ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=29268
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  คิดตรงๆ [ 02 ก.พ. 2010, 02:59 ]
หัวข้อกระทู้:  การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

จากที่เห็นในปัจจุบัน เกิดความรู้สึกว่า สังคมบ้านเรามีการแยกตัวเองออกจากพุทธศาสนามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเนื่องจากความฝักใฝ่ในด้านวัตถุที่มากขึ้นๆ ของสังคมทุนนิยม ที่ลุกลามเข้ามาถึงพระภิกษุ สามเณร ในวัด ทั้งนโยบายทางการศึกษาของรัฐเอง ก็เป็นตัวทำให้พระพุทธศาสนาเอง เกิดความอ่อนแอลง เนื่องจากเน้นที่การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และสังคมวัตถุ มากกว่าด้านจิตใจของคนในสังคม จนปัจจุบัน เราจะมีค่านิยมว่า " ส่งลูกให้เรียนสูงๆ จะได้งานทำดีๆ มีเงิน หาเงินให้ได้มากๆ " ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ที่เขาเรียนเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองเป็นหลัก ในทางพุทธศาสนาก็เรียนเพื่อพัฒนาด้านจิตใจและเน้นที่ การปฏิบัติตัวตาม ธรรมวินัย เพื่อให้หลุดพ้นมากกว่า เรียนเพื่อให้ได้ยศศักดิ์ ที่ ทางโลกแต่งตั้งให้ ดังจะเห็นว่า พระที่มียศศักดิ์ชั้นสูงๆ จะได้รับการเคารพ นับถือมากกว่า หรือมีบทบาทมากกว่า พระที่มีพรรษามากกว่า ซึ่งพระธรรมวินัยให้ความสำคัญกับเรื่องพรรษามากกว่า

ได้พยายามมองว่า ทำไม การเรียนการสอน ทางพุทธศาสนาเรา มีอะไรๆ อำนวยความสะดวกกว่าสมัยก่อนมาก แต่ทำไมถึงมีคนขาดความเลื่อมใสศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ โรงเรียนวัดเองก็ดูจะเสื่อมโทรมลงไปมากด้วยเช่นกัน จากสมัยก่อนเป็นสถาบันการศึกษาหลักของสังคมไทยเรา แต่ปัจจุบัน กลับกลายเป็น ทางเลือกสุดท้ายที่พ่อแม่จะให้ลูกหลานของตัวเองเข้าไปศึกษาเล่าเรียน ยิ่งนโยบายการศึกษาของรัฐบาล ที่กำหนดให้เรียนบังคับถึงชั้นม.ปลาย ยิ่งเป็นการดึงให้การบวชเณรเพื่อศึกษาเล่าเรียนลดน้อยลงไปด้วย อันนี้น่าห่วงเพราะสามเณรคือ เหล่ากอของพระภิกษุ เมื่อเณรน้อยลง ผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุก็น้อยลงกว่าสมัยก่อนด้วย ดังจะเห็นได้ว่า พระภิกษุ ส่วนมากในปัจจุบัน ที่พรรษาน้อยกว่า ยี่สิบ สามสิบพรรษาลงมา มีน้อยนักที่จะรู้ภาษาบาลี พระธรรมในพระไตรปิฏก อย่างลึกซึ้ง หรือแม้แต่ใช้สื่อสารกันในหมู่พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ทั่วโลกได้ และ จะเห็นว่า พระภิกษุที่พรรษาไม่มากนักในปัจจุบัน จะมีอายุ มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมักเป็นผู้ที่เกษียณการทำงานมาบวชมากกว่า แม้ส่วนใหญ่จะสนใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจริงๆ แต่กำลังวังชาในการที่จะบำเพ็ญเพียรภาวนา บางครั้งก็มีข้อจำกัดด้วย ไม่ว่าวัยสังขาร และโรคประจำตัวต่างๆ จึงเห็นว่า ในการจัดการศึกษาในพุทธศาสนาสมควรต้องมีการทบทวนและส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะสายเกินไป ( คือ พระเถระผู้มีความเชี่ยวชาญ เข้าใจในพระธรรม พระไตรปิฏก อย่างลึกซึ้ง ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ จนถึงกาลดับสังขารไปหมดสื้นก่อน ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งการเป็นการยากในการที่จะศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดา ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ได้ )


กระทู้นี้ ก็เป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่ง ที่อยากนำเสนอให้เห็นแง่มุมหนึ่ง ของผู้ที่นับถือพุทธศาสนาตามพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และ มีความผุกพันกับวัด กับพระ มาตั้งแต่เด็กๆ จนมาบัดนี้ก็เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว จึงมีความต้องการศึกษาปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง แต่ด้วยความที่มีภาระรับผิดชอบทางโลกที่ยังไม่สามารถวางมือได้ จึงมองย้อนกลับไปในอดีตว่า หากเราได้รู้อย่างนี้มาแต่ก่อน เราคงเลือกไปทางบรรพชิตมาแต่เด็กน่าจะดีกว่า เราได้ทำกรรมทางโลกมามากมายเกินกว่าจะละทางโลกออกบวชได้ ณ ห้วงเวลาสิบปี ยี่สิบปีข้างหน้านี้ได้ จึงได้ลองคิดหาช่องทางที่พอจะเป็นโอกาสให้ลูกหลานเราได้มีโอกาสศึกษาปฏิบัติ ในพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสดา พร้อมๆกับไม่เสียโอกาสที่จะใช้ชีวิตอยู่ในทางโลกได้อย่างดีและเหมาะสมแก่ ฐานะและปัญญาของเขา หากไม่ต้องการจะอยู่ในเพศบรรพชิตไปชั่วชีวิต


จึงได้ลองคิดเล่นๆ คร่าวๆ ว่าอย่างนี้ อาจเป็นที่ขบขันและหัวร่อของท่านผู้รู้ ผู้มีปัญญา จำนวนมาก แต่ก็มิได้มีเจตนาในทางอกุศลแต่อย่างใด เพียงแต่ผมคงด้อยปัญญาเอง ใคร่ขอความกรุณา ท่านผู้รู้ ได้เมตตาชี้แนะ ด้วยนะครับ หากที่ใดผิดพลาด หรือ ไม่ถูกต้องเหมาะสม ผมยินดีรับคำสั่งสอน ตักเตือน ต่างๆ ด้วยความนอบน้อมครับ และ ก็ขอเชิญ เราชาวพุทธทั้งหลายช่วยกันระดมความคิด แสดงความคิดเห็นกัน เผื่อ จะได้แนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนาต่อไปครับ

เจ้าของ:  arthem [ 02 ก.พ. 2010, 03:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

ผมเห็นว่าน่าจะเบนเจตคติของคนเราในปัจจุบันเสียใหม่น่ะครับพี่ตรงๆ ควรปลูกจิตสำนึกให้คนเราเห็นแก่ส่วนรวมมากขึ้น ให้ความสำคัญด้านจิตใจคนเรา เมื่อคนเราเห็นความสำคัญทางด้านจิตใจมากขึ้น คนเราจะหันเข้าไปศึกษาธรรมกันเองน่ะครับ จะไม่ไปแสวงหาจับเอาเปลือกเอากระพี้เอาแก่น แต่จะหันไปทำความรู้จักกับต้นทั้งต้นแทน

เจ้าของ:  คิดตรงๆ [ 02 ก.พ. 2010, 04:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

:b2: :b2: :b2: :b2:

นั่งพิมพ์ ความเห็นตั้งเป็นชั่วโมง กลับ ส่งไม่ได้ :b2: :b2: :b2: :b2:

ข้อความหายหมดเลย :b2: :b2: :b2: :b2: :b2:

เจ้าของ:  คิดตรงๆ [ 02 ก.พ. 2010, 04:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

สรุปเอา สั้นๆว่า อยากได้โรงเรียนพระเณร แบบที่ ท่านว.วชิรเมธี ทำน่ะครับ

smiley smiley


อยากให้มีทุกตำบล ทุกอำเภอ :b4: :b4: :b4: :b4:



อยากให้เรา มองการบริจาค การทำบุญ มาในลักษณะนี้กัน ให้มากๆขึ้นน่ะครับ :b20: :b20: :b20:

เจ้าของ:  arthem [ 02 ก.พ. 2010, 05:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

Onion_L Onion_L Onion_L
วัดมีอยู่แทบทุกหมู่บ้าน มีมาคล้ายสินค้าโอท็อป ขาดอย่างเดียวทำให้มีคุณภาพ แค่นั้น
:b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34:

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 02 ก.พ. 2010, 10:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

กระผมว่า ที่ว่า "เห็นแก่ส่วนรวมมากๆ" หรือ "จิตอาสา"
หรือแนวความคิดที่ว่าต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นมากๆ ตัวเองน้อย ถึงกับเดือดร้อนไม่เป็นไร
แนวความคิดเหล่านี้แหละทำให้สังคมเสื่อม โลกเสื่อม

เราคิดว่าการช่วยคนอื่นนั้นดี เป็นความดี
ถามว่า เราเอาอะไรไปช่วยเขาล่ะ?

ที่ผู้คนวุ่นวายตกต่ำกันอยู่ทั่วไปในโลกนี้ทุกวันนี้
ก็เพราะึความคิดอยากจะช่วยเหลือผู้อื่นนี่แหละ
แต่ไม่รู้เท่าทันตนเองว่าเอากิเลสไปแก้กิเลส
เอาความเห้นผิดไปแก้ความเห็นผิด
เอาความเลวไปแก้ความเลว
ไม่มีใจที่ค่อนข้างเป็นกลางในการเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่น


อย่างจะเอาหมูปิ้งให้หมาวัดกิน หมามันก็กลัวตามประสาหมา
มันก็ไม่กล้าจะกิน เราก็หงุดหงิดแถมด่ามาอีกว่าโง่ ไม่รู้จักของดี
นี่คือตอนแรกเรามีเมตตา แต่พอหมาไม่รับ โทสะก็มาเลย
ไม่มีอุเบกขา ไม่มีความประสมกันของศีลของธรรม
มีแต่ความทะยานอยากในการเอามาหาได้ซึ่งความดี


ส่วนตัวผม ถึงวันนี้สรุปได้เลยว่า ศาาสนาพุทธสอนให้"เห็นแก่ตัว"
สอนให้เห็นแต่ตัวเองจริงๆ


เพราะเมื่อเราสังเกตุตัวเองมากๆเข้า โน้มมองกลับเข้ามาดูตัวเอง โอปนยิโก เข้ามา
วันหนึ่งเราจะรู้ว่าเราก็ชั่ว มีความชั่วอยู่มากมาย
สิ่งที่คิดที่พูดที่ทำั้ทั้งหลายล้วนถูกบงการโดยความชั่ว ความอยากดี
ความอยากจะเป้นที่ยอมรับ ความอยากมีความสุข ความอยากสะสมบางอย่าง
แทรกอยู่ในทั้งความคิดและพฤติกรรมทั้งหลายของเรา

ถ้าอยากจะแก้ไขโลกนี้ ช่วยโลกนี้
ให้เรานั่นแหละแก้ไขตัวเอง ไม่ต้องคิดไปแก้ไขใคร

เคยเป็นเถ้าแก่คหบดี ก็เป็นต่อไป ไม่ต้องอยากจะจน อยากจะทำตัวลำบาก
เนรเทศตัวเองไปปลูกผักกินหญ้า ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ น้ำก็ไม่อาบ
เพราะความอยากได้ซึ่ง"ความไม่มี"
เพราะความอยากได้ซึ่ง"ความไม่มี" ก็มีค่าเท่ากันกับ"ความอยากมี"
เป็นโลภะทั้งคู่ เพราะอยากเอาสิ่งต่างๆไม่เว้นแม้แต่ความว่าง เข้ามาสู่ใจ

ถ้าเป็นคนฉลาด เป้นชาวพุทธ เราก้ต้องเป็นคหบดีแบบพุทธ
คือมีศีล มีธรรม ปกครองผู้คนโดยศีล โดยธรรม
มีศีลมาคุมปัญญา ไม่ให้มันไปทำชั่วเอารัดเอาเปรียบคน
มีสมาธิมาเป็นกำลังของปัญญาในการทำสิ่งต่างๆให้ลุล่วงไปได้

โลกนี้ไม่ได้ฉลาดเท่ากันหมด เพราะกรรมนั้นตกแต่งผู้คน
คหบดีมีปัญญา คนงานมีกำลัง อาศัยกันช่วยกันสามารถสร้างธุรกิจที่มีคุณค่าต่อสังคมได้

องค์กรทั้งหลาย ถ้าผู้บริหารมีความรุ้ด้วย แถมมีศีลมีธรรมด้วย
ก็เป็นการอำนวยความยุติธรรม ผู้คนในปกครองก็มีความอุ่นใจสบายใจ
มีความสุขจากความเป้นธรรมของผู้บริหาร เห็นประโยชน์ของความสุข
เห็นประโยชน์ของการมีศีลมีธรรม

กระผมไม่ได้พูดเองเออเอง
สมัยพระพุทธเจ้า คนจำนวนมากที่ปรากฏในพระไตรปิฏก ที่พระพุทธเจ้าโปรดสั่งสอน
ล้วนเป้นคนชนชั้นปกครองทั้งนั้น พรหมน์เอย คหบดีเอย พระราชาเอย
บางคนสำเร้จโสดาบันแล้วแต่ก้ยังมีลูกมีหลานเป้นสิบๆ เป็นคหบดีครอบครัวใหญ่กว่าเดิม
แต่คนในปกครองก็ได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข จากผู้ปกครองที่เป้นคนมีศีลมีธรรม

พระพุทธเจ้าไม่เคยไปสอนให้เขาลาออกจากความเป้นนั่นเป้นนี่
ท่านเพียงแต่สอนให้ทราบถึงความจริง

ส่วนจะทราบได้แค่ไหนก้เป้นสมรรถนะของแต่ละคน
การสละละทิ้งทั้งหลายจึงขึ้นอยู่กับภุมิคนเหล่านั้น ภูมิน้อยก็สละได้น้อย

คนสมัยนั้น ที่ออกบวชละทิ้งทุกอย่าง เพราะเขารู้ความจริง เห้นความจริงพอสมควร จึงบวช
คนสมัยนี้ อยากบวชแต่ไม่รู้ว่าจะบวชแล้วจะทำอะไร
เอาเข้าจริงก็อยากจะให้รู้สึกว่าเป้นคนดี เป็นพระ เป็นที่สักการะ
คิดๆไปว่าบวชแล้วคงจะเป็นคนดีขึ้น คงจะได้เริ่มออกแสวงหาธรรมสักที

บางคนกอดผ้าเหลืองแน่นเลย จะครองผ้าเหลืองให้ได้
เพื่อจะประกาศว่า "ข้าเป้นคนที่ว่าง ไม่ยึดติดอะไร"
มันพลาดตรงนี้แหละ แค่คิดอยากเป็นพระก็ผิดทางแล้ว
เป็นพระที่ใจให้ได้เสียก่อน บวชก็ไม่สาย
บวชกายแล้วคิดว่าใจจะจะเป้นสมนะ เห็นม้วยกลางทางมาเยอะแล้ว

ถ้าคุณอยากจะแก้ไขสังคม อยากจะพัฒนาสังคมนะ
ให้คุณแก้ไขตัวเองเสียก่อน เลิกสนใจสังคมไปก่อน
เมื่อแก้ไขตนเองดีขึ้นแล้ว คุณจะเป็นพยานคนสำคัญของศาสนาพุทธ
เป็นพยานให้คนในสังคมเล็กของคุณเช่นบ้านหรือที่ทำงานของคุณไำด้แจ้งแก่ใจว่า
ศีลและธรรมนั้น เมื่อเราครองอยู่แล้วมีประโยชน์อย่างไร มีความสุขอย่างไร
เขาไม่ได้รับความเดือดร้อนจากเราได้อย่างไร
เมื่อเขาได้รับความหอมหวานสงบเย็นในความสุขจากความดีของคุณ
เขาก็จะเกิดศรัทธา เกิดกำลังใจที่จะเอาเยี่ยงอย่าง
เห้นประโยชน์ของธรรม เขาก็จะมีใจแก้ไขตัวเอง
ซึ่งเป็นการเผยแผ่พระธรรมโดยไม่ต้องพูดสักคำ ไม่ต้องทำสักอย่าง

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 02 ก.พ. 2010, 10:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

สัมมาทิฏฐิกับการศึกษา

ในแง่ของการศึกษา กล่าวได้ว่า คนเริ่มมีการศึกษา เมื่อเขามีสัมมาทิฏฐิ

บางท่านอาจมองในแง่จากภายนอกเข้าไปตามนัยแห่งไตรสิกขา โดยถือเอาศีลเป็นที่เริ่มต้น แล้วกล่าวว่า

การศึกษาเริ่มต้น เมื่อคนประพฤติสุจริต

แต่คำกล่าวเช่นนี้ ยังนับว่าไม่เข้าถึงตัวการศึกษา หรือ แก่นแท้ของการศึกษา เพราะการฝึกปรือในขั้นศีล

ให้มีสุจริตก็ด้วยมุ่งสร้างสมนิสัย หรือ ความเคยชินในทางที่ดีงาม เป็นทางนำคนระดับเวไนยไปสู่

การมองเห็นคุณค่าของความประพฤติสุจริตเช่นนั้น-(นี่ คือ แง่ที่พฤติกรรมกลับเป็นฝ่ายปรุงแต่งค่านิยมได้เช่น

เดียวกับปัจจัยทางสังคมอย่างอื่นๆ)

เมื่อใด มองเห็นคุณค่าเกิดความเข้าใจซาบซึ้งและใฝ่นิยมความสุจริต เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว

เมื่อนั้น ศีลหรือความประพฤติสุจริต จึงจะแน่นแฟ้นมั่นคงได้ -(ตอนนี้ ค่านิยมจะเป็นฝ่ายกำหนด

พฤติกรรม) และเมื่อนั้นแหละ จึงจะเรียกได้ว่าเขาเป็นผู้มีการศึกษา

พูดอีกอย่างหนึ่งว่า การที่ฝึกปรือในไตรสิกขาเริ่มต้นแต่ศีลไป ก็เพื่อเป็นการเพาะบ่มให้องค์มรรคทั้งหลาย

เริ่มแต่สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้น

เมื่อใด องค์มรรคซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ บังเกิดขึ้นในบุคคล จึงจะนับได้ว่าเขามีการศึกษา

เพราะนับแต่บัดนี้ไป องค์ธรรมทั้งหลายในตัวบุคคลนั้น จะเริ่มเข้าประจำทำหน้าที่สอดประสานส่งทอดต่อกัน

สัมมาทิฏฐินอกจากจะทำให้ศีล หรือ ความประพฤติสุจริตนั้นมั่นคงจริงจังแล้ว ยังช่วยให้การประพฤติศีล

เป็นไปด้วยความจริงใจไม่เสแสร้ง และเป็นหลักประกันให้ประพฤติได้ถูกต้องตามความหมายและความมุ่งหมาย

ของศีล ไม่ผิดพลาดกลายเป็นสีลัพพตปรามาส หรือ ถือปฏิบัติโดยงมงายเป็นต้น อีกด้วย

เมื่อใด มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อนั้น จึงวางใจในการปฏิบัติศีล หรือ ไว้ใจในความสุจริตนั้นได้

แต่ถ้ายังไม่มีสัมมาทิฏฐิตราบใด ก็ยังไม่อาจวางใจในศีล ตราบนั้น

(ต่อ)

viewtopic.php?f=2&t=26943&p=153401#p153401

เจ้าของ:  คิดตรงๆ [ 02 ก.พ. 2010, 11:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

smiley

เพียงแต่คิดว่า ทำไมเราไม่มุ่งเน้น การทำบุญมาที่การศึกษาทางธรรมกันให้มากขึ้นนะ แทนที่จะไปทางวัตถุ ให้พระสะสมทรัพย์สินกันมากขึ้นๆ อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลมากๆ



ทำไม ไม่ใช้ประโยชน์ จากบุคคลกร ที่เรามี ให้ส่งเสริมสนับสนุนกัน ของ 4 กลุ่ม คือ พระสายปฏิบัติ พระสายปกครอง(ผมตั้งชื่อเองครับ) บุคลากรทางโลกทั้งที่เกษียณและที่ยังอยู่ในวัยทำงานอยู่ และ พุทธศาสนิกชนทั่วไป เพราะประโยชน์ ย่อมเกิดทั้งทางศาสนาและ สังคมเอง

อย่างที่ ท่าน ชาติสยาม ผู้ดูแลเวบ ได้กล่าวไว้ถูกต้องแล้ว ว่า หน่อยสำคัญคือตัวเรา นั่นเอง ถ้าเราดีแล้ว อะไรมันก็ดีเองสำหรับเรา แต่ในภาพรวมทางสังคมแล้ว ต้องคนส่วนใหญ่ดี สังคมจึงจะดี มันก็ย้อนมาที่ตัวเรานั่นเอง ตามที่ท่านชาติสยามว่าไว้

ความเป็นจริง ที่เราไม่อาจ ปฏิเสธว่า ไม่มีไม่ได้คือ ในส่วนพระสงฆ์เอง ก็มี สองสาย อย่างที่ผมแบ่งไว้ ส่วนจะเรียกกันอย่างไรก็แล้วแต่ละคนจะเรียก ซึ่งต่างก็มีบทบาทด้วยกันไปคนละแบบคนละอย่าง อย่างพุทธแท้ ก็สายปฏิบัติ ซึ่งมีน้อยลงมากในปัจจุบัน ที่พบเห็นส่วนใหญ่ก็เป็นสายพุทธปกครองสงฆ์ แม้ในพวกเราเอง ก็มีทั้งสายทำบุญตามธรรมเนียม(ทำบุญแล้วก็แล้วไป) และสายทำบุญอย่างรับผิดชอบ (ทำบุญแล้วตามต่อจนเห็นผล เช่น ปฏิบัติธรรมจริงหวังผลลดละกิเลส หรือ สร้างคนให้เป็นคนดีขึ้นมาให้ได้จริงๆ แก่สังคม ซึ่งเป็นการทำบุญที่ต้องใช้ความเพียรพยายามมากและยาวนาน)

ทำอย่างไรให้ ทำงานสอดคล้องกัน ส่งเสริมสนับสนุนกันได้ ทั้ง สี่ฝ่าย ดังกล่าวมานั่นเอง

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 02 ก.พ. 2010, 12:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

ยินดีครับ คุยกันแบบนี้ดีมากเลย ผมชอบ
แต่ว่าถ้าจะจัดประเด็นเป็นเป็นข้อๆส่วนๆ มันจะดีกว่านี้มากเลย

ถ้าพูดถึงการศึกษา ในส่วนของการเรียนในชั้น ในระบบโรงเรียน
ผมมีเว็บแนะนำให้ดู เป้นหลักสูตรมัธยมที่จัดการเรียนการสอนแบบพุทธ วิถีพุทธ

http://www.panyaprateep.org/

ดีมากๆนะ ผมอยากเชิญชวนทุกคนสนับสนุนโรงเรียนนี้

(ปล. กระซิบนะ
ที่ว่าผมเป้นผู้ดูแลบอร์ดนั้น ผมเป้นผู้ดูแลเฉพาะกิจนะครับ มีภาระกิจเฉพาะเรื่อง
คือลบกระทู้พลศักดิ์ และกระทู้โจมตีศาสนาพุทธเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้
ไม่ได้เป็นผู้ดูแลบอร์ดจริงๆน่ะครับ
อย่างสมาชิกทะเลาะกัน แสดงความเห้นกันนั้น ผมจะไม่เกี่ยวด้วย
ความคิดความเห็นอะไรของผมก้ตาม เป็นความคิดความเห็นของผมคนเดียว
ไม่เกี่ยวข้องกับทางทีมงานของเว็บ ไม่ได้ทำในนามทีมงานเว้บนะครับ
คิดซะว่าผมเป้นสมาชิกธรรมดาคนหนึ่ง คุยกันได้ครับ ด่าก็ได้ตามสะดวกครับ

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 02 ก.พ. 2010, 13:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

~อีกโรงเรียนนึงนะ
ชื่อ"โรงเรียนผู้รู้" ของพระญานสังวร สมเด็จพระสังฆราช

http://www.phurhu.com/

เจ้าของ:  arthem [ 02 ก.พ. 2010, 13:56 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

ที่ว่าคนที่เห็นแก่ส่วนรวมสร้างปัญหานั้นน่ะมี ก็คนที่เห็นแก่ส่วนรวมนั้นน่ะมันเห็นไม่จริง เห็นส่วนรวมเอาหาส่วนตนไงไม่ได้ไปเห็นส่วนรวมจริง เพราะเห็นขเอาหาตนเสียตั้งแต่แรกแต่อยากดีเลยไปมั่วๆแอบๆลองๆเข้าหารวมไง
ก็เพราะเห็นเอาหาตนฝ่ายเดียวนั่นแหละปัญหามันจึงมีมากกว่าปัญญา
:b6:

เจ้าของ:  คิดตรงๆ [ 02 ก.พ. 2010, 14:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

ไปดูเวบ โรงเรียนมาแล้วครับ ดีใจที่มีโรงเรียนในฝันแบบนี้ อยากให้มีมากๆ ทุกพื้นที่ และ มีการสอนทุกระดับชั้นเลยครับ


:b20: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49:

เจ้าของ:  มัทนา ณ หิมะวัน [ 03 ก.พ. 2010, 02:51 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

อีกซัก รร. นึงนะ
ตาม concept รร.วิถีพุทธ...เหมือนกันค่า smiley

:b43: :b43: :b43:

รร.ทอสี :b4:
http://www.thawsischool.com

เจ้าของ:  คิดตรงๆ [ 03 ก.พ. 2010, 13:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

:b20: ชอบโรงเรียนทอสี มาก
:b20: :b20: :b20: :b20: :b20: :b20:

เจ้าของ:  คิดตรงๆ [ 03 ก.พ. 2010, 13:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การศึกษาไทยกับพุทธศาสนาจะไปด้วยกันได้อย่างไรดี

:b6: :b26:

แต่ก็ยังห่วง โรงเรียนของเณร ในบ้านเราอยู่ ใครมี เรื่องราวดีๆ ที่ควรสนับสนุน ของโรงเรียนสำหรับเณรบ้างครับ แบ่งปันข้อมูลกันหน่อยนะครับ เผื่อได้ ช่วยกันอุปถัมถ์ โรงเรียนของเณรในบ้านเราให้พัฒนาได้ดีมากยิ่งๆขึ้น ทัดเทียมกับโรงเรียนทางโลกเขาด้วยครับ

smiley

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/