วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 10:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 55 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ดังที่กล่าวไว้แล้วไม่ต้องย้อนซ้ำ ว่าผมคือ ปุถุชน

เชิญคุณศิรัสพล ผู้รู้แจ้งแห่งจิต เพราะรู้ได้ว่าใจผมกระเทือน ไปประกาศ ศาสนา ณ ดินแดนที่ผม ใบ้ทางให้แล้ว
:b16:


คุณศิรัสพลกล่าว...การกระเทือนหลวงปู่หรือหลวงตาเหล่านั้น ไม่ทราบได้หรอกครับ แต่ที่สังเกตได้ คือ ใจคุณ "หลับอยู่" นั่นแหละสะเืทือนมากแล้ว...



ผมไม่ใช่ผู้รู้แจ้งแห่งจิตอะไรหรอกครับ เพียงกล่าวตามธรรมอันเป็นธรรมดาของมันเท่านั้น คนทุกคนเป็นเหมือนกันมีขั้นตอนเหมือนกัน ตรงนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้เรื่องกระบวนการรับรู้ และปฏิจจสมุปบาทครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ท่านจะอาบัติไม่อาบัติไม่ใช่กิจเรา! ครับ


พระท่านปลงอาบัติของท่านเองได้ไม่ต้อง ไปสอนท่านหรอกครับ :b32:



กระทู้นี้ไม่ได้เอามาเพื่อตรวจสอบใคร หรือจับผิดใครนะครับ กระทู้นี้เอาเพียงข้อเสนอแนะที่อธิบายพระสูตรในประเด็นอวดอุตริมนุษยธรรมมาเท่านั้น แล้วให้เราตระหนักรู้เอาไว้ ไม่ได้บังคับใครจะเห็นด้วยหรือให้ใครทำอย่างไร...

ส่วนเรื่องอิงพาดพิงบุคคล หรือเรื่องตรวจสอบว่าใครทำผิดวินัย หรือการปรับอาบัติพระสงฆ์รูปใด คนละประเด็นครับ กระทู้นี้เพียงเสนอข้อมูล แต่ไม่มีการกระทำใดๆ เจตนาใดๆ ข้างต้นเลยครับ

ผมขอเตือนคุณบ้างนะครับ ด้วยความหวังดีเลย ว่าปัญหาการขัดแย้ง ไม่เข้าใจ โต้เถียง จนกระทั่งถึงการทะเลาะนั้นมักจะมาจากผู้ที่เป็นลูกศิษย์ หรือคนอื่นที่มากกว่า ไม่ใช่มาจากพระสงฆ์ท่านเอง ที่พยายามเซี่ยม หรือยุแหย่ บิดเบือนข้อมูลด้้วยอคติของตนที่ปราศจากเมตตาให้เกิดการแตกแยกกัน ขัดแย้งกัน โต้เถียงกัน...

ตรงนี้ ถ้าเรื่องที่คุณนำมาลงรับรู้ถึงพระสงฆ์ท่านจัดว่าคุณ พูดสอดเสียดได้ หรือหากเรื่องบานปลายขยายวงออกไปเกิดการแตกแยกกันขึ้นระหว่างพระสงฆ์เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยก็เรียกว่า เป็นการทำ "สังฆเภท" คือ ทำสงฆ์ให้แตกแยกกัน เป็นการทำอนันตริยกรรม กรรมหนักที่สุด กรรมที่ให้ผลคือ ตัดทางสวรรค์ ตัดทางนิพพาน...


ดังนั้นตรงนี้คุณหลับอยู่ควรพิจารณาให้ดีนะครับ ว่าผมกล่าวไปจริงหรือเปล่า คุณเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนที่กำลังดึงประเด็นที่ไม่พาดพิงบุคคลไปสู่การพาดพิงบุคคล โดยการนำข้อความต่างๆ มาลงโต้แย้งนั้นควรหรือไม่ และคุ้มหรือเปล่าที่คุณกระทำอย่างนั้น

ทั้งๆ ที่คุณสนทนาทั่วๆ ไปว่าตรงนี้ผมเห็นด้วย ตรงนี้ผมไม่เห็นด้วยเหตุผลคืออย่างนี้ๆ โดยไม่อิงบุคคลก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้

สุดท้าย ที่ต้องการสะกิดใจไว้ก็คือ

"คุณหลับอยู่ ต้องพยายามแยกแยะให้ออกว่า ระหว่างเรื่องฤทธิ์กับพระอรหันต์นะครับ พระอรหันต์ก็เรื่องหนึ่ง เรื่องฤทธิ์ก็เรื่องหนึ่ง การมีฤทธิ์หรือไม่ ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความเป็นอรหันต์ พระอรหันต์มีฤทธิ์ก็ได้ ไม่มีฤทธิ์ก็ได้ อย่าเปรียบเทียบพระอรหันต์จากฤทธิ์ หรือไปคิดว่าพระที่ไม่มีฤทธิ์เป็นพระธรรมดาเสมอไปครับ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขออนุญาตินำเนื้อความที่มีเพื่อนสมาชิกในห้องพันธุ์ทิพย์เสนอแนะเข้ามาและผมได้ร่วมสนทนาไปมาให้อ่านดังนี้ครับ

>>>>>>>>>>>>>>>>
สิ่งที่เพื่อนสมาชิกเสนอแนะ
>>>>>>>>>>>>>>>>
คงต้องแล้วแต่กรณีมั้งครับ คือขึ้นกับเจตนาในการประกาศคุณวิเสธ ว่าเป็นไปเพื่อตน หรือเป็นไปเพื่อสงเคราะห์ชาวโลกตามแต่ท่านเหล่านั้นเห็นสมควร

หลวงตามหาบัวท่านก็ทรงประกาศมรรคผล การประกาศมรรคผลของตนเป็นหนึ่งในการอวดอุตริมนุสธรรมครับ

แม้ในสมัยพุทธการก็มีพระสงฆ์ที่เป็นเอตทัคคะทางบรรลือสีหนาถ หรือเป็นผู้ประกาศมรรคผลของตนอยู่อย่างสม่ำเสมอ และได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งนี้จากพระพุทธเจ้า เป็นต้น

จาก : (ขออนุญาติสงวนนาม)


>>>>>>>>>>>>>>
สิ่งที่ผมร่วมสนทนาไป
>>>>>>>>>>>>>>
ถึงคุณ(ขออนุญาติสงวนนาม)ในความเห็นที่ ๑๖ ครับ

เรื่องหลวงตามหาบัวนั้นยกไว้ครับ คือ พิจารณาเห็นว่าไม่ควรพาดพิงบุคคลใดๆ ควรกล่าวกันตามธรรม ตามหลักการ ตามวินัยเท่านั้น หากจะยกบุคคลมาควรเอาชั้นพระไตรปิฏกจะดีกว่าครับ ไม่เช่นนั้นจะนำไปสู่การขัดแย้งได้...

หากจะให้ออกความเห็นอย่างเป็นกลางๆ ตามธรรม ตามเป็นจริงไม่อิงบุคคลในปัจจุบันแล้ว เรื่องการบันลือสีหนาท หากไปศึกษาในพระไตรปิฏกจะเห็นว่า มีัส่วนคล้ายกับอวดดุตริมนุษยธรรมอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว และก็มีเหมือนกันที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามอวดอุตริมนุษยธรรมของพระโมคคัลานะหลังจากเปล่งสีหนาทแล้ว เช่น ในเรื่อง พระมหาโมคคัลลานะเปล่งสีหนาท ( http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... =165&Z=315 ) เป็นต้น

ถึงอย่างไรก็ตาม การอวดอุตริมนุษยธรรม กับการบันลือสีหนาทนั้น หากจะทำเพื่อสงเคราะห์ต่อชาวโลกจริงๆ จากสิ่งที่มีอยู่ ผมก็เห็นว่าสมัยนี้่ไม่จำเป็นแล้ว เพราะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือไม่ และหากเป็นทางด้านฤทธิ์บางอย่าง ก็ถูกหาว่าเป็นมายากลได้ แต่หากจะอวดจะบันลือกันจริงๆ ก็ต้องทำเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แบบสุดๆ แล้วถึงจะทำได้ แต่เวลาจะทำต้องพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียในระดับต่างๆ อย่างที่ท่านพระพรหมคุณาภรได้บอกไป เช่น อาบัติที่จะได้รับอย่างเบาอย่างหนักคืออะไร, ทำไปแล้วสงฆ์โดยรวมจะได้ดีหรือเปล่า ไม่ใช่ได้ดีแต่ระดับบุคคลหรือกลุ่มคนเท่านั้น และจะต้องคิดด้วยว่าหากเกิดพฤติกรรมเลียนแบบขึ้นมาอวดกันบ้างจะแก้ไขอย่างไร คุ้มหรือเปล่า? หากเกิดเกิดศรัทธาตัวบุคคลจนสงฆ์อื่นๆ โดยรวมอ่อนแอ หรือถูกละเลยจะคุ้มหรือเปล่า และจะแก้ไขอย่างไร ฯลฯ

หากพิจารณารวบด้านแล้ว เห็นว่าคุ้มกัน ไม่มีวิธีอื่นที่หลีักเลี่ยงได้ หรือดีกว่านี้ และทำไปแล้วดีต่อพระพุทธศาสนาก็ไม่ว่ากันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อมาหลังจากนั้น เพื่อนสมาชิกก็ร่วมแสดงความคิดเห็นมา และผมได้ร่วมสนทนากับไปอีกครั้งดังนี้

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
สิ่งที่เพื่อนสมาชิกเสนอแนะ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
จริงๆยังมีเรื่องที่ไม่เห็นด้วยกับคุณศิรัสพลเล็กน้อยในประเด็นที่ว่าการอวดอุตริมนุษยธรรม กับการบันลือสีหนาทนั้น สมัยนี้่ไม่จำเป็นแล้ว

เพราะผมเห็นว่าสมัยนี้ศรัทธาของผู้คนอ่อนลงไปมาก คนส่วนใหญ่มีแต่ความทุกข์ทางใจและมุ่งหาความสุขทางกายเป็นหลัก ศีลธรรมพื้นฐานก็เสื่อมทรามลงไปมาก จนทำให้คนบางส่วนเริ่มไม่เชื่อถือในกฏแห่งกรรม ยิ่งไม่เชื่อถือในความมีอยู่จริงของมรรคของผล และไม่รู้สึกว่ามรรคผลเป็นสิ่งที่ดีอย่างไร

แต่หากมีท่านผู้เป็นพยานแห่งพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ซึ่งสามารถยืนยันมรรคผลให้คนทั่วไปรู้จริงก็จะเป็นสิ่งกระตุกให้คนหันกลับมา อย่างน้อยก็สงสัย บางส่วนก็งมงาย แต่บางส่วนก็จะเข้ามาพิสูจน์ เข้ามาเรียนรู้ มาฟังธรรม ยิ่งหากท่านที่เป็นพยานเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีกิริยาจารวัตรเหมาะสมกับสมณสารูป และผู้ที่เข้าใกล้ได้รับกระแสเมตตา จากการเข้าใกล้ก็จะยิ่งให้คนทั่วไปสงสัยว่าท่านได้ธรรมชนิดใดจึงได้สามารถมีความสุขจนเผื่อแผ่ถึงคนรอบข้างได้

โดยรวมๆก็คือ เห็นว่าหากองค์ใดท่านทำด้วยท่านพิจารณาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ท่านก็คงมีเหตุผลของท่าน ซึ่งก็มีข้อดีในเรื่องเหล่านี้อยู่เหมือนกันครับ ไม่ได้มีแต่ข้อเสีย

จากคุณ : (ขอสงวนนาม)


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ข้อความที่ผมร่วมสนทนา
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ขอบคุณสำหรับความเห็นเพิ่มเติมของคุณ (ของสวนนาม) ที่ ๒๒ ครับ

เป็นธรรมดาของคนเราที่จะต้องมีเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยครับ...

ประเด็นที่ผมออกความเห็นไปว่าสมัยนี้ไม่จำเป็นจะต้องอวดอุตริมนุษยธรรม หรือการบันลือสีหนาทแล้วนั้น เพราะเห็นว่ามีโทษมากกว่าคุณ แต่หากพิจารณารอบด้านอย่างที่ผมได้แสดงความเห็นไปก่อนหน้านี้แล้วเห็นว่ายังจำเป็นต้องทำก็ไม่ว่ากันครับ...

เรื่องอวดอุตริมนุษยธรรม กับเรื่องการบันลือสีหนาทนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คล้ายๆ กันอยู่ คือ เรื่องของปาฏิหาริย์ ๓ เรื่องนี้เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ แต่อาจจะมีคำแปลที่ดูจะรุนแรงไปอยู่ในสมัยนี้ คือคำว่า "เกลียด" หากเจอคำนี้ขอให้รู้ว่าทรงใช้คำนี้แต่ในสภาวะแล้ว ผมเห็นว่าน่าจะตรงกับคำว่า "ไม่สนับสนุน" หรือ "ไม่ส่งเสริม" ในปัจจุบันครับ ขอยกมาบางส่วนดังนี้ครับ


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
๑๑. เกวัฏฏสูตร
เรื่องนายเกวัฏฏ (ชาวประมง)
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
[๓๓๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี เขตเมือง
นาลันทา. ครั้งนั้น เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ เมืองนาลันทานี้ เป็นเมืองมั่งคั่งสมบูรณ์ มีผู้คนมาก คับคั่งไปด้วยมนุษย์
ล้วนแต่เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างยิ่ง ขอประทานโอกาสเถิดพระเจ้าข้า ขอพระผู้มี-
*พระภาคทรงชี้ภิกษุสักรูปหนึ่งที่จักกระทำอิทธิปาฏิหาริย์อันเป็นธรรมที่ยิ่งยวดของมนุษย์ได้ เมื่อ
เป็นเช่นนี้ ชาวเมืองนาลันทานี้จักเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างยิ่ง สุดที่จะประมาณ เมื่อ
เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตรกราบทูลดังนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูกรเกวัฏฏ์ เรามิได้แสดง
ธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า มาเถิดภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์อันเป็น
ธรรมที่ยิ่งยวดของมนุษย์ แก่คฤหัสถ์ ผู้นุ่งขาวห่มขาวดังนี้. เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตร ได้กราบทูล
เป็นคำรบสองว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มิได้จำกัด พระผู้มีพระภาค
เพียงแต่กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมืองนาลันทานี้ เป็นเมืองมั่งคั่งสมบูรณ์ มีผู้
คนมาก คับคั่งไปด้วยมนุษย์ ล้วนแต่เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างยิ่ง ขอประทานโอกาส
เถิดพระเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคทรงชี้ภิกษุสักรูปหนึ่ง ที่จักกระทำอิทธิปาฏิหาริย์อันเป็นธรรมที่
ยิ่งยวดของมนุษย์ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวเมืองนาลันทานี้จักเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างยิ่ง
สุดที่จะประมาณ แม้ครั้งที่ ๓ เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตรก็ได้กราบทูลอย่างนั้น.

ปาฏิหาริย์ ๓ ประการ-อิทธิปฏิหาริย์

[๓๓๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเกวัฏฏ์ ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ เราทำให้แจ้งด้วยปัญญา
อันยิ่งด้วยตนเองแล้ว จึงได้ประกาศให้รู้ ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างเป็นไฉน? คือ อิทธิปาฏิหาริย์ ๑
อาเทสนาปาฏิหาริย์ ๑ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ๑ ก็อิทธิปาฏิหาริย์เป็นไฉน? ดูกรเกวัฏฏ์ ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียว
ก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่
ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดิน
ก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วย
ฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจด้วยกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ เพราะเหตุดังนี้นั้น บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งที่มี
ศรัทธาเลื่อมใส เห็นภิกษุนั้นแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง ... ครั้นแล้วเขาจะบอกแก่คนผู้ไม่มีศรัทธา
ไม่เลื่อมใส คนใดคนหนึ่งว่า อัศจรรย์จริงหนอ ท่านไม่เคยมีมาเลย ท่าน ความที่สมณะมีฤทธิ์
มาก ความที่สมณะมีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าได้เห็นภิกษุรูปนี้แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง ... เมื่อเป็น
เช่นนี้ คนผู้ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสนั้น จะพึงกล่าวกะคนผู้มีศรัทธาเลื่อมใสอย่างนี้ว่า ท่าน มี
วิชาอยู่อย่างหนึ่งชื่อว่า คันธารี ภิกษุรูปนั้นแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง ... ได้ด้วยวิชาชื่อว่า คันธารี
นั้น ดูกรเกวัฏฏ์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? คนผู้ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสนั้น จะพึง
กล่าวอย่างนั้นกะคนผู้มีศรัทธาเลื่อมใสนั้นบ้างไหม พึงกล่าวพระเจ้าข้า ดูกรเกวัฏฏ์ เราเล็งเห็น
โทษในอิทธิปาฏิหาริย์อย่างนี้แล จึงอึดอัด ระอา เกลียดอิทธิปาฏิหาริย์.

อาเทสนาปฏิหาริย์

[๓๔๐] ดูกรเกวัฏฏ์ ก็อาเทสนาปาฏิหาริย์เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทายใจ
ทายความรู้สึกในใจ ทายความนึกคิด ทายความตรองของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นได้ว่า ใจของ
ท่านเป็นอย่างนี้ ใจของท่านเป็นไปโดยอาการนี้ จิตของท่านเป็นดังนี้ เพราะเหตุดังนี้นั้น บุคคล
ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาเลื่อมใสเห็นภิกษุนั้นทายใจ ทายความรู้สึกในใจ ทายความนึกคิด ทายความ
ตรองของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นได้ว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้ ใจของท่านเป็นไปโดยอาการนี้
จิตของท่านเป็นดังนี้. ครั้นแล้วเขาบอกแก่คนที่ยังไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส คนใดคนหนึ่งว่า
อัศจรรย์จริงหนอ ท่าน ไม่เคยมีมาเลย ท่าน ความที่สมณะมีฤทธิ์มาก ความที่สมณะมีอานุภาพ
มาก ข้าพเจ้าได้เห็นภิกษุรูปนี้ทายใจ ทายความรู้สึกนึกในใจ ทายความนึกคิด ทายความตรอง
ของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นได้ ... เมื่อเป็นเช่นนี้ คนผู้ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสนั้น พึงกล่าวกะเขาว่า
ท่าน มีวิชาอย่างหนึ่งชื่อว่า มณิกา ภิกษุรูปนั้นทายใจ ทายความรู้สึกในใจ ทายความนึกคิด
ทายความตรองของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นก็ได้ ... ด้วยวิชาชื่อว่า มาณิกานั้น ดูกรเกวัฏฏ์ ท่านจะ
สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? คนผู้ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสนั้น พึงกล่าวอย่างนั้นกะคนผู้มีศรัทธา
เลื่อมใสกันบ้างไหม? พึงกล่าวพระเจ้าข้า ดูกรเกวัฏฏ์ เราเล็งเห็นโทษในอาเทสนาปาฏิหาริย์
อย่างนี้แล จึงอึดอัด ระอา เกลียดอาเทสนาปาฏิหาริย์.

อนุสาสนีปาฏิหาริย์

[๓๔๑] ดูกรเกวัฏฏ์ ก็อนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพร่ำ
สอนอย่างนี้ว่า ท่านจงตรึกอย่างนี้ อย่าตรึกอย่างนั้น จงทำในใจอย่างนี้ อย่าทำในใจอย่างนั้น
จงละสิ่งนี้ จงเข้าถึงสิ่งนี้อยู่เถิด นี้เรียกอนุสาสนีปาฏิหาริย์.

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 317&Z=7898

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>


หากอ่านแล้วจะเห็นว่า อิทธิปาฏิหาริย์ กับ อาเทสนาปาฏิหาริย์นั้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงสนับสนุน หรือส่งเสริม เพราะโดยแท้จริงแล้วมีโทษมากกว่าคุณ ไม่ใช่สาระสำคัญจริงๆ ของพระพุทธศาสนา แม้บางครั้งจะจำเป็นก็ตาม และศาสนาอื่นๆ ก็ทำได้ ดังจะเห็นได้จากเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ ยิ่งหากมาแสดงในปัจจุบันด้วยแล้วจะเห็นโทษปรากฏได้ชัดขึ้นไปอีก...

แต่หากเราพิจารณาดีๆ แล้วจะมีอยู่ประการที่ ๓ คือ "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" ตรงนี้แหละที่สำคัญมากๆ ถือเป็นทีเด็ดของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ดีมากๆ และพระพุทธเจ้าก็ทรงสนับสนุนให้ภิกษุแสดงกันในประการนี้ กล่าวง่ายๆ คือ คำสอนเป็นจริง สอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติได้ผลสมจริง เป็นอัศจรรย์ เป็นการสอนที่ตรงกับสภาวะทุกข์ คำสอนใดที่สอนไปแล้ว ผู้รับสามารถดับทุกข์ได้จริง หรือถึงขั้นบรรลุธรรมกันได้เลย ตรงนี้เองจะทำให้ผู้ที่ไม่ศรัทธามาศรัทธา ผู้ที่ศรัทธาแล้วก็ยิ่งศรัทธามากยิ่งขึ้น เป็นให้ผู้นั้นตัดตรงเข้าถึงเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา ไม่มีโทษมีแต่คุณเป็นเอนกปริยายรอบด้านครับ

อุปมาเหมือนกับคำสอนในบางสำนักในปัจจุบัน ที่มีคนทุกข์ใจอยู่ หาทางออกไม่ได้ แล้วก็ได้มาฟังคำสอนของสำนักหนึ่ง เมื่อได้ฟังแล้วทำจิตตามไปขณะฟัง ใจก็หายทุกข์ คลายจากทุกข์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตรงนี้เองจะทำให้ใจก็เกิดศรัทธามั่นคงครับ

ไม่รู้ผมอธิบายซับซ้อนไปหรือเปล่า แต่ก็พยายามสื่อให้ตรงที่สุดแล้วครับ

พิจารณาดูนะครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ศิรัสพล เมื่อ 07 ก.พ. 2010, 11:21, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 11:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ธ.ค. 2009, 14:59
โพสต์: 31

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
155 ไม่ใช่อรหันต์เสมอไป


ปัญหา ผู้ที่รู้เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างแจ่มแจ้งทั้งสายทุกข์ ทั้งสายดับทุกข์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน จะจัดว่าเป็นพระขีณาสพได้หรือยัง ?


พระนารทะตอบ “ ท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผลเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ท่านผู้มีอายุเปรียบเหมือนบ่อน้ำในหนทางกันดาร ที่บ่อนั้นไม่มีเชือก โพงจะตักน้ำก็ไม่มี ลำดับนั้น บุรุษถูกความร้อนแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิวกระหายเดินมา เขามองดูบ่อน้ำนั้นก็รู้ว่ามีน้ำ แต่จะสัมผัสด้วยการไม่ได้ ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ฉันนั้นเหมือนกัน”


โกสัมพีสูตร นิ. สํ. (๒๗๔)
ตบ. ๑๖ : ๑๔๓-๑๔๔ ตท. ๑๖ : ๑๓๐
ตอ. K.S. II : ๘๓

:b42: :b42: :b42:
:b44: :b44: :b44:
:b8: :b8: :b8:

ไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ได้เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี อิอิ

ผู้ที่เห็นอริยะสัจสี่ คือ ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม คือ เห็นแล้วว่าทางนี้นี่แหละทางดับทุกข์ไม่มีทางอื่นที่ไหน

เพียงแต่ว่าเห็นทางก็ได้โสดาบัน แต่ยังพิจารณาวิปัสสนายังไม่ละเอียดถึงที่สุดเท่านั้นเอง อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เร็วๆนี้ คุณศิรัสพลออกมาเล่าเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของคุณเอง
เช่นญานนั้นญานนี้ ระลึกชาติอย่างนั้นอย่างนี้

แต่วันนี้ก็มาตั้งกระทู้ประณามคนอวดอะไรทำนองนี้

แล้วมันยังไงล่ะเนียะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ศิรัสพล เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
พระอรหันต์อาบัติได้ไหมครับ

แล้วเราต้องไปปรับ อาบัติท่าน หรือ เปล่าครับ?


สาธุกับคำถามครับ

เท่าที่ผมศึกษาและปรากฏหลักฐานในชั้นพระไตรปิฏก พระอรหันต์ท่านไม่มีเจตนาทำอาบัติครับ เช่น มีพระอรหันต์รูปหนึ่งที่ท่านตาบอดท่านก็ไปเดินจงกรมเหยียบสัตว์ต่างๆ ตาย เหล่าภิกษุไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่าไม่ได้มีเจตนา ซึ่งหมายถึงไม่อาบัติ เป็นต้น

แต่ก็มีการปรับอาบัติย้อนหลังกับพระอรหันต์เกิดขึ้นได้ครับ เช่น เรื่องของพระอานนท์ที่ท่านบรรลุอรหันต์ก่อนวันที่จะทำปฐมสังคายนา เหล่าิภิกษุที่ร่วมสังคายนา โดยมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธานสงฆ์ก็มีการปรับอาบัติเล็กน้อยย้อนหลังกับพระอานนท์ ซึ่งท่านแม้เห็นว่าท่านไม่ได้ผิด แต่ท่านก็ปลงอาบัติเพราะแสดงให้เห็นถึงความยำเกรงมติสงฆ์ เป็นต้น

แต่ก็มีเรื่องที่จัดว่าไม่เป็นอาบัติทีเดียวแต่เป็นการกระทำอันก่อให้เกิดการบัญญัติอาบัติขึ้นได้ของพระอรหันต์ เช่น เรื่องพระอรหันต์ที่เหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทร์ แล้วพระพุทธเจ้าทรงทราบก็ทรงติเตียนพระอรหันต์รูปนั้นว่าเป็นดุจการแสดงของสงวนสตรี ก็ทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นมา เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ที่กล่าวไป ได้แสดงให้เห็นว่าพระอรหันต์ท่านจะไม่มีเจตนาที่จะทำอาบัติที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้แล้ว แต่ก็มีเหมือนกันที่เกิดพลั้งพลาดโดยไม่มีเจตนาและโดนปรับอาบัติในภายหลังก็มีครับ หากเป็นยุคหลังพุทธกาลจะมีเหมือนกัน คือชั้นอรรถกถาได้เล่าถึงที่มาของพระนาคเสน ว่าพระอรหันต์รูปหนึ่งท่านไปปลีกวิเวกเข้านิโรธสมาบัติ แล้วเลยเวลาไม่ได้มาเข้าร่วมประชุมสังฆากรรม (ประชุมสงฆ์) ที่ประชุมสงฆ์จึงปรับอาบัติท่านให้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลอบรม พระนาคเสน...

สรุปก็คือ ในความเห็นของผมนั้น พระอรหันต์ท่านจะไม่มีเจตนาล่วงละเมิดอาบัติที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัิติเอาไว้ก่อน แต่ก็อาจจะมีการเกิดอาบัติเล็กน้อยขึ้นได้โดยไม่เจตนาครับ แต่หากจะเกิดล่วงละเมิดอาบัติเล็กน้อยโดยตั้งใจ เช่น ระดับทุกกฏ เป็นต้น ท่านจะทำเมื่อจำเป็นจริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ครับ


พระอรหันต์ หมดเจตนาในการกระทำกรรมแล้วงับ

ไม่ใช่ไม่มีเจตนานะงับ ถ้าไม่มีเจตนาในบางเรื่อง ก็อาจมีอีกเรื่องก็ได้งับ

แสดงว่ายังกระทำกรรมทั้งดีและชั่ว ยังอยู่ในการเวียนวายต่ายเกิด ยังมีปฏิสนธิวิญญาณสิงับ

ที่ปรับอาบัติ ทุกฎ เพราะป้องกันวิสุธิเทพถูกโลกตำหนิงับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ก็เร็วๆนี้ คุณศิรัสพลออกมาเล่าเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของคุณเอง
เช่นญานนั้นญานนี้ ระลึกชาติอย่างนั้นอย่างนี้

แต่วันนี้ก็มาตั้งกระทู้ประณามคนอวดอะไรทำนองนี้

แล้วมันยังไงล่ะเนียะ


ขอบคุณครับที่คุณชาติสยาม ร่วมเสนอความคิดเห็นนี้

คิดไว้แล้วครับ ว่าคุณจะต้องมีคำถามทำนองนี้...

หากคุณชาติสยามย้อนกลับไปถึงเรื่องที่ผมเล่าแล้ว และย้อนกลับไปอีกถึงสาเหตุหรือต้นเหตุของการเล่านี้ ว่ามาจากอะไร คือ มาจากคุณชาติสยามนั่นเองครับ ผมจำแหล่งอ้างอิงไม่ได้แล้ว แต่ทำนองว่า...

(คำที่สื่อออกมาทำนองนี้)

- คุณมาออกความเห็นโดยไม่มีความรู้ หรือไม่เคยมีประสบการณ์
- มีอะไรให้เล่าก็เล่าไปเถอะ (คุณพยายามให้เล่าให้ได้) เขาจะได้รู้ว่าคุณเป็นอย่างไร อย่างคุณxxx ยังเล่าไม่เห็นเป็นอะไรเลย จริงหรือไม่ คนอ่านเขาตัดสินกันเอง
ฯลฯ


โดยปกติแล้วผมจะไม่อวด และจะไม่เล่าประสบการณ์อะไรๆ หรอกครับ เพราะถึงแม้ว่าฆราวาสจะแสดงจะอวดอย่างไรก็ได้โดยไม่มีสิกขาบทใดๆ ไม่มีความผิดใดๆ ก็ตามที แต่เมื่อมีเหตุจำเป็นจริงๆ ให้เล่าก็เล่าครับ...

ซึ่งเมื่อผมพิจารณาดูแล้ว ก็เห็นว่าไม่ใช่มีแต่โทษ เห็นว่ามีข้อดีต่อเพื่อนสมาชิกที่อ่านอยู่ด้วย ไม่มากก็น้อย เช่น เพื่อเป็นกำลังใจว่าหากเราปฏิบัติจริง เราก็ย่อมเกิดผลจริงๆ ฆราวาสก็ทำได้ ฌานหรืออภิญญาต่างๆ ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน หรือเป็นสิ่งที่นำไปตรวจสอบการปฏิบัติของตนได้ครับ...

และอีกประการหนึ่ง เมื่อผมได้เล่าไป ก็เห็นว่าจะเล่าเพียงบางส่วนก็พอแล้ว แต่ก็มีเพื่อนสมาชิกช่วยให้เล่าอีก ก็เลยเล่าต่อครับ แต่พอเห็นว่าจะกลายเป็นการหาว่าโม้ไป เอามาเล่าเพื่ออวดตัวเอง ยกตัวเอง ฯลฯ เริ่มมีการปรามาส ว่ากล่าวผมกัน ผมก็หยุดเล่าครับ

ส่วนเรื่องที่มาตั้งกระทู้นี้ คนละประเด็นกัน คุณโทษของฆราวาสอวด กับคุณโทษของพระภิกษุอวดต่อพระพุทธศาสนานั้นแตกต่างกัน มีผลกระทบแคบกว้างกว่ากันอย่างหาที่สุดไม่ได้ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ศิรัสพล เมื่อ 07 ก.พ. 2010, 13:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ก๊ากๆๆๆ

:b32: :b32:

คุณศิรัสพลครับ
ผมขุดกี่หลุมๆ คุณก็ตกหลุมผมหมดเลย


ไปมาๆ เรื่องเดียวกันแท้ กลายเป้นว่า ฆราวาสทำได้ พระทำแล้วผิด
แล้วก็ประหลาดมาก ที่พยามทำให้ดูเหมือนว่าการทำอย่างนั้นของพระมันชั่วช้า"อย่างหาที่สุดมิได้"

แต่ฆราวาสลืมไปนิดนึงนะ เรื่องของพระก็คือเรื่องของพระ
วินัยหรืออาบัติ ก็ล้วนเป็นธุระของพระ
ธุระที่พระเขาทำกันในโบสถ์
พระพุทธเจ้าระบุชัดว่าเป็นหน้าที่สงฆ์ ไม่ใช่หน้าที่ฆราวาส

หมากัดกันในวัด สมเด็จโตฯ ท่านยังไม่ให้ไปแยกมันออกเลย
ท่านว่ามันไม่ใช่ธุระของคน

เรื่องโทษของมิจฉาทิฐิ
ไม่ใช่ว่าพระทำแล้วจะเป็นพิษกระจายไปมากกว่าฆราวาส
หรือฆราวาสทำแล้วมีพิษกระจายมากกว่าพระ
สามารถทำความเสียหายได้เท่ากันหมดนั่นแหละ
เพราะพิษมันอยู่ตรงมิจฉาทิฐิ ไม่ได้อยู่ตรงเป็นพระหรือเป็นฆราวาส

ก่อนจะด่าพระว่าอะไร ให้สังเกตุตัวเองก่อนว่าทำอย่างนั้นหรือเปล่า
ชั่วของคนอื่นก็เห็นเท่าภูเขา ชั่วของเรากลับไม่เห็น

ผมแอบเห็นมีคนมาตั้งกระทู้ pantip ทำนองว่า ช่วงนี้กระทู้เกี่ยวกับหลวงพ่อถี่ เขารำคาญ
ก็แอบเห็นชื่อศิรัสพลอนุโมทนากับเขาด้วยนะ
ประเด็นมันร้อน คนก็สนใจมาก กระทู้ก็มาก เป็นปกติธรมดา
ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกันมากมั๊ย มีแต่คนเก่งๆ แต่เรื่องง่ายๆแค่นี้ ไม่มีสมองจะคิดกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ก๊ากๆๆๆ

:b32: :b32:

คุณศิรัสพลครับ
ผมขุดกี่หลุมๆ คุณก็ตกหลุมผมหมดเลย


ไปมาๆ เรื่องเดียวกันแท้ กลายเป้นว่า ฆราวาสทำได้ พระทำแล้วผิด
แล้วก็ประหลาดมาก ที่พยามทำให้ดูเหมือนว่าการทำอย่างนั้นของพระมันชั่วช้า"อย่างหาที่สุดมิได้"

แต่ฆราวาสลืมไปนิดนึงนะ เรื่องของพระก็คือเรื่องของพระ
วินัยหรืออาบัติ ก็ล้วนเป็นธุระของพระ
ธุระที่พระเขาทำกันในโบสถ์
พระพุทธเจ้าระบุชัดว่าเป็นหน้าที่สงฆ์ ไม่ใช่หน้าที่ฆราวาส

หมากัดกันในวัด สมเด็จโตฯ ท่านยังไม่ให้ไปแยกมันออกเลย
ท่านว่ามันไม่ใช่ธุระของคน

เรื่องโทษของมิจฉาทิฐิ
ไม่ใช่ว่าพระทำแล้วจะเป็นพิษกระจายไปมากกว่าฆราวาส
หรือฆราวาสทำแล้วมีพิษกระจายมากกว่าพระ
สามารถทำความเสียหายได้เท่ากันหมดนั่นแหละ
เพราะพิษมันอยู่ตรงมิจฉาทิฐิ ไม่ได้อยู่ตรงเป็นพระหรือเป็นฆราวาส

ก่อนจะด่าพระว่าอะไร ให้สังเกตุตัวเองก่อนว่าทำอย่างนั้นหรือเปล่า
ชั่วของคนอื่นก็เห็นเท่าภูเขา ชั่วของเรากลับไม่เห็น

ผมแอบเห็นมีคนมาตั้งกระทู้ pantip ทำนองว่า ช่วงนี้กระทู้เกี่ยวกับหลวงพ่อถี่ เขารำคาญ
ก็แอบเห็นชื่อศิรัสพลอนุโมทนากับเขาด้วยนะ
ประเด็นมันร้อน คนก็สนใจมาก กระทู้ก็มาก เป็นปกติธรมดา
ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกันมากมั๊ย มีแต่คนเก่งๆ แต่เรื่องง่ายๆแค่นี้ ไม่มีสมองจะคิดกัน
ชาติสยาม เขียน:
ก๊ากๆๆๆ

:b32: :b32:

คุณศิรัสพลครับ
ผมขุดกี่หลุมๆ คุณก็ตกหลุมผมหมดเลย


ไปมาๆ เรื่องเดียวกันแท้ กลายเป้นว่า ฆราวาสทำได้ พระทำแล้วผิด
แล้วก็ประหลาดมาก ที่พยามทำให้ดูเหมือนว่าการทำอย่างนั้นของพระมันชั่วช้า"อย่างหาที่สุดมิได้"

แต่ฆราวาสลืมไปนิดนึงนะ เรื่องของพระก็คือเรื่องของพระ
วินัยหรืออาบัติ ก็ล้วนเป็นธุระของพระ
ธุระที่พระเขาทำกันในโบสถ์
พระพุทธเจ้าระบุชัดว่าเป็นหน้าที่สงฆ์ ไม่ใช่หน้าที่ฆราวาส

หมากัดกันในวัด สมเด็จโตฯ ท่านยังไม่ให้ไปแยกมันออกเลย
ท่านว่ามันไม่ใช่ธุระของคน

เรื่องโทษของมิจฉาทิฐิ
ไม่ใช่ว่าพระทำแล้วจะเป็นพิษกระจายไปมากกว่าฆราวาส
หรือฆราวาสทำแล้วมีพิษกระจายมากกว่าพระ
สามารถทำความเสียหายได้เท่ากันหมดนั่นแหละ
เพราะพิษมันอยู่ตรงมิจฉาทิฐิ ไม่ได้อยู่ตรงเป็นพระหรือเป็นฆราวาส

ก่อนจะด่าพระว่าอะไร ให้สังเกตุตัวเองก่อนว่าทำอย่างนั้นหรือเปล่า
ชั่วของคนอื่นก็เห็นเท่าภูเขา ชั่วของเรากลับไม่เห็น

ผมแอบเห็นมีคนมาตั้งกระทู้ pantip ทำนองว่า ช่วงนี้กระทู้เกี่ยวกับหลวงพ่อถี่ เขารำคาญ
ก็แอบเห็นชื่อศิรัสพลอนุโมทนากับเขาด้วยนะ
ประเด็นมันร้อน คนก็สนใจมาก กระทู้ก็มาก เป็นปกติธรมดา
ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกันมากมั๊ย มีแต่คนเก่งๆ แต่เรื่องง่ายๆแค่นี้ ไม่มีสมองจะคิดกัน


"ผมขุดกี่หลุมๆ คุณก็ตกหลุมผมหมดเลย"

คุณชาติสยามไม่ต้องขุดหลุมล่อผมหรอกครับ เพราะผมนั้นตอบด้วยความจริงใจ ไม่มีขุดหลุมล่ออะไรครับ...

ส่วนเรื่องการแสดงความคิดเห็น คุณจะเห็นว่า

อ้างอิง :

เรื่องของพระก็คือเรื่องของพระ
วินัยหรืออาบัติ ก็ล้วนเป็นธุระของพระ
ธุระที่พระเขาทำกันในโบสถ์
พระพุทธเจ้าระบุชัดว่าเป็นหน้าที่สงฆ์ ไม่ใช่หน้าที่ฆราวาส


ถูกต้องครับ ผมจึงได้นำความคิดเห็นของพระสงฆ์มาตั้งกระทู้ลงเอาไว้ให้อ่านกัน โดยไม่ได้มาจากความคิดเห็นของผมครับ

ส่วนเรื่องห้องพันธุ์ทิพย์นั้น คุณยังไม่ได้ไปคลุกคลีอยู่จริงๆ อาจจะยังไม่ทราบอะไรดีพอ เพียงที่คุณสังเกตนั้นถือว่ายังออกความเห็นไม่ได้ครับถือว่าน้อยไปครับ

กรณีหลวงพ่อที่คุณนับถือ อย่านำมากล่าวอ้าง หรือพาดพิงถึง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแก่ข้อความของคุณจะดีกว่าครับ ไม่เช่นนั้นเรื่องจะบานปลายออกไปอีก และผมไม่อยากจะยุ่งเรื่องเดิมๆ นี้แล้วครับ

เพราะเพียงประกาศของสวนสันติธรรมนั่นก็ชัดเจนแล้วครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ศิรัสพล เมื่อ 07 ก.พ. 2010, 13:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ไปมาๆ เรื่องเดียวกันแท้ กลายเป้นว่า ฆราวาสทำได้ พระทำแล้วผิด
แล้วก็ประหลาดมาก ที่พยามทำให้ดูเหมือนว่าการทำอย่างนั้นของพระมันชั่วช้า"อย่างหาที่สุดมิได้"


ผมว่าคุณตีความไปอย่างนั้นเองนะครับ ผมไม่ได้ต้องการสื่ออย่างว่าการกระทำอย่างนั้นชั่วช้าอย่างหาที่สุดไม่ได้เลย..คุณคิดจริงๆ หรือครับว่าผมคิดเช่นนั้น ไม่ได้สือถึงอย่างอื่น

ชาติสยาม เขียน:
เรื่องโทษของมิจฉาทิฐิ
ไม่ใช่ว่าพระทำแล้วจะเป็นพิษกระจายไปมากกว่าฆราวาส
หรือฆราวาสทำแล้วมีพิษกระจายมากกว่าพระ
สามารถทำความเสียหายได้เท่ากันหมดนั่นแหละ
เพราะพิษมันอยู่ตรงมิจฉาทิฐิ ไม่ได้อยู่ตรงเป็นพระหรือเป็นฆราวาส

ก่อนจะด่าพระว่าอะไร ให้สังเกตุตัวเองก่อนว่าทำอย่างนั้นหรือเปล่า
ชั่วของคนอื่นก็เห็นเท่าภูเขา ชั่วของเรากลับไม่เห็น


รบกวนคุณชาติสยามกรุณาบอก หรือชี้แนะผมด้วยครับ ผมมิจฉาทิฐิข้อไหน ตรงไหน
และผมด่าพระตรงไหน ข้อความอะไร ผิดอย่างไร ระบุชี้ชัดได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ
เอาสิกขาบทและคำสอนของพระพุทธเจ้ามาด่าว่าผมได้เลยครับ

แต่หากไม่มีมิจฉาทิฐิ หรือผิดสิกขาบถใดๆ ล่ะครับ?
มันเป็นเพราะอะไร มันจะหมายถึงคุณต้องการพูดใส่ร้าย หรือพูดทำลายผมโดยไม่มีมูลหรือเปล่าแบบนี้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิรัสพล เขียน:
ส่วนเรื่องห้องพันธุ์ทิพย์นั้น คุณยังไม่ได้ไปคลุกคลีอยู่จริงๆ อาจจะยังไม่ทราบอะไรดีพอ เพียงที่คุณสังเกตนั้นถือว่ายังออกความเห็นไม่ได้ครับถือว่าน้อยไปครับ


เวลาทีวีมีประกวดอะไรๆ คนเขาก้พูดถึงเรื่องนั้นกันถี่ๆ
ห้องการเมืองเวลามีประเด็นอะไรเขาก็พูดถึงเรื่องนั้นถี่ๆ
มันธรรมดามากจนผมไม่คิดว่าจะมีคนมีปัญหา

แล้วก้มีคนมีปัญหา ตรงที่ไม่ชอบใจ
รำคาญกระทู้ที่ตัวเองไม่ได้สนใจ รำคาญกระทู้ที่ตนมีปฏิฆะอยู่เป็นทุนเดิม
แต่ละคนพูดถึงเรื่องสวรรค์นิพพานอภิญญาปรมัตถ์กันเป็นวรรคเป็นเวร
แต่เรื่องกระจิ๊ดริ๊ดแค่นี้วางใจไม่เป็น
ก็พิสูจน์กันอยู่เห็นๆว่าความฉลาดของจิตของแต่ละคนมันเป็นยังไง


ศิรัสพล เขียน:
กรณีหลวงพ่อที่คุณนับถือ อย่านำมากล่าวอ้าง หรือพาดพิงถึง
เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแก่ข้อความของคุณจะดีกว่าครับ
ไม่เช่นนั้นเรื่องจะบานปลายออกไปอีก และผมไม่อยากจะยุ่งเรื่องเดิมๆ นี้แล้วครับ
เพราะเพียงประกาศของสวนสันติธรรมนั่นก็ชัดเจนแล้วครับ


อย่ามากล่าวหากันอย่างนี้สิครับ
ตรงไหนผมไปเอาชื่อหลวงพ่อมาสร้างความน่าเชื่อถือให้ข้อความของผม
ช่วยยกมาให้ดูหน่อยสิคุณ

ลองถามคนแถวนี้สิ เวลาคนยอมรับผม message ของผม
เวลาเขาอนุโมทนาผมน่ะ เขาอนุโมทนาเพราะผมอ้างชื่อใครมาพูด
หรือเขายอมรับโดยสิโรราบต่อ"ความจริง" ที่พูด
(ผมอยากจะเครดิตจะตายไปว่าใครสอนใครสั่ง แต่ผมทำไม่ได้ ท่านไม่ให้ทำ)


ตรงกันข้ามสิครับ
คุณต่ะหาก ด้วยปฏิฆะส่วนตัวต่อการดูจิตและหลวงพ่อ
ไม่อยากจะด่าเอง เลยไปยืมมีดฆ่าคน
ด้วยการเอาบางส่วนของวจนะของพระพรหมคุณาภรณ์มาใช้เป็นมีด
เป็นเครื่องมือสนองอนุสัยปฏิฆะของตน



ท่าน ปอ. ปยุตโต เขียนหนังสือโดยปกติของท่านโดยปกติอยู่ก่อน
วาระที่ท่านเขียนท่านก็ไม่ได้เขียนเพราะมีกรณีหลวงพ่อปราโมทย์
ท่านเขียนของท่านตั้งนานแล้ว ท่านไม่ได้เขียนโดยแรงผลักดันในเรื่องนี้

แต่เวลาคุณศิรัสพลหยิบเอามาพูด ลองถามตัวเองเถอะครับ อะไรทำให้หยิบออกมาพูด
แรงผลักดันอะไร เกี่ยวข้องกับอะไร ถึงผลักดันให้หยิบคำของท่านเจ้าคุณมาสื่อ
ไม่ต่างกับพวกไปเอาพุทธพจน์มาด่าคนหรอก พอๆกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 14:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาใช้กับพระอรหันต์งับ

ไม่ใช่กับหนังสือ พุทธธรรม ที่เขียนบ้างถูกบ้างผิดบ้าง เอาแน่ไม่ได้นะงับ

ธรรมะไม่ใช่เอาเปรียญธรรม นาคหลวงที่ 2 มาเป็นที่เคารพนะงับ

ไร้สาระมาก

เอาธรรมแท้นะงับ ไม่เอาโมฆบุรุษ 55+


คัมภีร์วิสุทธิมรรคก็ยังเขียนผิดๆถูกๆจนหลวงปู่มั่นยังพูดเอาไว้เลยงับ

หนังสือพุทธธรรม และ คัมภีร์วิสุทธิมรรค พอๆกันงับ


พอดีผมย้อนกลับไปอ่านความเห็นบางความเห็น ได้พบข้อความของคุณขงเบ้งฯ เข้า มีความสนใจใคร่สอบถามครับ...

๑. ที่คุณบอกว่าหนังสือพุทธธรรมถูกบ้าง ผิดบ้าง รบกวนคุณช่่วยแนะนำด้วยครับ ว่าใครบอกว่าผิด และผิดตรงไหน อย่างไร และที่ถูกควรเป็นอย่างไรครับ

๒. ที่คุณกล่าวว่าหนังสือวิสุทธิมรรคนั้นเีขียนผิดๆ ถูกๆ จนหลวงปู่มั่นพูดเอาไว้ ตรงนี้น่าสนใจครับ ผมเองก็เห็นคล้ายๆ กันแต่ไม่กล้าระบุว่าผิด รบกวนคุณขงเบ้งนำหนักฐานอ้างอิงของหลวงปู่มั่นมาด้วยครับว่าท่านกล่าวไว้อย่างไร ผิดตรงไหน และถูกควรเป็นอย่างไรครับ


ที่ต้องถามทั้ง ๒ ข้อนี้เพราะจัดเป็นพาดพิงบุคคล และเกิดให้เสื่อมเสีย เป็นการปรามาสกล่าวตู่ได้ทั้งสิ้น เป็นบาปหนักได้ทั้งสิ้น ได้แก่

- หนังสือพุทธธรรมและท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เสื่อมเสีย,
- วิสุทธิมรรค และท่านพุทธโฆษาจารย์ (อรรถกถาจารย์รูปหนึ่ง) เสื่อมเสีย,
- หลวงปู่มั่นเสื่อมเสียได้ (หากท่านไม่ได้กล่าวไว้จริงๆ แต่คุณมาอ้างลอยๆ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิรัสพล เขียน:
รบกวนคุณชาติสยามกรุณาบอก หรือชี้แนะผมด้วยครับ ผมมิจฉาทิฐิข้อไหน ตรงไหน


อุ๊ย ผมไปเอ๊กเรย์คุณไม่ได้หรอก
ไม่ทราบหรอกว่าคุณมีมิจฉาทิฐิอะไร

ผมบอกได้แต่ของผมว่าผมน่ะ
นอกจากแยกรูปแยกนามแล้ว ที่หลือนั้นผมมิจฉาทิฐิทั้งหมด
ไม่ได้มีสัมมาทิฐิอะไรมากหรือน้อยกว่านี้
ส่วนที่พูดๆไปทั้งหมด ทั้งที่ผ่านมาน่ะ "ผมจำเขามาพูด"

ศิรัสพล เขียน:

และผมด่าพระตรงไหน ข้อความอะไร ผิดอย่างไร ระบุชี้ชัดได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ
เอาสิกขาบทและคำสอนของพระพุทธเจ้ามาด่าว่าผมได้เลยครับ

แต่หากไม่มีมิจฉาทิฐิ หรือผิดสิกขาบถใดๆ ล่ะครับ?
มันเป็นเพราะอะไร มันจะหมายถึงคุณต้องการพูดใส่ร้าย หรือพูดทำลายผมโดยไม่มีมูลหรือเปล่าแบบนี้ครับ



บอกตรงๆนะ ตั้งแต่ผมมาเล่นเว็บนะ
เจออะไรหยาบคายร้ายกาจมาเยอะนะ แต่สู้ย่อหน้านี้ของคุณไม่ได้เลย
โอย ๆ ผมรู้สึกรังเกียจมากๆ ขยะแขยง หวาดกลัว บอกไม่ถูก

ไม่คุยด้วยแล้วนะ จบข่าว


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 07 ก.พ. 2010, 14:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ศิรัสพล เขียน:
ส่วนเรื่องห้องพันธุ์ทิพย์นั้น คุณยังไม่ได้ไปคลุกคลีอยู่จริงๆ อาจจะยังไม่ทราบอะไรดีพอ เพียงที่คุณสังเกตนั้นถือว่ายังออกความเห็นไม่ได้ครับถือว่าน้อยไปครับ


เวลาทีวีมีประกวดอะไรๆ คนเขาก้พูดถึงเรื่องนั้นกันถี่ๆ
ห้องการเมืองเวลามีประเด็นอะไรเขาก็พูดถึงเรื่องนั้นถี่ๆ
มันธรรมดามากจนผมไม่คิดว่าจะมีคนมีปัญหา

แล้วก้มีคนมีปัญหา ตรงที่ไม่ชอบใจ
รำคาญกระทู้ที่ตัวเองไม่ได้สนใจ รำคาญกระทู้ที่ตนมีปฏิฆะอยู่เป็นทุนเดิม
แต่ละคนพูดถึงเรื่องสวรรค์นิพพานอภิญญาปรมัตถ์กันเป็นวรรคเป็นเวร
แต่เรื่องกระจิ๊ดริ๊ดแค่นี้วางใจไม่เป็น
ก็พิสูจน์กันอยู่เห็นๆว่าความฉลาดของจิตของแต่ละคนมันเป็นยังไง


ศิรัสพล เขียน:
กรณีหลวงพ่อที่คุณนับถือ อย่านำมากล่าวอ้าง หรือพาดพิงถึง
เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแก่ข้อความของคุณจะดีกว่าครับ
ไม่เช่นนั้นเรื่องจะบานปลายออกไปอีก และผมไม่อยากจะยุ่งเรื่องเดิมๆ นี้แล้วครับ
เพราะเพียงประกาศของสวนสันติธรรมนั่นก็ชัดเจนแล้วครับ


อย่ามากล่าวหากันอย่างนี้สิครับ
ตรงไหนผมไปเอาชื่อหลวงพ่อมาสร้างความน่าเชื่อถือให้ข้อความของผม
ช่วยยกมาให้ดูหน่อยสิคุณ

ลองถามคนแถวนี้สิ เวลาคนยอมรับผม message ของผม
เวลาเขาอนุโมทนาผมน่ะ เขาอนุโมทนาเพราะผมอ้างชื่อใครมาพูด
หรือเขายอมรับโดยสิโรราบต่อ"ความจริง" ที่พูด
(ผมอยากจะเครดิตจะตายไปว่าใครสอนใครสั่ง แต่ผมทำไม่ได้ ท่านไม่ให้ทำ)


ตรงกันข้ามสิครับ
คุณต่ะหาก ด้วยปฏิฆะส่วนตัวต่อการดูจิตและหลวงพ่อ
ไม่อยากจะด่าเอง เลยไปยืมมีดฆ่าคน
ด้วยการเอาบางส่วนของวจนะของพระพรหมคุณาภรณ์มาใช้เป็นมีด
เป็นเครื่องมือสนองอนุสัยปฏิฆะของตน



ท่าน ปอ. ปยุตโต เขียนหนังสือโดยปกติของท่านโดยปกติอยู่ก่อน
วาระที่ท่านเขียนท่านก็ไม่ได้เขียนเพราะมีกรณีหลวงพ่อปราโมทย์
ท่านเขียนของท่านตั้งนานแล้ว ท่านไม่ได้เขียนโดยแรงผลักดันในเรื่องนี้

แต่เวลาคุณศิรัสพลหยิบเอามาพูด ลองถามตัวเองเถอะครับ อะไรทำให้หยิบออกมาพูด
แรงผลักดันอะไร เกี่ยวข้องกับอะไร ถึงผลักดันให้หยิบคำของท่านเจ้าคุณมาสื่อ
ไม่ต่างกับพวกไปเอาพุทธพจน์มาด่าคนหรอก พอๆกัน


อ่านความเห็นของคุณแล้วครับ

- ประเด็นที่ผมรบกวนคุณไป ผมยังไม่เห็นคุณระบุว่าผมมิจฉาทิฐิตรงไหน และผิดสิกขาบทตรงไหนนะครับ ผมยังรออยู่นะครับ

- ประเด็นข้อความพาดพิงหลวงพ่อปราโมทย์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของข้อความคุณนั้น คือประโยคนี้ครับ

ชาติสยาม เขียน:
ผมแอบเห็นมีคนมาตั้งกระทู้ pantip ทำนองว่า ช่วงนี้กระทู้เกี่ยวกับหลวงพ่อถี่ เขารำคาญ
ก็แอบเห็นชื่อศิรัสพลอนุโมทนากับเขาด้วยนะ
ประเด็นมันร้อน คนก็สนใจมาก กระทู้ก็มาก เป็นปกติธรมดา
ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกันมากมั๊ย มีแต่คนเก่งๆ แต่เรื่องง่ายๆแค่นี้ ไม่มีสมองจะคิดกัน


ประเด็นยืมดาบฆ่าคนนี้ คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ไม่ใช่เรื่องหลวงพ่อปราโมทย์ครับ ประเด็นให้ตั้งกระทู้นี้จริงๆ คือกระทู้นี้ครับ ผมจึงตั้งกระทู้นี้ในพันธุ์ทิพย์ และก็ตั้งในหลายๆ ที่ด้วยครับ

"ชาติหน้า ไม่ขอเกิดอีก"
http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 36744.html


ที่มีท่านหนึ่งตั้งกระทู้ และมีผู้เสนอแนะความเห็นมา ผมก็เสนอแนะความเห็นไป และเห็นว่าควรจะนำเรื่องอวดอุตริมนุษยธรรมมาลงเอาไว้ เพื่อจะได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้นครับ


อ้างอิง :

สำหรับผม ท่านจะบรรลุหรือไม่อย่างไร เป็นพระอริยะหรือไม่ก็ตาม ไม่เกี่ยวกับผมเลย....เพราะธรรมะที่ผมเรียนมา สอนให้ผมดูแต่ตัวเองเท่านั้น

ข้อเสนอแนะ:

หากออกความเห็นอย่างนี้ในประเด็นหนังสือข้างต้น ขอให้ใคร่ครวญดูใหม่นะครับ เพราะยังเป็นความเห็นที่ไม่รอบด้านเพียงพอ อาจเพราะไม่ทราบถึงข้อเสียถึงพระพุทธศาสนาโดยรวม

จากคุณ : ศิรัสพล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 55 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 141 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร