ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนนฯ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=29975 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | อชิรญาณ [ 11 มี.ค. 2010, 10:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนนฯ |
![]() 1. ทำดี 2. ละชั่ว 3. ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว แต่รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนน ขอทานเนื้อตัวมอมแมม เด็กขายของบนถนน คนแก่ คนป่วย แ้ล้วใจจะผ่องแผ้ว ได้ยังไงอะคะ แถมเคยได้ยินว่าถ้าเราตายทั้งๆ ฉับพลับ ขณะที่ใจหดหู่จะตกนรกด้วย แล้วจะทำยังไงอะคะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 11 มี.ค. 2010, 11:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนน ขอทานเนื |
อ้างคำพูด: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนน ขอทานเนื้อตัวมอมแมม เด็กขายของบนถนน คนแก่ ฯลฯ นึกถึงสภาพคนวรรณะศูทรในอินเดียดินแดนพุทธภูมิ ประเทศไทยดีกว่านิดหนึ่ง เพราะ เห็นมีคนยากจนนอนตามใต้ทางด่วน บนสะพานลอย คุ้ยเขี่ยหาอาหารกิน ตามกองขยะ ตามถังขยะน้อยกว่า |
เจ้าของ: | -dd- [ 11 มี.ค. 2010, 13:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนน ขอทานเนื |
อชิรญาณ: อ้างคำพูด: แต่รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนน ขอทานเนื้อตัวมอมแมม เด็กขายของบนถนน คนแก่ คนป่วย แ้ล้วใจจะผ่องแผ๊ว ได้ยังไงอะคะ แถมเคยได้ยินว่าถ้าเราตายทั้งๆ ฉับพลับ ขณะ ที่ใจหดหู่จะตกนรกด้วย แล้วจะทำยังไงอะคะ ขออธิบายดังนี้ครับ ในขณะแรกที่เห็นแล้วเกิดความสงสารเขา ขณะนั้นจิตเป็นกุศลเพราะจิตมีความกรุณาประกอบคือคิดอยากให้เขาพ้นจากความทุกข์นั้นๆ และคิดเมตตาอยากให้เขามีความสุข จึงหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ แต่เพราะความไม่แยบคายของเรา จึงเกิดความสลดหดหู่ในใจตามมาอันเป็นฝักฝ่ายของอกุศล คือมีโทสะเข้าประกอบเพราะโมหะเป็นพื้นฐานรองรับอยู่ .. วิธีแก้ไขคือการฝึกวางใจไว้โดยแยบคายโดยปรารภเรื่องที่ง่ายที่สุดคือ "กรรม"ว่า "โอ้หนอ เขาช่างน่าสงสารยิ่งนักที่ต้องมีชีวิตที่ขัดสนเช่นนี้ นี่เพราะเขาเป็นผู้ตระหนี่หวงแหนในทรัพย์ของตน ไม่เคยให้ืทานมาในกาลก่อนเป็นแน่แท้จึงต้องมาเสวยผลเช่นนี้ แม้เราเองหากไม่ทำทานไว้ก็ย่อมไม่พ้นสภาพนี้เลย ..เราพึงไม่เป็นผู้ตระหนี่แต่จะเป็นผู้ยินดีขวนขวายในการให้เนืองๆ ส่วนเขาผู้นี้ ใครจะเกื้อกูลเขาได้ เพราะเขาไม่ได้ทำเหตุคือทานมา กรรมนั้นได้จัดแจงผลมาแล้วเช่นนี้" แล้ววางใจให้เป็นอุเบกขา.. อย่าลืมว่าจิตนั้นทำงานรวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ดังนั้นจึงต้องฝึกปรารภกุศลให้บ่อยจนชำนาญจึงจะรักษาจิตให้ไม่ตกอยู่ในอำนาจของฝ่ายอกุศลได้ตามความเคยชิน.. ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Bwitch [ 11 มี.ค. 2010, 14:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนน ขอทานเนื |
อ้างคำพูด: วิธีแก้ไขคือการฝึกวางใจไว้โดยแยบคายโดยปรารภเรื่องที่ง่ายที่สุดคือ "กรรม"ว่า "โอ้หนอ เขาช่างน่าสงสารยิ่งนักที่ต้องมีชีวิตที่ขัดสนเช่นนี้ นี่เพราะเขาเป็นผู้ตระหนี่หวงแหนในทรัพย์ของตน ไม่เคยให้ืทานมาในกาลก่อนเป็นแน่แท้จึงต้องมาเสวยผลเช่นนี้ แม้เราเองหากไม่ทำทานไว้ก็ย่อมไม่พ้นสภาพนี้เลย ..เราพึงไม่เป็นผู้ตระหนี่แต่จะเป็นผู้ยินดีขวนขวายในการให้เนืองๆ ส่วนเขาผู้นี้ ใครจะเกื้อกูลเขาได้ เพราะเขาไม่ได้ทำเหตุคือทานมา กรรมนั้นได้จัดแจงผลมาแล้วเช่นนี้" แล้ววางใจให้เป็นอุเบกขา.. อย่าลืมว่าจิตนั้นทำงานรวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ดังนั้นจึงต้องฝึกปรารภกุศลให้บ่อยจนชำนาญจึงจะรักษาจิตให้ไม่ตกอยู่ในอำนาจของฝ่ายอกุศลได้ตามความเคยชิน.. ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | พงพัน [ 11 มี.ค. 2010, 14:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนนฯ |
ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงวางหลักอุเบกขาไว้ อุเบกขานั้นจะทำได้ยากสำหรับผู้ที่มีจิตใจเมตตา ดังนั้นจึงต้องมีพื้นฐานความมีสติและสมาธิ การวางอุเบกขาก็จะวางได้ด้วยสติ สมาธิและเกิดปัญญาอีกด้วยครับ |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 11 มี.ค. 2010, 23:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนนฯ |
อชิรญาณ เขียน: :b25: 1. ทำดี 2. ละชั่ว 3. ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว แต่รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนน ขอทานเนื้อตัวมอมแมม เด็กขายของบนถนน คนแก่ คนป่วย แ้ล้วใจจะผ่องแผ้ว ได้ยังไงอะคะ แถมเคยได้ยินว่าถ้าเราตายทั้งๆ ฉับพลับ ขณะที่ใจหดหู่จะตกนรกด้วย แล้วจะทำยังไงอะคะ เห็นเขาตกต่ำกว่าเราแล้วสงสาร ผมว่าดีแล้ว เรียกว่ามีเมตตา แต่เป้นเมตตาที่ไม่รู้จักความพอเพียง คือไม่มีอุเบกขา เราไม่รู้จักแตะเบรกหัวใจของเรา พอได้รู้สึกอะไรขึ้นมาก็ in ไปจนสุดๆ ไม่รู้จักบันยะบันยังความรู้สึกของเรา ถ้าจะเอาอุเบกขาแบบด่วนๆ เอาไวๆใช้ได้ผลทันที แก้ขัดไปก่อน ก้คือการคิดในทางกลับกัน คิดในด้านตรงข้ามที่มันลบล้างกัน เช่นว่า เขาคงมีกรรมของเขา,เรื่องเวรกรรมนี่อธิบายยากนะ ทำไมมีคนรวย ทำไมมีคนจน ทำไมคนไม่เท่ากัน เป้นต้น ซึ่งเป็นการใช้ธรรมะคู่ปรับมาสู้ แต่ถ้าจะเอาอุเบกขาแบบ ต้องบำเพ็ญเพียรกันหน่ิอย ต้องสั่งสมพลังใจกันหน่อย ก็ให้หัดเจริญสติ หัดตามรู้หัดดูจิตใจไปตามจริง เช่นเห็นแล้วใจมันสงสาร ก็โอปนยิโก น้อมกลับเข้ามาดุที่กายที่ใจ กรณีนี้ ความรู้สึกทางใจคงจะชัดกว่ากาย ก็ดูว่าเรากำลังสงสาร ใจเรากำลังสงสาร หัดดูไปอย่างนี้ว่าความสงสารนี้ มัน.... - มีเหตุก็เกิด (คือได้เห็นได้ยินได้ฟังเป็นต้นเหตุ ก็เกิดผลตามมาคือความสงสาร) - หมดเหตุก็ดับ (พอไม่ได้รู้ได้เห็น หรือใจมันไปสนใจเรื่องอื่น ความสงสารก็หายไป) - บังคับไม่ได้ (เวลาใจมันจะรู้สึกอะไร เราห้ามไม่ได้เลย ไม่อยากจะสงสาร ใจมันก็สงสารขึ้นมาเอง) ส่วนอาหารเสริมอื่นๆก็ได้แก่การทำทาน บริจาคของรัก สวดมนต์ และทำสมาธิ อันนี้ช่วยเสริมความสามารถในการตัดใจ ตัดกังวล ช่วยให้ความใจอ่อนมันน้อยลง ให้มันมีกำลังใจเข้มแข็งขึ้น มีความเด็ดขาดในอารมณ์ ต่อไปภายหน้า เวลาสงสาร มันจะได้ไม่สงสารไปจนไม่มีจุดหมาย ขอแนะนำดังนี้ครับ ![]() |
เจ้าของ: | natdanai [ 12 มี.ค. 2010, 09:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนนฯ |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | chulapinan [ 14 มี.ค. 2010, 21:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนนฯ |
แผ่เมตตาให้เขาค่่ะ กรรมทำให้เขาเป็นแบบนั้น น้องดูแล้วสลดใจได้แต่อย่าใส่ความคิดเข้าไปด้วย อย่าทำให้ความสลดนั้นกลายเป็นอามรณ์น่ะค่ะ |
เจ้าของ: | kokorado [ 16 มี.ค. 2010, 11:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนนฯ |
ในการเจริญพรหมวิหาร 4 นั้น แต่ละข้อ ย่อมมีทั้งศัตรูใกล้และศัตรูไกล ศัตรูใกล้ของ ตัวกรุณา ก็คือความโทมนัส ซึ่งอย่างที่เป็นอยู่ แสดงว่าคุณได้เจอศัตรูใกล้เข้าแล้ว ตามปกติ เวลาแผ่ความกรุณาออกไปที่ถูกต้อง จิตจะต้องโสมนัส ขอให้ปรับจิตเสียใหม่ |
เจ้าของ: | moddam [ 16 มี.ค. 2010, 12:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนนฯ |
น่าจะเป็นโอกาสอันดีในการได้พิจารณาอะไรที่ เป็น ธรรมชาติ อย่างที่พระพุทธเจ้า ของเราได้เห็น เทวทูตนะครับ ![]() |
เจ้าของ: | yodchaw [ 18 มี.ค. 2010, 17:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนนฯ |
อชิรญาณ เขียน: :b25: 1. ทำดี 2. ละชั่ว 3. ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว แต่รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนน ขอทานเนื้อตัวมอมแมม เด็กขายของบนถนน คนแก่ คนป่วย แ้ล้วใจจะผ่องแผ้ว ได้ยังไงอะคะ แถมเคยได้ยินว่าถ้าเราตายทั้งๆ ฉับพลับ ขณะที่ใจหดหู่จะตกนรกด้วย แล้วจะทำยังไงอะคะ ไม่เอ๊ะ ไม่อ๊ะ กับการดู การรู้เห็น ของตัวของ หรือเห็นสักแต่ว่าเห็น รู้สักแต่ว่ารู้ ไม่ยึดตรงที่รู้ เห็น และสิ่งที่ถูกรู้ เห็น ทุกสิ่ง ทุกเรื่องก็ไม่รก ไม่เป็นนรกที่ใจ ไม่มีความหมายมา กวนใจ ซึ่งจะตรงต่อสัจธรรมที่สุด คือวาง ปราศจากความหมาย ไม่ใช่ตัวตนอยู่เองแล้ว ขอเชิญศึกษาธรรมปฏิบัติ และดาวน์โหลดธรรมะ โดย หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม บ้านหลัก 160 ต.หนองหิน อ.หนองหิน จ.เลย http://www.rombodhidharma.com/ หรือที่บอร์ดสนทนาทั่วไป ขอให้มีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ |
เจ้าของ: | kokorado [ 19 มี.ค. 2010, 19:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รู้สึกเศร้า หรือหดหู่ เมื่อเห็นคนยากจนนอนตามข้างถนนฯ |
ถาม – มักเป็นคนมีจิตใจหดหู่ รู้ทั้งรู้ว่าไม่เป็นมงคลกับชีวิต ควรจะแก้ไขอย่างไรดีคะ? ตัวคุณคืออะไร? ลองตัดชื่อแซ่ ตัดตัวตน ตัดวิธีคิด รวมทั้งตัดเหตุการณ์ทั้งหลายที่รายล้อมคุณออกไปให้หมด เหลือแต่เพียงสภาพจิตอย่างเดียว จะพบความจริงประการหนึ่งนะครับ นั่นคือจิตเรามีเบิกบาน มีหดหู่สลับกันได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุร้ายแรงให้เศร้าใจมากมาย แค่เหนื่อยๆหน่อย นั่งรถเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จิตใจก็มีสิทธิ์หดหู่ลงได้แล้ว ประเด็นคือแต่ละคนมีอาการ ‘ลาดลงต่ำ’ ของจิตใจผิดแผกแตกต่างกัน บางคนหดหู่เดี๋ยวเดียวก็กลับระเริงร่าได้ใหม่ แต่บางคนหดหู่แล้วกลายเป็นเรื่องยาว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเคยยิ้มให้แล้วมาไม่ยิ้มสักทีหนึ่งก็คิดมาก แช่อยู่กับความเสียใจว่าเขาไม่ยิ้มให้ อย่างนี้ก็มี และมีอยู่มาก เพียงแต่ไม่ค่อยเล่าสู่กันฟังเพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือบางทีตัวเองก็เห็นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเสียจนจำไม่ได้ว่าเริ่มหดหู่ตั้งแต่เจอภาพเสียงชนิดใดกระทบกระทั่งจิตใจ เราถึงมักได้ยินคนบ่นเปรยให้เพื่อนฟังทำนอง ‘ไม่รู้เป็นอะไร เซ็ง เบื่อไม่มีสาเหตุ’ ความหดหู่ต่อเนื่องยืดยาวจนจำสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้นี่แหละ ทำให้คนเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตและคิดสั้นมานักต่อนัก ลองมาดูอุปนิสัยที่เราๆทำกับใจตัวเองแล้วหดหู่เก่งกันดีกว่า ๑) ชอบเหม่อ ประเภทว่างเป็นไม่ได้ ชอบทอดตาไกลๆ จะฝันก็ไม่ฝัน จะคิดธุระปะปังให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่คิด ชอบรู้สึกอยู่เรื่อยๆว่าชีวิตว่างเปล่า ไม่มีความหมาย แล้วก็ไม่อยากเติมค่าอะไรลงไปให้ชีวิตตัวเองเต็ม ถ้าเป็นแบบนี้ก็ขอให้ดูบรรดาสัตว์เลี้ยงใกล้ตัว ลองนั่งสังเกตพวกมันสักพัก จะเห็นชีวิตว่างเปล่าขนานแท้ พวกนั้นไม่มีอะไรทำจริงๆครับ วันๆมีหน้าที่เคลื่อนจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง พอเห็นความเหม่อลอยของพวกมันด้วยความตระหนักว่าไม่มีวันพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อย่างที่เราสามารถทำ ก็อาจเกิดกำลังใจคิดอยากทำชีวิตให้ดีกว่าพวกมัน อันนี้ถ้าลองทำดูจะเห็นว่าเกิดพลังกระตุ้นที่ดีมาก ไม่ใช่จะให้ดูถูกตัวเอง เปรียบเทียบตัวเองเท่ากับสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่าเราหรอกนะครับ แต่การเห็นเพื่อนต่างภพต่างภูมิที่เขาเคราะห์ร้าย ไม่มีวาสนาเท่าเรา จะค่อยๆทำให้เริ่มเห็นค่าศักยภาพความเป็นมนุษย์ขึ้นมารำไร ๒) ชอบจมอยู่กับอดีต ประเภทเหตุการณ์ผ่านมา ๒๐ ปี ยังอุตส่าห์ขุดขึ้นมาคิดเสียดาย คุ้ยขึ้นมาพูดด่าสาดให้คนใกล้ชิดรู้สึกผิด คนแบบนี้เท่าที่ผมเห็นนะครับ นอกจากจะเหม่อลอย หดหู่บ่อยแล้วยังเจ้าโทสะ เหมือนมีไฟกรุ่นอยู่ในอก หรือลุกเป็นเปลวขึ้นมาจากกระหม่อมทีเดียว และมีความจริงอยู่อย่างหนึ่ง คนชอบฝังใจอยู่กับอดีตนั้น มักบ่นหาถึงอนาคตที่ไม่มีวันมาถึง คือชอบหวังอะไรลมๆแล้งๆ สมมุติอะไรที่เกินตัวและเป็นไปไม่ได้จริงเสมอ พูดให้เห็นภาพง่ายๆและรวดเร็วที่สุดคือทั้งชีวิตไม่เคยมีวันนี้ มีแต่เมื่อวานกับพรุ่งนี้เท่านั้น หากยอมรับว่าเป็นคนประเภทที่ว่านี่ก็ขอให้เร่งแก้ไขนิดหนึ่ง พูดกันตรงๆตามชื่อคอลัมน์นะครับ จิตแบบนี้ถ้าตายไปก็ไม่พ้นต้องเป็นเปรตจำพวกที่นึกว่าตัวเองยังไม่ตาย เนื่องจากจิตวิญญาณเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นเหนียวแน่น และบดบังไม่ให้เห็นอะไรที่เป็นปัจจุบันเอาเลย เคยคิด เคยกลุ้ม เคยพูดซ้ำๆซากๆอย่างไร ตายไปก็จะคิด จะกลุ้ม จะบ่นเพ้อซ้ำๆซากๆอย่างนั้นร่ำไป แต่ขณะยังมีชีวิตมนุษย์อยู่นี่พอปรับปรุงแก้ไขได้ก็ปรับปรุงเสียเถิด หัดคิดเรื่องวันนี้ หัดพูดถึงสาระประโยชน์เฉพาะหน้า พอจะหวนกลับไปคิดมากเรื่องเก่าๆก็กลับมาอยู่ตรงหน้าใหม่ ทำตัวไม่ให้ว่าง แล้วจะพบว่าเกิดความแจ่มกระจ่างทางใจมากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์หดหู่ไม่กลับมาครอบงำอีกง่ายๆ ๓) ชอบมองโลกในทางลบ ประเภทเห็นข่าวดาราเตียงหัก ก็มานั่งวิตกว่าเหตุแบบเดียวกันอาจจะเกิดขึ้นกับเราบ้าง หรือไม่ก็เอาแต่นั่งอ่าน นั่งขนหัวลุกอยู่ทั้งวันเกี่ยวกับเรื่องโลกแตก กลัวสงครามโลกครั้งใหม่ปะทุ กลัวน้ำมันจะแพงขึ้นถึงลิตรละ ๔๐ กลัวต่อไปเชื้อโรคจะหอบมาตามลมหรือแฝงตัวอยู่กับอาหารการกิน อันที่จริงก็ต้องเห็นใจคนยุคเราเหมือนกัน เพราะเรื่องดีๆแม้ยังมีอยู่มากก็ไม่เป็นข่าว แต่จะเป็นข่าวก็เฉพาะจำพวกเรื่องที่ทำให้หมดกำลังใจจะอยู่ต่อ ถ้ารู้ตัวว่าบริโภคข่าวด้านลบมากๆแล้วติดค้างคาใจ ไพล่ไปทึกทักว่าเรื่องร้ายๆจะต้องเกิดขึ้นกับเราด้วย ก็ขอแนะนำให้อ่านหนังสือพิมพ์หรือดูข่าวโทรทัศน์ให้น้อยลง ถ้าจะอ่านหรือดูก็คัดๆเลือกๆหน่อย ไม่ใช่ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องอ่านมันทุกข่าว หรือติดตามข่าวร้ายเป็นซีรีส์กันทุกวัน จากนั้นหันไปอ่านหรือหันไปดูข่าวที่เป็นมงคลเสียบ้าง มองตามจริงบ้างว่าแง่ดีในโลกนี้ยังมีให้มองอีกมาก พอเริ่มมองโลกภายนอกในทางบวก ก็จะค่อยๆหันมาเริ่มมองโลกภายในไม่เป็นลบตามกันไปเอง เพื่อตัดเหตุแห่งความหดหู่ลงไปได้อีกข้อ ๔) ชอบความเหงาเศร้าโดยไม่รู้สึกตัว ประเภทนั่งคนเดียวเฉยๆแล้วน้ำตาพานจะไหลเป็นทางเหมือนไม่มีสาเหตุ หรือฟังเพลงเพื่อคนอกหักแล้วร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ขณะเดียวกันก็พอใจกับห้วงภาวะเช่นนั้นโดยไม่อยากแก้ไขดัดแปลง ถ้ารู้ตัวว่าเป็นประเภทนี้ขอให้สังเกตว่ามีแนวโน้มจะสงสารตัวเอง ไม่พบใครที่จริงใจด้วย หรือถึงพบก็ไม่รู้สึกว่าใช่ ไม่อาจให้ความอบอุ่นกับเราได้ ลองดูดีๆจะพบว่าความเหงามี ๒ ประเภท คือเหงาแล้วโหยหาความอบอุ่นแบบจะขาดใจตาย กับเหงาแล้วมีความสุขแบบสะใจแฝงอยู่ลึกๆ แต่ไม่ว่าเหงาประเภทไหน ก็พ่วงมาซึ่งความหดหู่เก่งเสมอ และออกจะแก้ยากกว่าข้ออื่นๆสักหน่อย เนื่องจากคนเรามักเรียกร้องให้มีใครมาเห็นใจ มาให้ความอบอุ่น โดยตัวเราเป็นผู้รับหรือผู้ตอบสนอง ขอให้ลองอย่างนี้ดู คือกลับขั้วสักนิด คิดเป็นผู้เริ่มเห็นใจก่อน ให้ความอบอุ่นกับคนอื่นก่อน ยังมีผู้ด้อยโอกาสในสังคมมากมายก่ายกองที่รอรับ ‘การให้ก่อน’ จากเราอยู่เสมอ ถ้าทำแค่ครั้งสองครั้งอาจจะยังไม่เห็นผลอะไร แต่ถ้าทำประจำจนเป็นกิจวัตรกระทั่งรู้สึกถึงความสว่าง ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากจิตคิดให้ของตนเอง เมื่อนั้นคุณจะไม่ปรารถนาความรักความอบอุ่นจากภายนอกที่อยู่กับเราได้แบบไม่คงเส้นคงวาหาความแน่นอนยากอีกเลย จะยึดเอารัศมีความอบอุ่นจากใจตัวเองนี่แหละเป็นที่พึ่งเที่ยงแท้ถาวร อาการเหม่อซึมหรือหดหู่จะมาจากมูลเหตุใดก็ตามที สามารถแก้ไขสภาพเฉพาะหน้าได้ง่ายที่สุดคือรู้เท่าทันว่าเงื้อมเงาความหดหู่กำลังเข้าครอบงำใจเราแล้ว แทนที่จะติดนิสัยยอมโดนครอบอย่างเคยๆมา พอรู้สึกตัวก็หันไปทำกิจธุระอันใดอันหนึ่งทันที ยิ่งถ้าเป็นธุระที่ทำให้ใจเบา ใจสว่างด้วยก็ยิ่งเยี่ยม พูดง่ายๆลองหมั่นทำบุญและอ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ จะเห็นเองว่าความมืดย่อมทนต่อแสงสว่างไม่ได้เป็นธรรมดา ความสว่างมา ความมืดต้องหายไปแน่ๆครับ ที่มา จาก เตรียบเสบียงไว้เลี้ยงตัว |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |