ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
เหตุ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=29799 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 28 ก.พ. 2010, 09:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | เหตุ |
เพราะภพภูมิต่างกัน จึงไม่สำเร็จเพียงอนุโมทนาฝ่ายเดียว ต้องอาศัยญาติอุทิศ ส่วนบุญให้ จึงสำเร็จ คือ พ้นจากสภาพทุกข์ทรมาน แต่ในภพมนุษย์และเทพ สามารถมีกุศลจิตอนุโมทนาได้เลย โดยไม่ต้องอาศัยผู้ทำบุญอุทิศให้ จาก พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 460 ทุกขธรรมสูตร ( อรรถกถา ) บทว่า ทนฺโธ ภิกฺขเว สตุปฺปาโท ความว่า การเกิดขึ้นแห่งสตินั้นแล ช้า แต่เมื่อสตินั้นพอเกิดขึ้นแล้ว ชวนจิตก็จะแล่นไป กิเลสทั้งหลายก็จะถูกข่มไว้ ไม่สามารถดำรงอยู่ได้. อธิบายว่า ในจักษุทวาร เมื่อกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นเกิดขึ้นแล้ว เพราะทราบโดยวาระแห่งชวนจิตที่สองว่า กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ชวนจิตสหรคตด้วยสังวรก็จะแล่นไปในวาระแห่งชวนจิตที่สาม ก็ข้อที่ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา พึงข่มกิเลสทั้งหลายได้ ในวาระแห่งชวนจิตที่สามไม่ใช่เรื่อง น่าอัศจรรย์เลย. อนึ่งในจักษุทวาร เมื่ออิฏฐารมณ์ ( อารมณ์ที่น่าปรารถนา ) มาสู่คลอง ภวังคจิตก็จะไหว ครั้นเมื่ออาวัชชนจิตเป็นต้นเกิดขึ้น ก็จะห้าม วาระแห่งชวนจิตที่มีกิเลสคละเคล้าเสีย ต่อจากโวฏฐัพพนจิตแล้ว ให้วาระแห่งชวนจิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้นแทนทันที. ก็นี้เป็นอานิสงส์ของการที่ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา ดำรงมั่นอยู่ในการพิจารณาภาวนา. ท่านอธิบาย สติเกิดขึ้นช้า คือในชวนะทางปัญจทวาร ๗ ขณะ เป็นอกุศล ชวนะทางมโนทวารวาระแรกก็เป็นอกุศล ชวนะวาระที่ ๓ จึงเป็นกุศล คือ มีสติเกิดร่วมด้วย ข่มกิเลสที่เกิดขึ้นแล้ว.. ชวนะ วาระเดียวกัน ๗ ขณะ ต้องมีอารมณ์เดียวกัน เป็นอกุศลเหมือนกันครับ วันมาฆบูชา (วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓) วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มี เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันนี้ คือ เป็นวันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งมีการประชุมพร้อม กันด้วยองค์ ๔ ประการ ได้แก่ ๑. เป็นวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ ประกอบด้วยมาฆนักษัตร ๒. ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกันที่พระวิหารเวฬุวัน (อารามแห่งแรกในพระพุทธ ศาสนา พระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้ถวาย) โดยเป็นการมาตามธรรมดาของตน ๆ ไม่มีใคร นัดหมาย ๓. ภิกษุทั้ง ๑,๒๕๐ รูป ไม่มีแม้สักรูปหนึ่งที่เป็นปุถุชน หรือ พระโสดาบัน พระ สกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ผู้สุกขวิปัสสกะ ภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระ อรหันต์ผู้ได้อภิญญาหกทั้งนั้น ๔. ภิกษุทั้ง ๑,๒๕๐ รูป มิได้ปลงผมด้วยมีดโกนบวชแม้แต่รูปเดียว ทั้งหมดล้วน เป็นเอหิภิกขุ (คือได้รับการอุปสมบทจากพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยพระองค์ทรงเปล่ง พระวาจาว่า เอหิ ภิกขุ = เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว เธอจง ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด) และในวันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ แก่พระภิกษุทั้งหลาย มีว่า การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อม การยังจิตของตนให้ผ่องใส เป็นต้น สำหรับโอวาทปาติโมกข์นั้น เป็นพระโอวาทคาถา ที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทรง แสดงเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกัน ในวันมาฆบูชานี้เอง ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่ ภิกษุทั้งหลายนั้น ท่านพระสารีบุตร ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อได้ฟังพระธรรม เทศนาชื่อว่า ทีฆนขสูตร (มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์) ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง แสดงแก่ทีฆนขปริพาชก (ผู้เป็นหลานของท่านพระสารีบุตร) ณ ถ้ำสุกรขาตา เขา- คิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ดังนั้น ในวันมาฆบูชานี้ จึงเป็นวันที่ท่านพระสารีบุตร ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ด้วย และอีกประการหนึ่ง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ (ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้า จะเสด็จดับ ขันธปรินิพพาน ในวันเพ็ญเดือน ๖) เป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปลงอายุสังขาร ใกล้จะปรินิพพาน ตามข้อความที่ว่า “จากนี้ล่วงไปสามเดือน ตถาคตจักปรินิพพาน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาล- เจดีย์ ”และ ตามข้อความที่ว่า “โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์เดือนมาฆะ (เดือน ๓) พระองค์ ทรงประชุมพระสาวก และ ทรงปลงอายุสังขาร ” ดังนั้นจึงควรอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนจะได้น้อมระลึกถึงพระมหากรุณาคุณของพระผู้ มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลกทั้งปวง พร้อมทั้งน้อมประพฤติ ปฏิบัติตามในคำสอนที่พระองค์ทรงแสดง เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ด้วยการเป็น ผู้ไม่กระทำบาป กล่าวคือ อกุศลทุกประเภท ถึงแม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรเว้นได้ ก็ควรที่จะเว้น ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ เพราะในขณะที่จิตเป็นกุศล นั้น ก็ได้ชื่อว่ายังจิตของตนให้ผ่องใสแล้วชั่วขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น พร้อมทั้งจะต้อง เป็นผู้มีความอดทนต่อทุกสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งจะต้องไม่เบียดเบียนทำ ร้ายผู้อื่นให้เดือดร้อนทั้งด้วยกายและวาจา เป็นต้น และประการสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย นั้น ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญาไปตาม ลำดับ จนกว่าจะมีปัญญาคม เจริญขึ้น กล้าขึ้น ถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ได้ในที่สุด ครับ. วันมาฆะบูชาเป็นการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๓ เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ในวันนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ สำหรับพุทธศาสนิกชนควรศึกษาพระธรรมคำสอน และน้อมประพฤติปฏิบัติ ตามเป็นประจำ ไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นวันไหน ก็ควรศึกษาและปฏิบัติตามคำสอน โอวาทปาฏิโมกข์ " ความไม่ทำบาปทั้งสิ้น ความยังกุศลให้ถึง พร้อม ความทำจิตของตนให้ผ่องใส นี่เป็นคำสอน ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ความอดทนคือความอด กลั้น เป็นธรรมเผาบาปอย่างยิ่ง ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมกล่าวพระนิพพานว่าเป็นเยี่ยม, ผู้ทำร้ายผู้อื่น ไม่ชื่อว่าบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็น สมณะ. ความไม่กล่าวร้าย ๑ ความไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณ ในภัตตาหาร ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ ความประกอบ โดยเอื้อเฟื้อในอธิจิต ๑ นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งหลาย. " วันมาฆะบูชา ... พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร พระสารีบุตรบรรลุเป็นพระอรหันต์ พระสงฆ์ 1250 รูป มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมายเป็นเอหิภิกขุ เป็นพระ อรหันต์ได้อภิญญา เป็นวันพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ ทรงแสดงโอวาทปาฎิโมกข์ ทำดี ละชั่ว อบรมจิตให้ผ่องใส พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 485 ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อดวงอาทิตย์ยังปรากฏอยู่ ทรงจบเทศนานี้ แล้วเสด็จลงจากภูเขาคิชฌกูฏ เสด็จไปพระวิหารเวฬุวันได้ทรงประชุมพระสาวก. ได้มีสันนิบาตประกอบด้วยองค์ ๔. องค์ ๔ เหล่านี้ คือ วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ประกอบด้วยมาฆนักษัตร ๑ ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกันตาม ธรรมดาของตน ๆ ไม่มีใครนัดหมายมา ๑ ภิกษุเหล่านั้นไม่มีแม้สักรูปหนึ่งที่ เป็นปุถุชน หรือพระโสดาบัน พระสกกาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ผู้สุกขวิปัสสก ภิกษุทั้งหมดเป็นผู้ได้อภิญญาหกทั้งนั้น ๑ มิได้ปลงผมด้วย มีดโกนบวชแม้แต่รูปเดียว ภิกษุทั้งหมดเป็นเอหิภิกขุ ๑. จบอรรถกถาทีฆนขสูตร ที่ ๔ ทรงเปรียบสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มีมากเหมือนใบไม้บนต้น แต่ที่ทรงแสดงกับสาวกมี น้อยเท่ากับใบไม้บนฝ่ามือ เพราะที่ไม่ได้แสดงนั้นไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้น ของพรหมจรรย์ ทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ เป็นหนทางนำไปสู่การดับทุกข์ทั้งหลาย เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน เมื่อวานนี้ได้ไปตักบาตร 100 บาตรและตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง แล้ว ไปสนทนาธรรมเป็นชั่วโมง วันนี้ได้อนุโมทนากับผู้ทำบุญที่วัดและมีการเทศนาธรรม และจะร่วมตั้งผ้าป่าสร้างโรงเรียนได้รวบรวมเงินและอนุโมทนาบุญกับผู้ร่วมบุญสร้าง โรงเรียนเป็นพันคน และได้มีงานถวายสังฆทาน ประมาณ 200-300 ชุด และวันนี้ตั้งใจว่าจะศึกษาการรักษาโรค สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม และวันนี้ได้ร่วมถวายเงินสร้างอาคารเรียนด้วย และอฐิษฐานจิต ขอบอกบุญย้อนหลัง เมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้วได้ร่วมบุญสร้างอาคารเรียนขอสมเด็จพระสังฆราช มีงานสร้างอาคารเรียนสองงานเลย กำหนดอิริยาบทย่อย ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญร่วมบริจาคตู้พระไตรปิฏก พร้อมตู้ และโต๊ะหมู่บูชา พระมหาธนภัทร อุตฺตมปญฺโญ หัวหน้าที่พักสงฆ์วัดป่าอัมพวโนทยาราม (ตลาดสีดา) ต.โพนทอง อ.สีดา จ.นครราชสีมา ๓๐๔๓๐ โทร.๐๘๕-๑๙๘-๒๙๑๑ ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุนิพพานด้วยเทอญ ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |