วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 06:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 276 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 21:37
โพสต์: 54

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
สติ...เกิด...ทำให้หยุดคิด(หลง)/อยาก(ตัณหา)

แล้วสติก็ดับลง


:b20:

ทำไมไม่มีใครนำคำกล่าวของคุณไปขยายความคะ :b7:

หรือว่าสิ่งที่คุณกล่าวมา มันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึง คุณค่าทั้งทางบัญญัติ
และทางสภาวะ :b20: :b20:

หรือว่า ทุกคนเมื่อปฏิบัติจนถึงจุดนี้แล้ว ไม่เห็นว่ามันดับลง

:b7: :b20: :b7: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


Kamonchanok เขียน:
enlighted เขียน:
สติ...เกิด...ทำให้หยุดคิด(หลง)/อยาก(ตัณหา)

แล้วสติก็ดับลง


:b20:

ทำไมไม่มีใครนำคำกล่าวของคุณไปขยายความคะ :b7:

หรือว่าสิ่งที่คุณกล่าวมา มันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึง คุณค่าทั้งทางบัญญัติ
และทางสภาวะ :b20: :b20:

หรือว่า ทุกคนเมื่อปฏิบัติจนถึงจุดนี้แล้ว ไม่เห็นว่ามันดับลง

:b7: :b20: :b7: :b20:





ขออภัยค่ะ :b8:
ที่ถามมาว่า ทำไมไม่มีใครนำคำกล่าวของคุณ enlighted ไปขยายความ?
เหตุที่ไม่แสดงข้อคิดเห็นตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเหตุที่คุณกล่าวมานะคะ


" หรือว่าสิ่งที่คุณกล่าวมา มันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึง คุณค่าทั้งทางบัญญัติ
และทางสภาวะ หรือว่า ทุกคนเมื่อปฏิบัติจนถึงจุดนี้แล้ว ไม่เห็นว่ามันดับลง "



เนื่องจากว่า ต้องให้เจ้าของข้อคิดเห็น เขาได้มีโอกาสแสดงข้อคิดเห็นของเขาก่อนว่า
เหตุใด เขาจึงคิดเช่นนั้น เราไปคิดหรือตีความคำพูดของเขาแทนเขาไม่ได้ค่ะ
เมื่อเขาได้แสดงมาแล้ว เราจึงจะเสนอมุมมองกลับไปค่ะ

การแลกเปลี่ยน การสนทนาธรรม ซึ่งก็บอกอยู่แล้วว่า เราเคารพในข้อคิดเห็นของแต่ละคน
ถือว่าเรามาแลกเปลี่ยนในสิ่งที่แต่ละคนรู้ โดยไม่ไปคิดว่า ใครถูก ใครผิด

ตรงไหน เห็นไม่ตรงกัน ก็นำมาเสนอหรือแสดงต่อกันได้ค่ะ
สนทนาแบบนี้ จะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายและสำหรับท่านอื่นๆที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ
และอาจจะมีคนที่เห็นแตกต่างไป เข้ามาสนทนาเพิ่มเติมได้ค่ะ
อนุโมทนาสำหรับข้อคิดเห็นค่ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 09 เม.ย. 2010, 20:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kamonchanok เขียน:
enlighted เขียน:
สติ...เกิด...ทำให้หยุดคิด(หลง)/อยาก(ตัณหา)

แล้วสติก็ดับลง


:b20:

ทำไมไม่มีใครนำคำกล่าวของคุณไปขยายความคะ :b7:

หรือว่าสิ่งที่คุณกล่าวมา มันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึง คุณค่าทั้งทางบัญญัติ
และทางสภาวะ :b20: :b20:

หรือว่า ทุกคนเมื่อปฏิบัติจนถึงจุดนี้แล้ว ไม่เห็นว่ามันดับลง

:b7: :b20: :b7: :b20:





สติ เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 00:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 21:37
โพสต์: 54

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
Kamonchanok เขียน:
enlighted เขียน:
สติ...เกิด...ทำให้หยุดคิด(หลง)/อยาก(ตัณหา)

แล้วสติก็ดับลง


:b20:

ทำไมไม่มีใครนำคำกล่าวของคุณไปขยายความคะ :b7:

หรือว่าสิ่งที่คุณกล่าวมา มันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึง คุณค่าทั้งทางบัญญัติ
และทางสภาวะ :b20: :b20:

หรือว่า ทุกคนเมื่อปฏิบัติจนถึงจุดนี้แล้ว ไม่เห็นว่ามันดับลง

:b7: :b20: :b7: :b20:


สติ เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต


:b1: :b1: .... ค่ะ ... :b1: :b1:

พี่คะ พี่เข้ามาแนะบ่อย ๆ ได้รึเปล่าคะ

เพราะอ่านคำชี้แนะของพี่แล้ว เฉิ่มรู้สึกได้ถึงความหยุด ความนิ่งในภาษา

และจุดที่พี่ชี้นั้น มันชัดเจน ชัดเจน และสอดคล้องกับสิ่งที่สะท้อน อยู่ภายใน

ขอบคุณค่ะ ภาษาของพี่ทำให้ เฉิ่ม ได้กลิ่นความสงบนิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ลึก ๆ

และมันกำลังเคลื่อนตัวแผ่กระจายออกมา แทรกซึมไปทุกอณู

เหมือนหมีที่จำศีลในฤดูหนาวมานาน มันกำลังจะตื่นเพราะมันเริ่มได้กลิ่นฤดูใบไม้ผลิโชยมา

ขอบคุณค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 00:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 21:37
โพสต์: 54

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"walaiporn" ขออภัยค่ะ :b8:
ที่ถามมาว่า ทำไมไม่มีใครนำคำกล่าวของคุณ enlighted ไปขยายความ?
เหตุที่ไม่แสดงข้อคิดเห็นตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเหตุที่คุณกล่าวมานะคะ


" หรือว่าสิ่งที่คุณกล่าวมา มันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึง คุณค่าทั้งทางบัญญัติ
และทางสภาวะ หรือว่า ทุกคนเมื่อปฏิบัติจนถึงจุดนี้แล้ว ไม่เห็นว่ามันดับลง "


ไม่เป็นไรคะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขออภัย


"walaiporn" เนื่องจากว่า ต้องให้เจ้าของข้อคิดเห็น เขาได้มีโอกาสแสดงข้อคิดเห็นของเขาก่อนว่า
เหตุใด เขาจึงคิดเช่นนั้น เราไปคิดหรือตีความคำพูดของเขาแทนเขาไม่ได้ค่ะ
เมื่อเขาได้แสดงมาแล้ว เราจึงจะเสนอมุมมองกลับไปค่ะ


ค่ะ

"walaiporn" การแลกเปลี่ยน การสนทนาธรรม ซึ่งก็บอกอยู่แล้วว่า เราเคารพในข้อคิดเห็นของแต่ละคน
ถือว่าเรามาแลกเปลี่ยนในสิ่งที่แต่ละคนรู้ โดยไม่ไปคิดว่า ใครถูก ใครผิด


ค่ะ

"walaiporn" ตรงไหน เห็นไม่ตรงกัน ก็นำมาเสนอหรือแสดงต่อกันได้ค่ะ
สนทนาแบบนี้ จะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายและสำหรับท่านอื่นๆที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ
และอาจจะมีคนที่เห็นแตกต่างไป เข้ามาสนทนาเพิ่มเติมได้ค่ะ
อนุโมทนาสำหรับข้อคิดเห็นค่ะ :b8:


ค่ะ

:b1:

จริง ๆ ความสงสัยของข้าพเจ้า หยุดตั้งแต่ที่ได้อ่านคำตอบของคุณ enlighted แล้วค่ะ
แม้แต่คำถามที่ข้าพเจ้าถามคุณ enlighted กลับไป
และคุณ enlighted ก็ตอบกลับมา ชัดเจน ชัดเจน


ค่ะ :b1:


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 01:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



เรื่องปกติค่ะ :b38:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 01:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kamonchanok เขียน:
enlighted เขียน:
Kamonchanok เขียน:
enlighted เขียน:
สติ...เกิด...ทำให้หยุดคิด(หลง)/อยาก(ตัณหา)

แล้วสติก็ดับลง


:b20:

ทำไมไม่มีใครนำคำกล่าวของคุณไปขยายความคะ :b7:

หรือว่าสิ่งที่คุณกล่าวมา มันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึง คุณค่าทั้งทางบัญญัติ
และทางสภาวะ :b20: :b20:

หรือว่า ทุกคนเมื่อปฏิบัติจนถึงจุดนี้แล้ว ไม่เห็นว่ามันดับลง

:b7: :b20: :b7: :b20:


สติ เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต


:b1: :b1: .... ค่ะ ... :b1: :b1:

พี่คะ พี่เข้ามาแนะบ่อย ๆ ได้รึเปล่าคะ

เพราะอ่านคำชี้แนะของพี่แล้ว เฉิ่มรู้สึกได้ถึงความหยุด ความนิ่งในภาษา

และจุดที่พี่ชี้นั้น มันชัดเจน ชัดเจน และสอดคล้องกับสิ่งที่สะท้อน อยู่ภายใน

ขอบคุณค่ะ ภาษาของพี่ทำให้ เฉิ่ม ได้กลิ่นความสงบนิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ลึก ๆ

และมันกำลังเคลื่อนตัวแผ่กระจายออกมา แทรกซึมไปทุกอณู

เหมือนหมีที่จำศีลในฤดูหนาวมานาน มันกำลังจะตื่นเพราะมันเริ่มได้กลิ่นฤดูใบไม้ผลิโชยมา

ขอบคุณค่ะ


สิ่งเฉิ่มรู้สึก
สิ่งกำลังเคลื่อน
สิ่งที่สะท้อน
อุปมาเปรียบเทียบ
ตื่นจากเหตุเหล่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 01:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

เรื่องปกติค่ะ :b38:


เรื่องปกติของจิต เป็นไตรลักษณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 21:37
โพสต์: 54

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
หัวข้อ: สติ...เกิด...ทำให้หยุดคิด(หลง)/อยาก(ตัณหา)

Kamonchanok เขียน:
"walaiporn" ขออภัยค่ะ :b8:
ที่ถามมาว่า ทำไมไม่มีใครนำคำกล่าวของคุณ enlighted ไปขยายความ?
เหตุที่ไม่แสดงข้อคิดเห็นตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเหตุที่คุณกล่าวมานะคะ


" หรือว่าสิ่งที่คุณกล่าวมา มันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึง คุณค่าทั้งทางบัญญัติ
และทางสภาวะ หรือว่า ทุกคนเมื่อปฏิบัติจนถึงจุดนี้แล้ว ไม่เห็นว่ามันดับลง "


ไม่เป็นไรคะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขออภัย

"walaiporn" เนื่องจากว่า ต้องให้เจ้าของข้อคิดเห็น เขาได้มีโอกาสแสดงข้อคิดเห็นของเขาก่อนว่า
เหตุใด เขาจึงคิดเช่นนั้น เราไปคิดหรือตีความคำพูดของเขาแทนเขาไม่ได้ค่ะ
เมื่อเขาได้แสดงมาแล้ว เราจึงจะเสนอมุมมองกลับไปค่ะ


ค่ะ

"walaiporn" การแลกเปลี่ยน การสนทนาธรรม ซึ่งก็บอกอยู่แล้วว่า เราเคารพในข้อคิดเห็นของแต่ละคน
ถือว่าเรามาแลกเปลี่ยนในสิ่งที่แต่ละคนรู้ โดยไม่ไปคิดว่า ใครถูก ใครผิด


ค่ะ

"walaiporn" ตรงไหน เห็นไม่ตรงกัน ก็นำมาเสนอหรือแสดงต่อกันได้ค่ะ
สนทนาแบบนี้ จะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายและสำหรับท่านอื่นๆที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ
และอาจจะมีคนที่เห็นแตกต่างไป เข้ามาสนทนาเพิ่มเติมได้ค่ะ
อนุโมทนาสำหรับข้อคิดเห็นค่ะ :b8:


ค่ะ

:b1:

จริง ๆ ความสงสัยของข้าพเจ้า หยุดตั้งแต่ที่ได้อ่านคำตอบของคุณ enlighted แล้วค่ะ
แม้แต่คำถามที่ข้าพเจ้าถามคุณ enlighted กลับไป
และคุณ enlighted ก็ตอบกลับมา ชัดเจน ชัดเจน


ค่ะ :b1: :b8:


xxxx ข้อความตัดออกแล้ว xxxxx


ต้องขออภัย คุณ walaiporn ค่ะ

เกิดอะไรขึ้นกับคำสนทนาของข้าพเจ้าในกระทู้นี้หรือคะ
คุณถึงได้ส่งข้อความหลังไมค์ไปหาข้าพเจ้า

จริง ๆ ข้าพเจ้าจะไม่ตอบ เพราะข้าพเจ้าไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะตอบ
ความจริงข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะส่งข้อความดังกล่าวไปให้ท่านผู้ดูแลบอร์ดพิจารณา
และขอให้มีการ lock user นี้ ไม่ให้มีการส่งข้อความไปหาข้าพเจ้าอีก
เหตุผล เพราะข้าพเจ้าพิจารณาแล้ว ข้อความดังกล่าวไม่ได้เป็นไปด้วยธรรม

ข้าพเจ้าเข้ามาที่นี่เพื่อสนทนาธรรม อันนำไปสู่ความสงบใจ เย็นใจค่ะ
ข้าพเจ้าจะเสวนาในกิจอันควรเท่านั้น คือ
กิจอันจะเป็นไปเพื่อความสงบ และกิจอันจะเป็นไปในความสำรวมในธรรม
ส่วนกิจอื่นใดนอกเหนือจากนี้ ต้องขออภัยค่ะ

ข้าพเจ้าไม่ขอข้องเกี่ยวกับกิจที่ท่านยังข้องเกี่ยวอยู่

:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย เว็บมาสเตอร์ เมื่อ 10 เม.ย. 2010, 17:02, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 21:37
โพสต์: 54

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Aunya เขียน:
Kamonchanok เขียน:
Aunya เขียน:
แต่ก่อนข้าพเจ้ามืดเขลาเหมือนเข้าถ้ำ
อยากเห็นธรรมยึดใจจะให้เฉย
ยึดความจำว่าเป็นใจหมายจนเคย
เลยเพลินเชยชมจำธรรมมานาน
ความจำผิดปิดไว้ไม่ให้เห็นจึงหลงเล่นขันธ์ห้าน่าสงสาร
ให้ยกตัวอวดตนพ้นประมาณ
เที่ยวระรานติคนอื่นเป็นพื้นไปไม่เป็นผล
เที่ยวดูโทษคนอื่นนั้นชื่นใจ
เหมือนก่อไฟเผาตัวต้องมัวมอม
ใครผิดถูกดีชั่วก็ตัวเขา
ใจของเราเพียรระวังตั้งถนอม
อย่าให้อกุศลวนมาตอม
ควรถึงพร้อมบุญกุศลผลสบาย
เห็นคนอื่นเขาชั่วตัวก็ดี
เป็นราคียึดขันธ์ที่มั่นหมาย
ยึดขันธ์ต้องร้อนแท้เพราะแก่ตาย
เลยซ้ำร้ายกิเลสกลุ้มเข้ารุมกวน
เต็มทั้งรักทั้งโกรธโทษประจักษ์
ทั้งกลัวนักหนักจิตคิดโหยหวน
ซ้ำอารมณ์กามห้าก็มาชวน
ยักกระบวนทุกอย่างต่างๆไป
เพราะยึดขันธ์ทั้งห้าว่าของตน
จึงไม่พ้นทุกข์ภัยไปได้นา
ถ้ารู้โทษของตัวแล้วอย่าชาเฉย
ดูอาการสังขารที่ไม่เที่ยงร่ำไปให้ใจเคย
คงได้เชยชมธรรมะอันเอกวิเวกจิต
ไม่เที่ยงนั้นหมายใจไหวจากจำ
เห็นแล้วซ้ำดูดูอยู่ที่ไหว
พออารมณ์นอกดับระงับไปหมดปรากฎธรรม
เห็นธรรมแล้วย่อมหายวุ่นวายจิต
จิตนั้นไม่ติดคู่ จริงเท่านี้หมดประตู
รู้ ไม่รู้ อย่างนี้วิถีใจ


:b12: เป็นกลอนรึเปล่าคะนี่ :b12:
แบบว่า มันไม่ค่อยคล้องจองกันนัก แต่ชอบเนื้อหาสาระค่ะ :b9:
เอากลอนแบบนี้ มาฝากบ่อย ๆ นะคะ


:b15: Kamonchanok คือ กมลชนก
เพราะเป็นกมลชนก จึง ชื่อ กมลชนก ค่ะ...
:b12: :b12: :b12:


เป็นคติธรรมของหลวงปู่มั่น ซึ่งได้ตัดตอนเอามาให้เหมาะสมกับเหตุการณ์
ชื่อว่า ขันธวิมุตติสมังคีธรรมะลองไปหาอ่านดูเอานะ


"คุณเชื่อไหม ไม่ว่าคนๆนั้น เขาจะอยู่ในชื่อไหนๆ
ไม่ว่าเขาจะโพสอะไรมา คุณจะมีความรู้สึกพิเศษกับเขา


เขาคือคนๆเดียวกัน แต่ใช้หลายๆชื่อ
ไม่ว่าเขาจะอยู่ในร่างไหนๆก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นร่างของหญิง
หรือชายก็ตาม จะเป็นคนที่คุณรู้สึกชื่นชอบพิเศษมาตลอดเวลา


จริงๆแล้ว แบบคุณนี่ จะปฏิบัติด้านแนวดูจิตจะไปได้ดี
เพราะคุณไม่ค่อยหนีเงาตัวเอง คุณจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว"


ว่าไปแล้ว คำกล่าวของคุณ ข้าพเจ้าขอน้อมรับอย่างเต็มอกเต็มใจก็ได้ค่ะ :b17: :b12:
:b1: เหมือนเป็นคำกล่าวที่ตอกย้ำความเข้าใจในธรรมของข้าพเจ้า ยิ่งขึ้น :b1: :b17: :b12:

เพราะบังเอิญ กับคำถามในลักษณะเดียวกันที่ข้าพเจ้าได้ถาม คุณ Aunya
คุณ Aunya ก็เพิ่งได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน

สิ่งที่สะดุดตาข้าพเจ้า เป็นพิเศษเป็นเช่นนี้เอง

แล้วข้าพเจ้า คิดว่าข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องปฏิบัติแนวไหนแล้วค่ะ
เพราะแนวที่ข้าพเจ้าปฏิบัติ ไม่ว่าผู้กล่าวธรรมจะเป็นใคร
เมื่อเป็นธรรมที่ออกมาจากอริยะ ข้าพเจ้าก็สัมผัสได้ถึงอรรถที่หมาย
และแสดงความชื่นชมออกมาว่านั่นคือธรรมอันงาม

"เพราะคุณไม่ค่อยหนีเงาตัวเอง คุณจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว"

:b20: :b20: :b20: :b20:

โอย คำกล่าวของคุณมันช่างทิ่มลึกซึ้งไปถึงขั้วหัวใจ
ตอกย้ำได้ลึก ยิ่งกว่าตอกตะปู :b20: :b20:

ซึ่งการมีสายตาเห็นในธรรมอันงามว่างาม :b8:

นั่นแสดงว่าข้าพเจ้าได้เดินมาถูกทางแล้ว :b1:

:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

ขอบคุณนะคะ คุณ walaiporn ที่ได้ชี้นำให้ข้าพเจ้าได้เห็นจุดยืนของตัวเองในธรรม ค่ะ
ขอบคุณจริง ๆ :b20: :b8:

:b20: :b20: :b20: :b20: :b20:


แก้ไขล่าสุดโดย Kamonchanok เมื่อ 10 เม.ย. 2010, 18:33, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ด้วยความยินดีนะคะ :b12:
อีกอย่าง เมื่อคุณแสดงเจตจำนงค์ชัดเจนแบบนี้แล้ว ไม่ต้องกังวลใดๆหรอกค่ะ
แค่บอกให้รู้ พูดให้ฟัง ให้เข้าใจถึงเหตุและผล
เพราะเรื่องบังเอิญบนโลกใบนี้หรือที่ไหนๆย่อมไม่มี
มันจะมีแต่เหตุที่กระทำและผลที่ได้รับ
นี่คือเรื่อง " ปกติ "

คำว่า " เรื่องปกติ " ไม่ใช่เรื่องของไตรลักษณ์ แต่เป็นเรื่องของเหตุและผล
ใครสร้างเหตุอย่างไร เขาย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ใครเชื่อใคร เพราะเขาทั้งหลายเคยสร้างเหตุมาร่วมกัน จึงได้มาเชื่อถือกัน
ใครไม่เชื่อใคร เพราะเขาทั้งหลายไม่เคยสร้างเหตุมาร่วมกัน จึงไม่มาเชื่อกัน

ต่อให้มีคำพูดว่า " เอหิปัสสิโก " พูดยังไงก็ไม่มาเชื่อกันหรอก
เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้สร้างเหตุมาร่วมกัน
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องของไตรลักษณ์


อนุโมทนาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันค่ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สัจจานุโลมิกญาณ -ทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิ

สัจจานุโลมิกญาณ แปลว่า ปัญญาที่เป็นไปตามลำดับแห่งอริยสัจธรรมทั้ง ๔ คือ
ปัญญาที่เป็นอนุโลมตามญาณต่ำและญาณสูง อนุโลมตามโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
จัดเป็นสัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูก เห็นตรง เห็นไม่ผิด สัมมาทิฏฐินั้น

ได้จำแนกออก ๓ อย่าง ดังนี้

๑. กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆตน

๒. ทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ วัตถุ ๑๐

๓. จตุสัจจสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ ที่เห็น อริยสัจ ๔


ทสวัตถุสัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูกมีวัตถุ ๑๐ คือ

๑.อตฺถิ ทินฺนํ สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก คือ เห็นว่าทานที่บุคคลให้แล้วมีผลแน่นอน เช่น
เมณฑกเศษฐีเป็นตัวอย่าง ดังมีเรื่องเล่าไว้ว่า


แพะทองคำประมาณเท่าช้าง ม้า โค ได้ผุดขึ้นที่หลังเรือนของท่านเศรษฐีคนหนึ่ง
จึงมีนามว่า เมณฑกเศษฐี เพราะบุพกรรมที่ได้ทำบุญไว้แต่ชาติก่อน ครั้นศาสนาของพระพุทธเจ้า
พระนามว่า วิปัสสี ท่านผู้นี้ได้สร้างศาลารายถวายแด่พระตถาคตเจ้าและสร้างธรรมาสน์ไว้
สร้างแพะไว้ ๖ ตัว ตั้งแวดล้อมมณฑป ตั้งไว้ภายใต้ตั่งรองเท้าขึ้นธรรมสาน์ ๒ ตัว

ได้ทำการฉลองศาลา โดยนิมนต์พระบรมศาสดาพร้อมทั้งพระสงฆ์รับภัตราหาร
ได้ถวายทานตลอด ๔ เดือน วันสุดท้าย ได้ถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ ทุกรูป มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

ครั้นตายจากชาตินั้น ได้ไปบังเกิดเป็นเทวดา และมนุษย์ ต่อมาได้มาบังเกิดในสกุลเศษฐี
มีโภคะมาก ในเมืองพาราณสี ได้ทำทานตลอดอายุขัย

ครั้นมาถึงศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าของเรา ก็ได้มาเกิดในสกุลเศษฐีในภัททิยนคร ผลสุดท้าย
ได้พบพะรพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาให้ฟังว่า ท่านเศษฐีได้ตั้งใจฟัง
และเจริญวิปัสสนาจนได้บรรลุโสดาปัตติผล

นิทานเรื่องนี้ ชี้ให้เห็นเป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดีว่า คนเราตายแล้วเกิดอีก ถ้าใครทำดีไว้
ก็ได้เกิดในที่ดี ถ้าใครทำชั่วไว้ ก็ได้เกิดในที่ชั่ว ท่านผู้ได้เป็นเศษฐีก็เพราะได้ทำบุญไว้

ความเห็นถูก คือ เห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วมีผลแน่นอน จัดเป็นสัมมาทิฏฐิข้อที่หนึ่ง


๒. อตฺถิ ยิฏฐํ สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก คือ เห็นว่า ของที่เราบูชาไปแล้วมีผลแน่นอน เช่น อามิสบูชา บูชาด้วยอามิส มีดอกไม้ ธูปเทียน เสนาสนะ ยาแก้ไข้ เป็นต้น

ปฏิปัตติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติตาม เช่น ถึงไตรลักษณ์ รักษาศิล ฟังธรรม
เจริญสมถะ และวิปัสสนาเป็นตัวอย่าง

๓. อตฺถิ หุตํ สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก คือ เห็นว่า ของที่เราบริจาคไปแล้ว
เป็นของมีผลตามเจตนาของผู้บริจาค เช่น

บริจาคสร้างโรงพยาบาล สร้างศาลาการเปรียญ สร้างกุฏิวิหาร สร้างพระไตรปิฎก ถือว่าเป็นมหากุศล
มีผลให้ได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติในภพชาติต่อๆไป
ตามสมควรแก่ปณิธานที่ผู้บริจาคได้ตั้งใจไว้


๔. อตฺถิ กมฺมานํ ผลวิปาโก สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก คือ เห็นว่า ผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่ว
เป็นของมีจริง ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว ดังตัวอย่างในปัจจุบัน เช่น

มีท่านผู้หนึ่งโกรธให้แมว เอาน้ำมันก๊าดราดลงไป เอาเชือกผูกไว้ ขีดไม้ขีดไฟใส่แมว แมวถูกไฟเผาตาย
ไปในไม่ช้า ครั้นต่อมาประมาณเดือนเศษ ท่านผู้นั้นก็ถูกไฟไหม้ตายไปดุจแมวตัวนั้น

ส่วนในอดีตมีอยู่ เช่น นายพรานสุนัข ชื่อ โกกะ ได้พาสุนัขไปไล่เนื้อ เผอิญไปพบพระรูปหนึ่ง
เข้าใจว่าตัวได้พบคนกาฬกัณณี จะไม่ได้เนื้อเป็นแน่ในวันนี้ และก็เป็นความจริง วันนั้นทั้งวัน
ไม่ได้เนื้อเลยสักตัวเดียว ตอนกลับบ้านมาพบพระรูปนั้นอีกจึงมีความโกรธมาก จึงยุหมาให้กัดท่าน
ท่านรีบขึ้นต้นไม้ ห้ามไว้ไม่ยอมฟัง มิหนำซ้ำ ยังเอาหอกแทงเท้าของท่านอีก ท่านเจ็บปวดมากไม่มีสติ
จีวรหลุดมาคลุมหัวนายพราคนนั้น สุนัขเข้าใจว่า พระตกลงมา ก็พากันกัดกินจนเหลือแต่กระดูก
นี้ก็เป็นผลแห่งกรรมชั่วที่ว่า " ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั่นถึงตัว ทำชั่วได้ชั่ว "

ส่วนในฝ่ายดีก็มี เช่น ลิงที่ถวายรวงผึ้งแก่พระพุทธเจ้า ครั้งประทับอยู่ที่ป่าเรไรกับช้างตัวหนึ่ง
ได้พากันปรนนิบัติพระพุทธเจ้า ครั้นตายไป ก็ได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ นอกจากนี้ก็ยังมีตัวอย่าง
อีกมาก เช่น จูเฬกสาฎกพราหมณ์และนางราชธิดา ธัมมิกอุบาสก เป็นต้น


๕. อตฺถิ มาตา สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่า มารดาเป็นผู้มีพระคุณต่อลูกมาก
เพราะท่านประกอบด้วยพรหมวิหารธรรม ๔ เป็นพระพรหมของลูกเป็นเทวดาของลูก
เป็นอาจารย์ของลูก และเป็นพระของลูก ห้ามไม่ให้ลูกทำชั่ว ให้ลูกตั้งอยู่ในความดี ให้ศึกษาศิลปวิทยา
หาภรรยาสามีที่สมควรให้ มอบทรัพย์สมบัติให้ในสมัย ถ้าลูกคนใดปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตอบแทน
บุญคุณท่าน โดยความเคารพคารวะจงรักภักดี เช่น ท่านได้เลี้ยงมา แล้วเลี้ยงท่านตอบ
ทำกิจการงานของท่านดำรงวงศ์สกุล ประพฤติตน ให้สมควรจะรับทรัพย์มรดก ให้ท่านได้ให้ทาน
รักษาศิล ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เช่น เจริญสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน
เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ลูกคนนั้นจะได้รับความยกย่องสรรเสริญ
จะได้รับความสุขทั้งภพนี้และภพหน้า

๖. อตฺถิ ปิตา สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่า บิดาก็เป็นผู้มีบุญคุณต่อลูกมาก
เช่นเดียวกับมารดา แล้วปรนนิบัติอุปฐากตอบแทนคุณท่านด้วยหลัก ๖ ประการดังกล่าวมานั้น
องค์สมเด็จพระจอมธรรม์ทรงยกย่องสรรเสริญไว้ว่า เป็นการตอบแทนคุณที่ถูกต้อง
ตามทำนองคลองธรรมแท้

๗. อตฺถิ สตฺตา โอปฺปาติกาสมฺนทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่าอบายภูมิ ๔ เป็นของมีจริง
เทวภูมิก็เป็นของมีจริง พรหมภูมิเป็นของมีจริง

๘. อตฺถิ อยํ โลโก สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่าโลกนี้เป็นของมีอยู่จริง

๙. อตฺถิ ปรโลโก สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่าโลกหน้าเป็นของมีอยู่จริง

๑๐. อตฺถิ โลโก สมณพฺราหมณา สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่า สมณพราหมณีผู้ประพฤติ
ปฏิบัติชอบ มีอยู่ในโลกแน่นอน


เมื่อท่านผู้ใด ได้ปฏิบัติธรรมจนถึง อนุโลมญาณแล้ว ท่านผู้นั้นจะมีความเห็นถูกเกือบเต็ม
ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเลยไปอีกสักสองญาณเท่านั้น ผู้นั้นจะหายความข้องใจสงสัยในเรื่องโลกนี้
โลกหน้า บุญ บาป นรก สวรรค์ นิพพาน ได้โดยสิ้นเชิง

เพราะฉะนั้น ทางที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้และเป็นหนทางที่ยังสรรพสัตว์ ให้รีบรัดตัดตรง
ข้ามห้วงมหรรณพภพสงสาร เข้าสู่อมตมหานฤพานได้นั้น ก็มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ สติปัฏฐาน ๔

พระอริยสาวกที่ล่วงมาแล้วก็ดี ที่จะมาข้างหน้าก็ดี ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ดี จำเป็นต้องดำเนินตาม
สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ด้วยกันทุกๆรูป จึงจะได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน เช่น พระโมฆราช เป็นตัวอย่าง
มีประวัติย่อม ดังต่อไปนี้คือ


ท่านพระโมฆราช เป็นบุตรพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัย ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์
ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อศึกษาศิลปวิทยาตามประเพณี
ของพราหมณ์ ครั้นพราหมณ์พาวรีเบื่อหน่ายในฆราวาสทูลลาพระเจ้าปัสเสนทิโกศลออกจาก
ตำแหน่งปุโรหิต ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติตนตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ
โคธาวารี ระหว่างพรหมแดนแห่งเมืองอัสสกะ และอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพท
แก่หมู่ศิษย์โมฆราชพร้อมด้วยมาณพ ๑๕ คน พาบริวารออกบวชติดตามไปอยู่ด้วย

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของสักยราชเสด็จออกบรรพชา
ปฏิญญาณพระองค์ว่า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชาชน มีคนเชื่อและเลื่อมใส
ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนแก่ประชาชน มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวก
ประพฤติปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก

พราหมณ์พาวรีคิดหลากหลายใจ ใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คนมา
มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาไว้ให้คนละหมวดๆ ให้ไปทูลถามลองดู โมฆราชมาณพคนหนึ่ง
อยู่ในจำนวนนั้น พร้อมกับลาพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ พาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา
ที่ปาสาณเจดีย์แว่นแคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา

เมื่อได้รับพระอนุญาตแล้ว อชิตมาณพทูลถามปัญหาเป็นคนแรก ครั้นพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว
โมฆราชปรารภจะทูลถามปัญหาดีกว่ามาณพทั้ง ๑๖ คนคิดทูลถาม แต่เห็นว่า อชิตมาณพ
เป็นผู้ใหญ่กว่าและเป็นหัวหน้าจึงยอมให้ทูลถามก่อน พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามว่า โมฆราชท่าน
รอให้มาณพอื่นถามก่อนเถิด โมฆราชก็หยุดอยู่ ต่อแต่นั้นมาณพอื่นได้ทูลถามปัญหาเป็นลำดับๆกัน
ถึง ๘ คนแล้ว โมฆราชมาณพปรารภจะถามปัญหาเป็นคนที่ ๙ อีก พระบรมศาสดาทรงห้ามไว้ดุจ
นัยหนหลัง โมฆราชก็ยับยั้งนิ่งอยู่ รอให้มาณพอื่น ทูลถามถึง ๑๔ คนแล้ว จึงทูลถามปัญหา
เป็นคนที่ ๑๕ ว่า

ทฺวาหํ สิก อปุจฺฉิสฺสํ น เม พฺยากาสิ จกฺขุมา

ข้าแต่พระองค์ผู้ศักยวงศ์ ข้าพระองค์ได้ทูลถามปัญหาถึง ๒ ครั้งแล้ว พระองค์ผู้มีญาณจักษุ
หาได้ทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ไม่ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่าทูลถามถึง ๓ ครั้งแล้ว
พระองค์ย่อมทรงพยากรณ์

อยํ โลโก ปโร โลโก พฺรหฺมโลโก สเทวโก

ในโลกนี้ ดลกอื่น พรหมโลก กับทั้งเทวโลก ย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ผู้โคดม
ทรงบริบูรณ์ด้วยเกียรติยศ อิสริยยศ ปริวารยศ ข้าพระองค์มีความประสงค์จะทูลถามปัญหา
จึงได้มาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงเห็นธรรมอันประเสริฐอย่างนี้

กถํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ

ข้าพระองค์จะพิจรณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชคือความตาย จึงไม่แลเห็น คือไม่ตามทัน?

พระพุทธองค์ทรงพยาการณ์ว่า

" สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต "

" ดูก่อนโมฆราช ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจรณาเห็นโดยความเป็นของสูญ คือ ว่างเปล่าจากความเที่ยง
จากสุข จากสัตว์ จากบุคคล ตัวตน เรา เขา ทุกเมื่อเถิด ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือ ความตามเห็นว่า
เป็นตัวตนเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านจึงข้ามพ้นพระยามัจจุราชได้ พระยามัจจุราชจะไม่แลเห็น
จะไม่ตามทัน ซึ่งบุคลลผู้พิจรณาเห็นโลกด้วยอาการอย่างนี้ " ดังนี้

เมื่อพระองค์ทรงแก้ปัญหาไป ท่านก็เจริญวิปัสสนาตามไป ในที่สุดก็มีวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นมา
โดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ ปัจจเวกขณญาณ
โดยอวสานก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

โมฆราชมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวารทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย
พระองค์ทรงอนุญาติให้เป็นพระภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุสัมปทา

เมื่อท่านโมฆราชได้อุปสมบทแล้ว ท่านยินดีในจีวรสีกลัก คือ มีสีเศร้าหมอง ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับยกย่อง
จากพระบรมศาสดาว่า " เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง "

ท่านได้ทำกิจพระศาสนา ช่วยเหลือพระบรมศาสดามาทั้งในด้านคัถธุระ และวิปัสสนาธุระ
จนกระทั่งถึงอายุขัยก็ดับขันธ์ปรินิพพานไป ตามประวัตินี้ ชี้ให้เห็นว่า พระอริยสาวกทุกๆรูป
ต้องลงมือเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ผ่านวิปัสสนาญาณมาโดยลำดับๆ นับตั้งแต่ต่ำจนกระทั่งถึงสูง
ผลสุดท้ายก้มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปทาน ดังพระโมฆราชเป็นตัวอย่าง

คำว่า สัจจานุโลมิกญาณ แปลว่า ปัญญาที่เป็นไปตามลำดับ นับตั้งแต่ญาณที่ ๔
จนกระทั่งถึงญาณที่ ๑๒ ซึ่งเริ่มเห็นอริยสัจธรรมทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
อันเป็นส่วนโลกียะได้ดี ความเห็นจริงอย่างนี้ จัดเป็น สัมมาทิฏฐิ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

.............................
.............................
แค่บอกให้รู้ พูดให้ฟัง ให้เข้าใจถึงเหตุและผล
เพราะเรื่องบังเอิญบนโลกใบนี้หรือที่ไหนๆย่อมไม่มี
มันจะมีแต่เหตุที่กระทำและผลที่ได้รับ
นี่คือเรื่อง " ปกติ "

คำว่า " เรื่องปกติ " ไม่ใช่เรื่องของไตรลักษณ์ แต่เป็นเรื่องของเหตุและผล
ใครสร้างเหตุอย่างไร เขาย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ใครเชื่อใคร เพราะเขาทั้งหลายเคยสร้างเหตุมาร่วมกัน จึงได้มาเชื่อถือกัน
ใครไม่เชื่อใคร เพราะเขาทั้งหลายไม่เคยสร้างเหตุมาร่วมกัน จึงไม่มาเชื่อกัน

ต่อให้มีคำพูดว่า " เอหิปัสสิโก " พูดยังไงก็ไม่มาเชื่อกันหรอก
เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้สร้างเหตุมาร่วมกัน
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องของไตรลักษณ์
.......................................................



:


แค่บอกให้รู้ พูดให้ฟัง ให้เข้าใจถึงเหตุและผล

เมื่อไรจะเข้าถึงจิตได้
เมื่อยังติดอยู่แค่ เหตุและผล
อันเป็นเงาของจิต เท่านั้น

ปกติของจิต เป็นเรื่องไตรลักษณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
แค่บอกให้รู้ พูดให้ฟัง ให้เข้าใจถึงเหตุและผล

เมื่อไรจะเข้าถึงจิตได้
เมื่อยังติดอยู่แค่ เหตุและผล
อันเป็นเงาของจิต เท่านั้น

ปกติของจิต เป็นเรื่องไตรลักษณ์




รู้แตกต่างกัน เรื่องปกติค่ะ รู้โดยบัญญัติ รู้โดยปรมัตถ์
ถ้ารู้เหมือนๆกัน คงหมดเรื่องสนทนา :b38:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2010, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:



รู้แตกต่างกัน เรื่องปกติค่ะ รู้โดยบัญญัติ รู้โดยปรมัตถ์
ถ้ารู้เหมือนๆกัน คงหมดเรื่องสนทนา :b38:


ชื่อว่า จิตเศร้าหมอง
เพราะยังมีเครื่องเศร้าหมองเป็นบัญญัติ นอนจมอยู่
มากำบังความรู้ที่เป็น ธาตุรู้
จึงไม่อยู่ปรมัตถ์เพียงฝ่ายเดียว
เหยียบเรือสองแคม บัญญัติ ปรมัตถ์

เป็นปกติ ของจิตเศร้าหมอง

รู้ ไม่แตกต่างใดๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 276 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 183 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร