ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พ่อชาลีลูกรัก http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=31144 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 27 เม.ย. 2010, 09:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | พ่อชาลีลูกรัก |
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 711 ๑. ปฐมนิพพานสูตร ว่าด้วยอายตนะ คือ นิพพาน [๑๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระ- ผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันปฏิสังยุตด้วยนิพพาน ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำ ให้มั่น มนสิการแล้วน้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟัง ธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจาย- ตนะ อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้น ว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการ จุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์. จบปฐมนิพพานสูตรที่ ๑ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 723 ข้อความบางตอนจาก.. ตติยนิพพานสูตรที่ ๓ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่ เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้ แล้ว มีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุง แต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรม- ชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่ง แล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัย กระทำไม่ได้แล้วปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การ สลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำ แล้วปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ. จบตติยนิพพานสูตรที่ ๓ เบื้องต้นควรทราบว่า อายุของรูป ๑ ขณะ มีอายุเท่ากับอายุของจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปที่เกิดขึ้นและกระทบทางปัญจทวารก่อนวิถีจิตทางปัญจทวารจะเกิดขึ้น ๓ ขณะจิต จากนั้นวิถีทางปัญจทวารจึงเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น ๑๔ ขณะ เมื่อรวมขณะจิตทั้งหมด ๑๗ ขณะ เท่ากับอายุของรูปเกิดดับ ๑ ขณะ จากนั้นวิถีจิตทางมโนทวารเกิดขึ้นรูปนั้น ทันที โดยอายุของรูปชื่อว่าดับไปแล้ว แต่ด้วยความรวดเร็วของจิตที่เกิดสืบต่อนั้น ชื่อว่ามีรูปปรมัตถ์ที่เพิ่งดับไปนั้นเป็นอารมณ์ครับ ก่อนอื่นต้องทราบก่อนนะครับว่า อารมณ์ของวิถีจิตทางปัญจทวารเป็นปรมัตถ์ เพียงอย่างเดียว ส่วนอารมณ์ทางมโทวาร มีทั้งปรมัตถ์และบัญญัติ มโนทวาร วิถีที่รู้อารมณ์ต่อจากทางปัญจทวารวาระแรกมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ส่วนวาระ หลังๆ มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ครับ เมื่อวิถีจิตทางปัญจทวาร (ทวารหนึ่งทวารใด) ดับหมดแล้ว ภวังคจิต เกิดคั่นหลายขณะแล้ว มโนทวารวิถีจิตก็เกิดสืบต่อ มโนทวารวิถีจิตวาระแรกมี อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดใน ๕ อารมณ์ที่เพิ่งดับไปทางปัญจทวารนั่นเองเป็น อารมณ์ มโนทวารวิถีจิตวาระแรกที่เกิดต่อจากปัญจทวารวิถีจิตนั้น ยัง ไม่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ มโนทวารวิถีจิตแต่ละวาระมีวิถีจิต ๒ หรือ ๓ วิถีจิต คือ มโนทวา- ราวัชชนวิถีจิต ๑ ขณะ ชวนวิถีจิต ๗ ขณะ ตทาลัมพนวิถีจิต ๒ ขณะ (บาง วาระก็ไม่มีตทาลัมพนวิถีจิต) เมื่อมโนทวารวิถีจิตวาระที่ ๑ ดับไปแล้ว ภวังคจิต ก็เกิดคั่นหลายขณะ แล้วมโนทวารวิถีจิตวาระที่ ๒ ก็เกิดต่อมีบัญญัติคือ รูปร่าง สัณฐานของอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดใน ๕ อารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ เมื่อมโนทวาร วิถีจิตวาระที่ ๒ ดับไปแล้วภวังคจิตก็เกิดคั่น แล้วมโนทวารวิถีจิตวาระต่อๆ ไปก็ เกิดขึ้นมีอรรถ คือ ความหมาย หรือคำต่างๆ เป็นอารมณ์ทีละวาระโดยมีภวังคจิต เกิดคั่น ขณะที่รู้ว่าเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ ขณะนั้นจิตรู้บัญญัติ ไม่ใช่รู้ ปรมัตถอารมณ์ ปรมัตถอารมณ์ที่ปรากฏทางตาเป็นสีสัณวัณณะต่างๆ เท่านั้น แต่ ขณะที่มโนทวารวิถีจิตรู้ว่าเป็นสัตว์ บุคคล วัตถุ สิ่งต่างๆ ขณะนั้นมโนทวารวิถี จิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์ จึงรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ฉะนั้น พระธรรมที่ว่า ปรมัตถธรรมไม่ใช่บัญญัติ ก็เพราะปรมัตถ- ธรรมเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แม้จะไม่ใช้คำบัญญัติใดๆ เรียกปรมัตถธรรมเลย สภาพธรรมที่เกิดขึ้นนั้นก็มีลักษณะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ส่วนบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถ- ธรรม เพราะไม่ใช่สภาพธรรมที่มีจริง และที่ชื่อว่า ปญฺญตฺติ เพราะให้รู้ได้โดย ประการนั้น ๆ วิถีจิตทางปัญจทวาร มี ๗ วิถี คือ . อาวัชชนวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๑ และถ้าเป็นทางปัญจทวาร คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็คือ ทวิปัญจวิญญาณจิต ดวงหนึ่งดวงใด ทางปัญจทวาร เป็นวิถีจิตที่ ๒ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ แล้วแต่ว่าอารมณ์ที่ปรากฏ ที่กระทบปสาทนั้นๆ เป็นอารมณ์อะไร. เมื่อวิถีจิตที่ ๒ ดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดวิถีจิตต่อไป คือ สัมปฏิจฉันนจิต เป็นวิถีจิตที่ ๓ ทำกิจรับอารมณ์ต่อจากวิญญาณจิตที่ดับไป. สันตีรณจิต เป็นวิถีจิตที่ ๔ ทำกิจพิจารณาอารมณ์นั้นๆ แล้วดับไป. โวฏฐัพพนวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๕ กระทำกิจ กำหนดอารมณ์ที่ปรากฏ เพื่อกุศลจิต หรือ อกุศลจิต ที่จะเกิดในวิถีจิตต่อไป. (ต่อไป)...คือ ชวนวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๖ . "ชวนะ" โดยศัพท์แปลว่า "ไปอย่างเร็ว" หรือจะใช้คำว่า "แล่นไปในอารมณ์" ก็ได้ ชววิถีจิต เป็นกุศลจิต ก็ได้ เป็นอกุศลจิต ก็ได้ สำหรับ...ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์. แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ดับกุศลจิต และ อกุศลจิตได้แล้ว จิตที่ทำ ชวนกิจ (ทั้งทางมโทวารและทางปัญทวาร) สำหรับพระอรหันต์ คือ กิริยาจิต กิริยาจิต...ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้เกิด วิบากจิต คือ ผลของกรรม. . ตทาลัมมณวิถีจิต หรือ ตทาลัมพณวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๗ จิตดวงนี้ ทำกิจรู้อารมณ์ ต่อจาก ชวนวิถีจิต เหตุเพราะว่า อารมณ์ของชวนวิถีจิต ยังไม่ดับไป คือ ถ้านับอายุของรูป ๆ หนึ่ง ที่กระทบกับทวาร รูป ซึ่งมีอายุ ๑๗ ขณะจิต หมายถึง ตั้งแต่อตีตภวังค์ เป็นขณะจิตที่ ๑ ภวังคจลลนจิต เป็นขณะจิตที่ ๒ ภวังคุปัจเฉทจิต เป็นขณะจิตที่ ๓ อาวัชชนจิต เป็นขณะจิตที่ ๔ ทวิปัญจวิญญาณจิต เป็นขณะจิตที่ ๕ สัมปฏิจฉันนจิต เป็นขณะจิตที่ ๖ สันตีรณจิต เป็นขณะจิตที่ ๗ โวฏฐัพพนจิต เป็นขณะจิตที่ ๘ ชวนจิต ๗ ขณะ เป็นขณะจิตที่ ๙-๑๕ ตทาลัมพณวิถีจิต เป็นขณจิตที่ ๑๖-๑๗ ( รูปที่กระทบปสาท ทางทวารใดทวารหนึ่ง ๑ ครั้ง จึงมีอายุเท่ากับจิต ๑๗ ขณะจิต ดังนี้ ) . วิสัยของผู้ที่เป็น "กามบุคคล" เวลาที่ได้รับอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แล้วรูปนั้นยังไม่ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้ วิบากจิต คือ ตทาลัมพณวิถีจิต เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นๆต่ออีก ๒ ขณะจิต แล้วจึงจบวิถีจิตทางปัญจทวาร (ทั้งหมดนี้ คือ การเกิดขึ้นของวิถีจิต ๗ วิถีจิต ทางปัญจทวาร และอายุของรูป ๆ หนึ่ง ที่ตั้งอยู่เท่ากับ ๑๗ ขณะจิต แล้วจึงดับไป) . หลังจากนั้น...ก็เป็น ภวังคจิต ต่อไป... จนกว่า วิถีจิตต่อไปจะเกิดขึ้น. ซึ่งอย่าลืมนะคะ ว่าขณะใดที่เป็นภวังคจิตนั้น โลกนี้จะไม่ปรากฏ ความทรงจำ เกี่ยวกับเรื่องราวของบุคคลต่างๆ และเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกนี้ จะไม่ปรากฏเลย ขณะที่เป็นภวังคจิต. เช่น ขณะที่นอนหลับสนิท... ไม่มีความรู้ ความจำเรื่องใดๆทั้งสิ้น เกี่ยวกับโลกนี้. แล้วถ้า จุติจิต เกิด...ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ปฏิสนธิจิต จะเกิดต่อทันที และ "วิถีจิตต่อไป" ก็จะเป็น "เรื่องราวของโลกอื่น" . เพราะฉะนั้น ก็ให้เห็น "ความเป็นไปของขณะจิต" ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย. . . . (สำหรับทางมโนทวาร...คือ จิตที่รู้อารมณ์ทางใจ) เมื่อ รูปใด รูปหนึ่ง ที่กระทบกับวิญญาณจิตทางทวารใดทวารหนึ่งในปัญจทวาร ดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น...ต่อจากนั้น มโนทวารวิถีจิต คือ วิถีจิตทางมโนทวาร... ก็เกิดขึ้น ทำกิจรู้อารมณ์เดียวกัน ของอารมณ์ที่ปรากฏทางปัญจทวารวิถีจิตที่เพิ่งดับไป. สำหรับมโนทวารวิถีจิต มีวิถีจิตไม่มากเท่ากับ วิถีจิตทางปัญจทวารวิถีจิต เพราะว่า อารมณ์ที่ปรากฏนั้นๆไม่ได้กระทบกับปสาท...จึงไม่มีอตีตภวังค์ แต่ว่า ก่อนที่จิตจะมีการรำพึงถึงอารมณ์ ที่รับมาจากทางปัญจทวารวิถีจิต ก็จะต้องมี ภวังคจลนจิต ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป แล้ว ภวังคุปัจเฉทจิต ก็ต้องเกิดขึ้น แล้วดับไป ต่อจากนั้น........มโนทวาราวัชชนจิต ก็เกิดขึ้น. สำหรับจิตทางมโนทวารวิถีจิต คือ จิตที่ทำอาวัชชนกิจ มี ๑ ดวง คือ มโนทวาราวัชชนจิต ทำกิจรำพึงถึงอารมณ์ ทางมโนทวาร โดยไม่ต้องมีอารมณ์ใดๆ มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย. ในชีวิตประจำวัน... เวลาที่เกิดการนึกถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตาม ขณะนั้นเกิดจากเหตุ คือ มโนทวาราวัชชนจิต เกิดก่อน โดยเป็นวิถีจิตทางมโนทวาร เป็นขณะจิตที่ ๑ ทางมโนทวาร. ทำกิจรำพึงถึงอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง และเมื่อ "จิตขณะนี้" ดับไปแล้ว ก็เป็น "ชวนวิถีจิต" ซึ่ง เป็นวิถีจิตทางมโนทวาร เป็นขณะจิตที่ ๒ ทางมโนทวาร. สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จะนึกถึงอารมณ์นั้น ด้วยกุศลจิต หรือ อกุศลจิต ถ้าเป็นอกุศลจิต เช่น โลภมูลจิต หรือ โทสมูลจิต อกุศลจิตนั้นก็จะเกิดขึ้น และดับไป ๗ ขณะจิต. ต่อจากนั้น...ถ้าเป็นอารมณ์ที่แรง ตทาลัมพณจิตก็เกิดต่อ เป็นวิถีจิตทางมโนทวาร ขณะจิตที่ ๓ ฉะนั้น สำหรับทางมโนทวารวิถีจิต จะมีวิถีจิตเกิดขึ้น ๓ วิถีจิต คือ อาวัชชนวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๑ ชวนวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๒ ตทาลัมพณวิถีจิต เป็นวิถีจิตที่ ๓ เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน ได้อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตามถนนหนทาง กรวดน้ำอุทิศบุญ เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน รักษาศีล อาราธนาศีล เจริญวิปัสสนา ได้ปฏิบัติธรรม ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ทุกวัน และเจริญอาโปกสิน ฟังธรรมศึกษาธรรม ศึกษาการรักษาโรค วันนี้มีงานบุญนิมนต์พระที่หมู่บ้านที่ศาลปู่ตามี ผู้คนไปทำบุญทั้งหมู้บ้าน และสร้างบารมีครบทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญร่วมบุญแกะสลักพระนอนบนหินทราย โทร.089 8354072 ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ |
เจ้าของ: | Bwitch [ 27 เม.ย. 2010, 14:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พ่อชาลีลูกรัก |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | enlighted [ 30 เม.ย. 2010, 08:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พ่อชาลีลูกรัก |
อนุโมทนาสาธุคร๊าบบ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |