้ทำในวัยเด็ก และท่านก็รู้ในจิตของท่านจากการปฏิบัติกรรมฐานด้วยว่า เหล่าวิญญาณไก่ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านตามมาทวงหนี้แล้ว ท่านก็ต้องรับผลกรรมนั้น โดยต้องคอหักตายในวันที่ 14 ตุลาคม 2521 (ขออภัยถ้าจำผิด) และแล้ว.....เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ ท่านรถคว่ำคอหัก แต่ทว่าท่านไม่ตายครับ อยู่ต่อมาถึงทุกวันนี้ให้เราได้กราบไหว้ เป็นผลมาจากการสำนึกบาปหรือการก้าวล่วงกรรมของท่าน ทำให้วิบากกรรมของท่านนั้นเบาบางลงนั่นเอง

2. องคุลิมาล คนส่วนใหญ่แม้กระทั่งพระสงฆ์ต่างก็เข้าใจผิดว่า องคุลิมาลหนีกรรมได้เพราะบรรลุอรหันต์ เข้านิพพานไป นั่นเป็นความคิดที่ผิด สิ่งที่ถูกคือ องคุลิมาลท่านก็สำนึกบาป ทำการก้าวล่วงบาปกรรม ทำให้วิบากกรรมทางโลกท่านเบาบางลง ส่วนวิบากกรรมในปรโลกท่านไม่ต้องรับ แม้ว่าองคุลิมาลท่านฆ่าคนมามาก เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ :

คัดจาก ๓๖. อังคุลีมาลสูตร สูตรว่าด้วยพระองคุลิมาล http://www.baanjomyut.com/pratripido...pidok/504.html

....ต่อมาท่านบำเพ็ญเพียรก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์.(ประโยคต้นนี่แหละทำให้เกิดความสับสน เมื่ออ่านคำพูดของพระพุทธเจ้าจะเข้าใจ) เมื่อท่านไปบิณฑบาต ท่านได้เข้าไปบิณฑบาติในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือกไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่นมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน."

ย้ำ!!! พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน."

ด้วยเหตุนี้ วิบากกรรมทางโลกขององคุลิมาลเบาบางลง ส่วนวิบากกรรมในปรโลกท่านไม่ต้องรับ สาเหตุมาจากองคุลิมาล ท่านทำการก้ารล่วงบาปกรรม นั่นเอง ไม่ใช่สาเหตุมาจากท่านบรรลุอรหันต์ แล้วไม่ต้องรับผลกรรมอันนี้


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 17 พ.ค. 2010, 11:51, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b6:
...ท่านคนดีที่โลกลืมต้องลองพิจารณาดูว่าแปลความหมายของพุทธพจน์แวกแนวไปรึเปล่า...
...ลองกลับไปอ่านความเห็นในที่ตัวเองโพสต์ทำไมถูกปิด(พระพุทธเจ้าอธิบายว่า อัตตา(ตน)คือธรรม)
:b22:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=31551
:b15: :b3:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พึงพิจารณาหัวข้อนี้

"กรรมชำระล้างได้อย่างไร" ที่

viewtopic.php?f=4&t=29672

ดูตั้งแต่ต้นจนจบ

มีพุทธพจน์ที่คนดีฯ นำมาด้วย พิจารณาดูดีๆ

ฝากไว้ก่อนอ่าน

สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม

คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
:b6:
...ท่านคนดีที่โลกลืมต้องลองพิจารณาดูว่าแปลความหมายของพุทธพจน์แวกแนวไปรึเปล่า...
...ลองกลับไปอ่านความเห็นในที่ตัวเองโพสต์ทำไมถูกปิด(พระพุทธเจ้าอธิบายว่า อัตตา(ตน)คือธรรม)
:b22:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=31551
:b15: :b3:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


1. ...ท่านคนดีที่โลกลืมต้องลองพิจารณาดูว่าแปลความหมายของพุทธพจน์แวกแนวไปรึเปล่า...

งั้นคุณลองแปลความหมายของพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า ที่ไม่แวกแนวให้ฟังหน่อยสิครับ จริงๆ..ผมไม่ได้แปลความหมายของพุทธพจน์เลย ผมเพียงแต่เปิดมนตราของมารออกจากพุทธพจน์เท่านั้น

2. ...ลองกลับไปอ่านความเห็นในที่ตัวเองโพสต์ทำไมถูกปิด(พระพุทธเจ้าอธิบายว่า อัตตา(ตน)คือธรรม)

ก็เช่นเดียวกัน ผมไม่ได้แปลความหมายของพุทธพจน์เลย ผมเพียงแต่เปิดมนตราของมารออกจากพุทธพจน์เท่านั้น

คุณ"Rosarin" ผู้ฉลาดหลักแหลมช่วยลองแปลความหมายของพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าเรื่องอัตตา ในอนัตตลักขณะสูตร ที่ไม่แวกแนวให้ผมและผู้อ่านท่านอื่นฟังหน่อยสิครับ

........ นิพพานเป็นอัตตา ต้นตอมาจาก อนัตตลักขณะสูตรครับ ........

ดูนิยามของคำว่าอัตตาในอนัตตลักขณสูตรนะครับ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง)แล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ(ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

จะเห็นว่า ผมไม่ได้แปลพุทธพจน์แบบแหวกแนวเลย แต่มนตราของมารมันปิดตาคนอื่น ไห้งงงวย ไม่ให้รู้ความจริงว่า สิ่งที่จะเป็น อัตตาได้ ไม่ว่าจะเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ต้องไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนา


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 17 พ.ค. 2010, 12:12, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำมาให้วิเคราะห์ถ้อยคำตรงนี้ ต้องอ่านทั้งสองข้อต่อกันนะครับ

คำว่า ศาสดา ที่(ดูกรนายคามณี ศาสดาบางท่าน) ไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่เป็นศาสดาบางท่าน

คือ ศาสดาใดก็ได้ในครั้งพุทธกาล ซึ่งมีคำพูดคำสอนอย่างนั้น

ส่วนข้อสอง เป็นคำพูดคำสอนของพระพุทธเจ้า

เทียบคำสอนทั้งสองข้อดู ดังนี้



“ดูกรนายคามณี ศาสดาบางท่าน มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า

ผู้ที่ฆ่าสัตว์ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด

ผู้ที่ลักทรัพย์ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด

ผู้ประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด

ผู้ที่พูดเท็จ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด

สาวก ที่เลื่อมใสในศาสดานั้น คิดว่า “ศาสดาของเรา มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า

ผู้ที่ฆ่าสัตว์ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด”

เขาจึงได้ทิฐิขึ้นมาว่า “สัตว์ที่เราฆ่าไปแล้วก็มี เราก็ต้องไปอบาย ตกนรกด้วย

เขาไม่ละวาจานั้น ไม่สละทิฐินั้นเสีย ก็ย่อมอยู่ในนรก เหมือนถูกจับมาใส่ไว้…”


“ส่วนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลก...

พระองค์ ทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต...

อทินนาทาน...

กาเมสุมิจฉาจาร...

มุสาวาท โดยอเนกปริยาย และตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงงดเว้นเสียเถิดจากปาณาติบาต...

อทินนาทาน...กาเมสุมิจฉาจาร...มุสาวาท” สาวก มีความเลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อมพิจารณา

เห็นดังนี้ว่า “พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต ฯลฯ โดยอเนกปริยาย และตรัสว่า

“ท่านทั้งหลาย จงงดเว้นเสียเถิดจากปาณาติบาต ฯลฯ”

ก็สัตว์ที่เราฆ่าเสียแล้วมีมากถึงขนาดนั้นๆ การที่เราฆ่าสัตว์ไปเสียมากๆ ถึงขนาดนั้นๆ ไม่ดี ไม่งามเลย

เราจะกลายเป็นผู้เดือดร้อนใจ ในเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัยแท้ และเราก็จักไม่ชื่อว่า ไม่ได้กระทำกรรมชั่ว”

เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว จึงละปาณาติบาตนั้นเสีย และเป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่า

เขาละกรรมชั่วนั้นได้ ด้วยการกระทำอย่างนี้…”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 17 พ.ค. 2010, 12:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


น้องกรัชกาย!!


"....ก็สัตว์ที่เราฆ่าเสียแล้วมีมากถึงขนาดนั้นๆ การที่เราฆ่าสัตว์ไปเสียมากๆ ถึงขนาดนั้นๆ ไม่ดี ไม่งามเลย เราจะกลายเป็นผู้เดือดร้อนใจ ในเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัยแท้ และเราก็จักไม่ชื่อว่า ไม่ได้กระทำกรรมชั่ว”

เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว จึงละปาณาติบาตนั้นเสีย และเป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่า

เขาละกรรมชั่วนั้นได้ ด้วยการกระทำอย่างนี้…”

1. เขาละกรรมชั่วนั้นได้ = การก้าวล่วงบาปกรรม

เมื่อน้องกรัชกายยังไมรู้ว่า = การก้าวล่วงบาปกรรม เป็นอย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่าอย่างไร? แล้วน้องกรัชกายทะลึ่งมาอวดความรู้สอนคนอื่นได้อย่างไร?

อีกอย่างหนึ่ง....เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรมต้องไปหาอ่านในห้องสมุดพระไตรปิฎกเอาเอง เพราะพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าบทนี้อยู่ในสุตตันตมัชฌิชนิกาย สัจจวิภังคสูตร 22/542-546 แต่หาอ่านไม่ได้ในเว็บทางอินเตอร์เน็ต ไม่รู้เขาจะปกปิดไว้ทำไม

(ผมอ่านมาจากหนังสือธรรมธาตุ ธรรมชาติของสรรพสิ่งของคณะสังคมผาสุกเพื่อความผาสุกของสังคม หน้า229) เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เมื่อน้องกรัชกายยังไมรู้ว่า = การก้าวล่วงบาปกรรม เป็นอย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่าอย่างไร? แล้วน้องกรัชกายทะลึ่งมาอวดความรู้สอนคนอื่นได้อย่างไร?


เมื่อพี่คนดี ฯ รับกรัชกายเป็นน้อง พี่ก็ต้องสอนน้องบอกน้องดิขอรับ :b8:

พี่คนดี ฯ เป็นพี่ที่ใช้ไม่ได้ ไม่ได้ใช้ความเป็นพี่สอนน้อง แล้วยังมาว่ามาด่าน้องว่าทะลึ่งอวดรู้อวดสอน

ได้อย่างไร

การก้าวล่วงบาปกรรมเป็นอย่างไร น้องก็บอกกับพี่แล้วว่า จะต้องอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ที่ยกมาสองข้อ เพื่อ

ทำความเข้าใจแค่ประเด็นนั้นนะขอรับพี่คนดีฯ :b1:

อ้อ แล้วน้องก็บอกอีกว่าก่อนอ่าน

"สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม

คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย"

พี่เข้าใจไหมขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


น้องกรัชกาย

พี่ก็บอกแล้วว่า เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรมต้องไปหาอ่านในห้องสมุดพระไตรปิฎกเอาเอง เพราะพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าบทนี้อยู่ในสุตตันตมัชฌิชนิกาย สัจจวิภังคสูตร 22/542-546 แต่หาอ่านไม่ได้ในเว็บทางอินเตอร์เน็ต ไม่รู้เขาจะปกปิดไว้ทำไม

(ผมอ่านมาจากหนังสือธรรมธาตุ ธรรมชาติของสรรพสิ่งของคณะสังคมผาสุกเพื่อความผาสุกของสังคม หน้า229) เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาติ พี่คนดีที่โลกลืม ครับ
คำกล่าวว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง)แล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ(ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

และแสดงต่อด้วย
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็นอนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของตัวตน ตัวตนหรือกายที่เห็นหรือผัสสะได้ด้วยอายตนะใดๆนั้น เป็นเพียงกลุ่มหรือก้อนหรือฆนะของเหล่าเหตุที่มาเป็นปัจจัยประชุมปรุงแต่งกัน คือ ธาตุ ๔) ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ(แปรปรวนด้วยอนิจจัง จึงเจ็บป่วย) และบุคคลย่อมไม่ได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนาเพราะว่ารูปขึ้นอยู่กับเหตุคือธาตุทั้ง ๔ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา) ในรูปว่า รูปของเรา จง(สวย จงงาม)เป็นอย่างนี้เถิด รูปของเรา อย่าได้(น่าเกลียด)เป็นอย่างนั้นเลย.

ขออนุญาติครับ

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




001-P_Tim.gif
001-P_Tim.gif [ 11.1 KiB | เปิดดู 5897 ครั้ง ]
"พี่ชายชั่วคราว" :b32:

http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=3045

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:
น้องกรัชกาย

พี่ก็บอกแล้วว่า เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรมต้องไปหาอ่านในห้องสมุดพระไตรปิฎกเอาเอง เพราะพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าบทนี้อยู่ในสุตตันตมัชฌิชนิกาย สัจจวิภังคสูตร 22/542-546 แต่หาอ่านไม่ได้ในเว็บทางอินเตอร์เน็ต ไม่รู้เขาจะปกปิดไว้ทำไม

(ผมอ่านมาจากหนังสือธรรมธาตุ ธรรมชาติของสรรพสิ่งของคณะสังคมผาสุกเพื่อความผาสุกของสังคม หน้า229) เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม



เมื่อจับทั้งสามข้อเรียงกัน ก็จะเห็นวิธีก้าวล่วงบาปกรรม


“ดูกรนายคามณี ศาสดาบางท่าน มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า

ผู้ที่ฆ่าสัตว์ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด

ผู้ที่ลักทรัพย์ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด

ผู้ประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด

ผู้ที่พูดเท็จ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด

สาวก ที่เลื่อมใสในศาสดานั้น คิดว่า “ศาสดาของเรา มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า

ผู้ที่ฆ่าสัตว์ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด”

เขาจึงได้ทิฐิขึ้นมาว่า “สัตว์ที่เราฆ่าไปแล้วก็มี เราก็ต้องไปอบาย ตกนรกด้วย

เขาไม่ละวาจานั้น ไม่สละทิฐินั้นเสีย ก็ย่อมอยู่ในนรก เหมือนถูกจับมาใส่ไว้…”


“ส่วนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลก...

พระองค์ ทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต...

อทินนาทาน...

กาเมสุมิจฉาจาร...

มุสาวาท โดยอเนกปริยาย และตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงงดเว้นเสียเถิดจากปาณาติบาต...

อทินนาทาน...กาเมสุมิจฉาจาร...มุสาวาท” สาวก มีความเลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อมพิจารณา

เห็นดังนี้ว่า “พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต ฯลฯ โดยอเนกปริยาย และตรัสว่า

“ท่านทั้งหลาย จงงดเว้นเสียเถิดจากปาณาติบาต ฯลฯ”

ก็สัตว์ที่เราฆ่าเสียแล้วมีมากถึงขนาดนั้นๆ การที่เราฆ่าสัตว์ไปเสียมากๆ ถึงขนาดนั้นๆ ไม่ดี ไม่งามเลย

เราจะกลายเป็นผู้เดือดร้อนใจ ในเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัยแท้ และเราก็จักไม่ชื่อว่า ไม่ได้กระทำกรรมชั่ว”

เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว จึงละปาณาติบาตนั้นเสีย และเป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย

เป็นอันว่า เขาละกรรมชั่วนั้นได้ ด้วยการกระทำอย่างนี้…”


“เขาละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ ละมุสาวาท...ปิสุณาวาจา...ผรุสวาจา...

สัมผัปปลาปะ...อภิชฌา...พยาบาท...มิจฉาทิฐิ แล้วเป็นผู้มีสัมมาทิฐิ

เขาเป็นผู้อริยสาวก มีใจปราศจากอภิชฌา ปราศจากพยาบาท (ความคิดเบียดเบียน)

ไม่ลุ่มหลง มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น อยู่ด้วยใจที่ประกอบด้วยเมตตาปกแผ่ไปทิศ 1...

ทิศ 2...ทิศ 3...ทิศ 4...ครบถ้วนทั้งสูง ต่ำ กว้างขวาง ทั่วทั้งโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า

ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตา อันไพบูลย์ ยิ่งใหญ่ ไม่มีประมาณ ไร้เวร

ไร้พยาบาท ฯลฯ เมื่อเจริญเมตตาเจโตวิมุติ ทำให้มากอย่างนี้

กรรมใดที่ทำไว้พอประมาณ กรรมนั้น จักไม่เหลือ จะไม่คงอยู่ในเมตตาเจโตวิมุตินั้น…”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จ้างก็ไม่บอก

แต่มาคิดบัญชีที่ผมได้


เตรียมข้าวสารเสกและน้ำมนต์ไว้รอแล้ว
:b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 143 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร