ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

"คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=30044
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  กวางน้อย [ 14 มี.ค. 2010, 20:05 ]
หัวข้อกระทู้:  "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

:b41: :b42: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร? รับฟังทุกๆความคิดเห็นนะคะ :b42: :b41:

เจ้าของ:  ลูคาร์ บราซี่ [ 14 มี.ค. 2010, 20:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

คนดี พูดดี ทำดี คิดดี รู้สึกแต่แง่ดีๆ
ทำในสิ่งไม่ดีได้ยาก จนถึงทำไม่ได้

คนตรง พูดตรงตามที่คิด ตามที่รู้สึก ตามที่เข้าใจ ตามที่ตนรู้ตนเห็น
และแม้แต่ตามที่ตนเข้าใจผิด

คนดีและคนตรง มีโอกาสที่จะกลายเป็นคนเข้าใจคนผิด เข้าใจเรื่องราวผิด
จนเห็นคนดีเป็นคนไม่ดี เห็นคนไม่ดีเป็นคนดี
ถ้าคนดี และคนตรงนั้น ยังไม่ใช่้คนที่มีปัญญาพอ

..................................................

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 14 มี.ค. 2010, 21:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

พระพุทธเจ้าท่านมีหลักให้
ชื่อ สัปปุริสธรรม 7
ลองไปศึกษาดูว่า คุณสมบัติของคนดี ในแบบพระพุทธเจ้า ท่านว่าไว้อย่างไร

ผมขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมนิดนึง

สำหรับปุถุชนคนธรรมดาแล้ว
คนดี ไม่มีจริง
คนเลว ก็ไม่มี

คนหนึ่งคน มีทั้งดีทั้งเลว
ใครที่ควานหาคนดี หรือควานหาคนเลว จะหาไม่เจอ
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนที่ดีหมดจรด หรือเลวหมดจรด

ความเลวนี่นะครับ
ถึงระดับหนึ่ง มันมีหน้าตาเหมือนความดีไม่มีผิด
คนจำนวนมากในทุกวันนี้ หลงผิดว่าความเลว เป็นความดี
ทำให้ยากในการแยกแยะว่าเป็นความดีหรือความเลว

คนทุกวันนี้ หิวกระหายความดีกันมาก
อะไรดูหน้าตาคล้ายๆความดี ก้คว้ามาสวาปามกันอย่างไม่ระวัง
เลยตกเป็นเหยื่อของความเลว

อย่างเช่น การเกลียดความเลว ก็เป็นความเลว
เพราะอะไร เพราะเกลียดความเลวของคนอื่น
แต่พอเป็นตัวเองทำบ้าง ไม่รู้สึกรังเกียจตนเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าควรรังเกียจ

ยิ่งเกลียดความเลวเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์
ถ้าเป็นความดี ผลต้องเป็นสุข

คนที่ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่จะเป้นโรคนี้กันมาก คือโรคเกลียดความเลว
เพราะเราศึกษาธรรมไปมากๆ ความรู้สึกนึกคิดมันจะแหวกระแสโลกมาก อยู่กับโลกลำบากมากขึ้น
คนนั้นก็เลว คนนี้ก็โง่ แล้วยังมาพาเราไปเลว ชวนเราไปโง่
อย่างชวนเราไปสะเดาะเคราะห์ ดูดวง ไหว้เทพนั่นเทพนี้

หรืออย่างการทำงาน เราเห็นหมดเลยว่าใครชั่วยังไง เราเรียนเรื่องความชั่วมาเยอะ
เช่น บางคน เวลาคนอื่นมาทำชั่วใส่ ก็ไม่ชอบใจ บ่นอย่างนนั้น นินทาอย่างนี้
แต่พอตัวเองเป็นคนทำบ้าง (ทำอย่างเดียวกันด้วยนะ เป๊ะๆ) ก็หน้าตาเฉย
ไม่มีความรู้สึกรังเกียจความเลวของตนเลย ทั้งๆที่เป้นเรื่องแบบเดียวกัน
เข้าทำนองว่า "ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง"

แต่ผมพบว่า ยิ่งเราไปเกลียดความเลวคนอื่นเท่าไหร่ เราจะยิ่งทุกข์มากเท่านั้น
แสดงว่าเราต้องทำอะไรผิด ถ้าทำความดี มันต้องมีผลเป็นความสุขสิ
ทำไมเราเกลียดความเลว แต่เรากลับทุกข์หนักกว่าเดิม
ก็ได้ความว่า ที่เกลียดน่ะ เกลียดแต่ความเลวของคนอื่น
ไม่โอปนยิโก คือไม่น้อมกลับเข้ามาดูที่ตนเอง พิพากษาจับผิดจ้องโทษตัวเอง

พอเราจับผิดตนเองได้บ่อยเข้า เรากลับเข้าใจคนอื่นนะ มันแปลกตรงนี้
เข้าใจตนเองมากท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจคนอื่นเท่านั้น
เข้าทำนอง ภาษิตว่า "เอาใจเขา มาใส่ใจเรา" คือเห็นอกเห็นใจเขา

เวลาเราเห็นความชั่วคนอื่น กลับมองเห็นตนเองนะ
ว่า"อ้อ เราชั่วอย่างนี้นี่เอง เคยชั่วอย่างนี้นี่เอง"
"อ้าว นี่มันตัวเราที่เคยทำนี่นา" "อ้าว เราก็เคยทำอย่างนี้"
หรือเวลาเห้นความโง่ของคน เราก็กลับเห็นตัวเอง
ว่า "อ้าว เราเคยโง่อย่างนี้นี่นา" "ก็เลยคิดอย่างนี้ ก็เลยทุกข์อย่างนี้"

เห็นไปอย่างนี้เรื่อยๆ เราจะเกลียดความชั่วน้อยลงนะ
กลายเป้นว่า บางครั้งคนมาทำเลวกับเรา (บางคร้งนะ) ก็ถึงกลับเกิดความสงสารขึ้นมา
ประหลาดนะ คนทำชั่วใส่เรา เรากลับสงสาร

แต่ส่วนใหญ่ของผม เวลาคนมาทำชั่วใส่ มันก็เครียดนะ
เพราะมันเป็นภาระขั้นมา ที่ต้องทำ เช่นความไม่รู้จักการวางแผนแต่เนิ่นๆของเพื่อนร่วมงาน
ทำให้เราต้องทำงานส่วนของเราแบบฉุกเฉินบ่อยๆ นึกจะเอาก็จะเอา
พรุ่งนี้จะใช้ วันนี้ถึงมาบอก อะไรทำนองนี้
แบบนี้มันก็เครียด โกรธก็โกรธนะ แต่ว่าเราโกรธไม่นาน ไม่เครียดนาน
เพราะเราเรียนรู้ว่า ยิ่งเราเกลียดความชั่วของคนอื่นเท่าไหร่ เราจะเครียดนานเท่านั้น โกรธนานเท่านั้น
ลงทุนเท่าไหร่ ได้เท่านั้นเลยนะ

ซึ่งไม่มีความสุขเลย กับการที่ต้องตกอยู่ในอารมณ์โกรธ อารมณ์เครียด
แต่ว่าพอทันทีที่เราตัดบุคคลออกไปได้ ให้อภัยเขาได้ ความทุกข์มันหายไปครึ่งหนึ่งเลย
มันก้จะเหลือแต่งาน มันไม่มีคน มีแต่งาน เครียดเพราะงาน
มันมีเวลามาเกี่ยว มันมีคูณภาพมาเกี่ยว เราก็เครียด
แต่พองานเสร็จ เราก็โล่ง หมดภาระ ทั้งกายทั้งใจ จบสำหรับ session นี้
ที่เหลือก้คือได้เวลาลั๊นลา


สรุป - เกลียดความชั่ว เป็นทุกข์

เจ้าของ:  Supareak Mulpong [ 14 มี.ค. 2010, 22:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

ศีล ๕ เป็นบรรทัดฐานตัวชี้วัดความดีเลวของทุกๆ ศาสนา เป็นศีลที่พระอริยะทั้งหลายใคร่ครวญดีแล้ว ทุกศาสนาที่สั่งสอนคนให้เป็นคนดี ต่างก็วางหลักของความดีไม่พ้นศีล ๕ นี้

ศาสนาอื่นต่างจากพุทธที่ พุทธฝึกคนให้เป็นคนดี ไม่ได้สั่งหรือสอนคนให้เป็นคนดี สอนแต่เหตุผลและวิธีการเพื่อนำกลับไปฝึกเอง เพราะศาสนาพุทธเป็นเพียงศาสนาเดียวในโลก ที่แสดงเรื่องของเหตุปัจจัย พระพุทธองค์บอกว่า ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกใหนๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุจากปัญจัยทั้งสิ้น ไม่มีคำว่าบังเอิญในศาสนาพุทธ

คนจะดี ก็เพราะมีเหตุ คนจะเลวก็เพราะมีเหตุ คนดีจริงๆ ก็คือพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่เหลือมีดีเลวปะปน ดีมากกว่าเลว ก็คือ คนดี เลวมากกว่าดี ก็คือไม่ดี

จะฝึกตนให้เป็นคนดี ก็ต้องสร้างเหตุดี คือ ทำบุญ สร้างสัมมาทิฏฐิ ไม่ทำบาปหรืออกุศลทั้งหลาย

คนจะเลวก็เพราะสั่งสมความพอใจไม่พอใจไว้ในจิตใจมาก ปล่อยให้ความพอใจไม่พอใจบังคับบัญชา จนไม่สามารถสั่งตัวเองได้ ทำบาปทำกรรมตลอดชีวิต ... :b38:

เจ้าของ:  varinne [ 15 มี.ค. 2010, 00:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

คนดี คือคนที่มี หิริโอตัปปะ
รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี รู้ว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป

คนเลว... ก็ตรงข้ามกับข้างบน :b39: :b39: :b39:

เจ้าของ:  Rosarin [ 15 มี.ค. 2010, 10:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

tongue
:b1:
...ดีกับเลวแยกที่เจตนา...
...เจตนาดีผลก็น่าจะดี...
...เจตนาไม่ดีผลก็น่าจะร้าย...
...คนเจตนาไม่ดีเรียกว่าพาล...
...จงหลีกเลี่ยงการคบหากับคนพาล...
:b12:
:b27: :b27:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

เจ้าของ:  ตรงประเด็น [ 15 มี.ค. 2010, 11:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

พระเทวทัต ที่ละทิ้งลาภยศความสุขสบายในราชนุกูล ออกบรรพชาตามพระพุทธองค์ และ สำเร็จโลกียฌาน....ในขณะนั้น น่าจะเรียกว่า คนดี น่ะ

กับ

พระเทวทัต ที่กลับกลายมามักใหญ่ใฝ่สูงคิดจะปกครองสงฆ์แทนพระพุทธองค์ จนกระทำสังฆเภท....รวมทั้ง ยุให้ลูก(พระเจ้าอชาตศัตรู)ฆ่าพ่อ(พระเจ้าพิมพิสาร)....ในขณะนั้น น่าจะเรียกว่า คนเลว น่ะ

กับ

พระเทวทัต ที่ขณะจิตสุดท้ายก่อนจะตาย ระลึกได้ใน บาป-บุญ-คุณ-โทษ ตั้งจิตอธิษฐานถวายกระดูกคางของตน(ที่ยังไม่จมไปในดิน)เป็นพุทธบูชา และ ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกๆ ในอาคต....ในขณะนั้น น่าจะเรียกว่า คนดี น่ะ

กับ

พระเทวทัตในอนาคตอันไกลโพ้น หลังจากชดใช้เวรกรรมในนรกแล้ว มาเกิดใหม่ และ จะตรัสรู้เป็นพระปัจเจกๆ และ สิ้นชาติ-ขาดภพ-จบพรหมจรรย์....ในเวลานั้น น่าจะเรียกว่า คนเหนือโลก




แล้ว ตกลงว่า

คนดี คนเลว คนเหนือโลก .... แตกต่างกันตรงไหนล่ะ???

เจ้าของ:  ตรงประเด็น [ 15 มี.ค. 2010, 11:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

จิตเดิมแท้นั้น ประภัสสรผ่องใส แต่ เศร้าหมองเพราะอุปกิเลส จรมา




คนเลว ...ก็น่าจะหมายถึง คนที่ขาดสติบ่อยๆ ปล่อยให้อุปกิเลสจรเข้ามาในจิตได้บ่อยๆ และ ทำชั่วบ่อยๆ แต่ ทำความดีไม่บ่อย ....เพราะเหตุนั้น จิตจึงเศร้าหมองได้บ่อยๆ


คนดี ... ก็น่าจะหมายถึง คนที่ขาดสติไม่บ่อย ปล่อยให้อุปกิเลสจรเข้ามาในจิตไม่บ่อย และ ทำชั่วไม่บ่อย แต่ ทำความดีบ่อยๆ.... เพราะเหตุนั้น จิตจึงเศร้าหมองไม่บ่อย


คนเหนือโลก... ก็น่าจะหมายถึง คนที่สติสมบูรณ์(สติสัมปันโน) บังเกิดญาณ ละอาสวะกิเลสได้ขาด จนเหนือทั้งบุญ และ บาป ...เพราะเหตุนั้น จิตจึงไม่กลับไปเศร้าหมองอีกเลย

เจ้าของ:  ตรงประเด็น [ 15 มี.ค. 2010, 11:23 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

ผมสนใจ คำสอนของฮวงโป ที่ว่า


“.....พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง

นอกจากจิตหนึ่งแล้ว มิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย ...."




จิตหนึ่ง นั้น โดยพื้นเดิมย่อมประภัสสรผ่องใส

ต่างกันแต่ว่า จิตเดิม นั้น ยังคงมีอุปกิเลสจรมาอยู่ไหม???


คนดี คนเลว ...มีอยู่จริงไหม???

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 15 มี.ค. 2010, 11:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

ตรงประเด็น เขียน:
ผมสนใจ คำสอนของฮวงโป ที่ว่า


“.....พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง

นอกจากจิตหนึ่งแล้ว มิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย ...."




คุณพี่หมอครับ
ผมนึกว่าเป็นรจนาวาทะของของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จากหนังสือ "จิตหนึ่งคือพุทธะ"

http://www.fungdham.com/download/book/a ... ul/001.pdf

เจ้าของ:  นิรินธน์ [ 15 มี.ค. 2010, 13:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

คำสอนฮวงโป แปลโดยพุทธทาสภิกขุ
ภาคหนึ่ง บันทึกชึนเชา

สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหก( ทาน, ศีล, ขันติ, วิริยะ, สมาธิและปัญญา:ผู้แปล) ก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆกันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ดี เหล่านี้นั้น จงคิดดูเถิด ถ้าเมื่อเธอเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสัจจะพื้นฐานในทุก ๆ กรณีอยู่แล้ว (คือเป็นจิตหนึ่ง หรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว) เธอก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้น มิใช่หรือ. เมื่อไรโอกาสอำนวยให้ทำ ก็ทำมันไปและเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว อยู่เฉย ๆ ก็แล้วกัน.
ถ้าเธอยังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า จิต นั้น คือ พุทธะ ก็ดี. และถ้าเธอยังยึดมั่นถือมั่น ต่อรูปธรรมต่าง ๆ อยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ อยู่ก็ดี และต่อพิธีการบำเพ็ญบุญกุศลต่าง ๆ อยู่ก็ดี แนวความคิดของเธอก็ยังผิดพลาดอยู่ และไม่เข้าร่องเข้ารอยกันกับทาง ทางโน้น (ทาง ทางโน้น คำนี้เป็นสำนวนที่ต้องการความหมายเป็นพิเศษ คือหมายถึงวิธีปฏิบัติที่ทำให้จิตหนึ่ง หรือพุทธะแท้ ปรากฏตัวได้เท่านั้น:ผู้แปล) เสียเลย.
จิตหนึ่ง นั่นแหละ คือ พุทธะ. ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก. มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิ เช่นเดียวกับความว่าง คือมันไม่มีรูปร่างหรือปรากฏการณ์ใด ๆ เลย. การใช้จิตของเธอให้ปรุงความคิดฝันไปต่าง ๆ นั้น เท่ากับเธอละทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองกับรูปธรรม ซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก.
พุทธะ ซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่พุทธะทางรูปธรรมหรือพุทธะของความยึดมั่นถือมั่น. การปฏิบัติปารมิตาทั้งหก และการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะได้เป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดคืบหน้าไปทีละขั้น ๆ. แต่ พุทธะ ซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้น ๆ เช่นนั้นไม่.
เรื่องมันเพียงแต่ตื่น และลืมตาต่อ จิตหนึ่ง นั้นเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร. นี่แหละ คือ พุทธะ ที่แท้จริง. พุทธะ และสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่ง นี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย.

เจ้าของ:  แมวขาวมณี [ 15 มี.ค. 2010, 15:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

กวางน้อย เขียน:
:b41: :b42: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร? รับฟังทุกๆความคิดเห็นนะคะ :b42: :b41:


คนดี คือคนที่แมวขาวฯยังไม่เจอความเลว
คนเลว คือคนดีที่แมวขาวฯลืมดูความดีของเขา

รับฟังรึเปล่าคะ

เจ้าของ:  wic [ 15 มี.ค. 2010, 15:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

. ความกตัญญูู กตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี


. คนดี ยอม เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
. คนชั่ว เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว

เจ้าของ:  หลวงจีนงมงาย [ 15 มี.ค. 2010, 15:51 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

. :b16: :b16: :b16: .

รูปภาพ


ผ้าขาว ผ้า ดำแยกกันยังไง
อะไรคือ ขีดเส้นกั้น ระหว่าง ขาวกับดำ
ผ้าที่สีมัวหมอง เป็นผ้าขาว หรือผ้าดำ
ผ้าขาวล้วน หรือ ผ้าดำล้วน มีน้อยกว่าผ้าคละสี


ใจเราบางครั้งคิดดี คิดเลว
เราเอง ดีบ้าง เลวบ้าง


คนดีล้วน มีน้อย
คนเลวล้วนยิ่งมีน้อย
คนโดยมากมีดีมีเลวคละกัน
เรื่องราวบางอย่างมีดี มีเลวปนกัน
คนดี คนเลว จำแนกยาก


แต่จิตดี จิตเลว พอจำแนก

“เวลาใด การคิด การพูด การกระทำอันใด อันเกิดขึ้นเพราะใจมีอกุศล มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นมูล
การนั้น เวลานั้นเป็นอกุศล”

“เวลาใด การคิด การพูด การกระทำอันใด อันเกิดขึ้นเพราะใจมีกุศล มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นมูล
การนั้น เวลาเป็นกุศล”


:b39: :b39: :b39:

โอมฺ มณี ปทฺเม หุมฺ

ขอปัญญาจงบังเกิดมี


.:b41: :b41: :b41: .

เจ้าของ:  มัทนา ณ หิมะวัน [ 15 มี.ค. 2010, 17:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คนดี" กับ "คนเลว" คุณแยกได้อย่างไร?

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) ท่านกล่าวไว้ใน "บทสร้างนิสัยคนดี" ว่า
"คนดี" มีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ :b8:

:b43: :b43: :b43:

อ้างคำพูด:
:b43: นิ สั ย ซื่ อ สั ต ย์

:b47: ซื่อสัตย์ต่อตนเอง

:b47: ซื่อสัตย์ต่อวาจา

:b47: ซื่อสัตย์ต่อการงาน

:b47: ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่

:b47: ซื่อสัตย์ต่อบุคคล

:b47: ซื่อสัตย์ต่อคณะ


:b43: นิ สั ย สุ จ ริ ต

:b47: สุจริตในธรรมจริยา

:b47: สุจริตในบุคคล

:b47: สุจริตในการอาชีพ

:b47: สุจริตในหน้าที่


:b43: นิ สั ย ก ตั ญ ญู

:b47: กตัญญูต่อบุคคล

:b47: กตัญญูต่อสัตว์

:b47: กตัญญูต่อสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ



:b8: :b8: :b8:

ลองพิจารณาดูจะสังเกตได้ว่า
คุณลักษณะเหล่านี้ล้วนต้องมี "ศีล" และ "หิริโอตัปปะ"
เป็นเครื่องรองรับกำกับใจโดยพื้นฐาน


อย่างไรก็ตาม "คนดี" ก็ยัง "ทุกข์" ได้
เพราะความยึดติดในความดีที่ตนมี
หรือมาตรฐานของศีลธรรม

ครูบาอาจารย์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือท่านบอกว่า

หากเมื่อใดเรามีความปรารถนาจะพัฒนาและชำระตนให้บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ
โดยฝึกเจริญสติและโยนิโสมนสิการด้วยปัญญา
ค่อยๆปล่อยวาง สละออกซึ่งความยึดมั่นถือมั่น
แม้ในความดีที่ตนมี...ตนทำแล้ว


เราจะเข้าใจในสัจจธรรมด้วยปัญญา
ว่าแม้ความชั่วก็อาศัยความดีที่เรามีเหนี่ยวนำ
เข้าเกาะเกี่ยวจิตเราให้เกิดทุกข์ได้

เมื่อนั้น เราจะค่อยๆละความทุกข์
เพราะการติดดี...ได้โดยสิ้นเชิงในที่สุด


ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในทุกกุศลเจตนาของพี่น้องผองเพื่อน
ที่ปรารถนาและมุ่งมั่นจะ "ทำดี" ต่อไป...ด้วยเจ้าค่ะ :b8:

แต่ว่า..ถ้าจะให้ดีกว่านั้น.... :b6:

เรามาเร่งพัฒนาตนให้เป็น "คนดี" ที่มี "ปัญญา"
เพื่อให้อยู่ "เหนือทั้งดีและชั่ว" อย่างเป็นสุข....โดยถ้วนหน้ากัน
ดีมั้ยพี่น้อง!!!
smiley

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/