วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 08:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


อีกประการหนึ่งนะครับ พระธรรมนี้ ลึกซึ้งโดยอรรถ โดยโวหาร

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะฟังพระสูตรใดก็ตาม ต้องถึงโวหาร และ อรรถของโวหารนั้นด้วย

ว่า...นี่เป็นโวหาร หรือนี่เป็น "ธรรม" ที่บ่งบอกถึงอะไร.!

อย่างเช่น พูดถึงคำว่า "มิตร" คำเดียว........


ขณะที่พูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด.......ไม่อยากให้ผ่านไป เหมือนกับว่า...เข้าใจแล้ว

แต่ ควรที่จะค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ เข้าใจ จนกระทั่งเป็น ความเข้าใจที่มั่นคง ว่า

"มิตร" หมายถึง "สภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา" แต่เป็น "กุศลจิต"

......ถูกต้องไหม.?

"ศัตรู" ก็ไม่ใช่ "บุคคลใดบุคคลหนึ่ง"

แต่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็น "อกุศลจิต"


แล้วมิตรจริง ๆ...อยู่ที่ไหน.?

ศัตรูจริง ๆ.........อยู่ที่ไหน.?

ศัตรูภายนอก.....มีได้ไหม.?


ถ้าบุคคลนั้นเอง ไม่มีจิตที่เป็นศัตรู (อกุศลจิต) กับบุคคลอื่นเลย

คือ ไม่มีอกุศลใด ๆ ที่บุคคลอื่นจะทำให้เกิดความเดือดร้อน หรือ เกิดความหวั่นไหวได้

ไม่ว่า ศัตรูภายนอก...พยามยามที่จะเบียดเบียน ทำร้ายทุกอย่าง

ถ้าขณะนั้น จิตเป็นกุศล...ขณะนั้น ไม่มีศัตรู

เพราะว่า ไม่มีศัตรูภายใน...ในขณะนั้นเลย.!


แม้ว่าจะมี "ศัตรูภายนอก" มากสักเท่าไรก็ตาม

ก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายต่อ "ผู้ที่กำลังมีกุศลจิต" ได้เลย.!
คงจะไม่ลืมว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วแค่ไหนสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่

ปรากฏเหมือนไม่ดับ แสดงว่าการเกิดสืบต่อนี้ ปกปิดการเกิดและดับไป ของขณะ

ก่อน ๆ จนทำให้หลงจริง ๆ ไม่รู้เลย อยู่ในโลกของชื่อ อยู่ในโลกของความคิด อยู่ใน

โลกของลาภ ยศ สรรเสริญสุข แต่ตามความเป็นจริงแล้ว อะไรแน่ที่มีจริง ๆ เพียงสิ่ง

ที่ถ้าจะเข้าใจถูกต้องคือเมื่อฟังแล้ว สติสัมปชัญญะกำลังรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม

ที่ปรากฏเท่านั้น อย่างอื่นไม่มีความหมายเลย หมดแล้วไม่เหลือเลย แต่ก็มีลักษณะ

ที่ปัญญาสามารถที่จะอบรม จนกระทั่งเข้าใจถูก เห็นถูกว่า แม้กระนั้นก็เป็นธรรมะซึ่ง

เกิดและดับไป

เพราะฉะนั้น คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งในสิ่งที่มี และไม่รู้จน

กว่าจะเข้าถึงความหมายของอนัตตา ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร เป็นสภาพธรรมจริง ๆ

มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป
สภาพธัมมะเกิดดับเร็วจนเห็นว่าไม่เกิดดับ มีสัตว์ บุคคลจริง ๆ ไม่ต่างจากหลอดไฟ

ที่กระพริบเร็วจนเห็นว่าไม่กระพริบ ไม่ต่างจากก้านธูปมีไฟติด เมื่อหมุนเร็ว ย่อมเห็นเป็น

วงกลม ทั้ง ๆ ที่ ไฟก็มีจุดเดียว ไม่ต่างจากพัดลมที่หมุน เห็นเหมือนเป็นวงกลมทั้งหมด

ทั้ง ๆ ที่มี 3 ใบ แต่สภาพธัมมะที่เกิดดับเร็ว ก็ย่อมทำให้ผู้ไม่มีปัญญา หลงไปว่ามีคน

สัตว์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นสภาพธัมมะแต่ละอย่าง เกิดขึ้นและดับไป จะรู้ได้ด้วยปัญญา

ครับ

สภาพธรรมเกิดดับเร็วยิ่งกว่ากระพริบตาหลับตาอีก พระพุทธเจ้าในอดีตตอนที่เป็น

พญานก ท่านบินได้รวดเร็วมาก ท่านก็เคยทดลองความเร็วของท่าน โดยบินแข่ง

กับพระอาทิตย์ แต่ท่านแสดงธรรมให้พระราชาฟังว่า ความที่ท่านบินเร็วนี้ นามธรรม

รูปธรรม และสังขารวัยทุกขณะ ย่อมเสื่อมเร็วกว่านี้อีก
"จิต" เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการ "รู้แจ้ง ลักษณะต่าง ๆ"

ของ "อารมณ์" ที่กำลังปรากฏ

ตามปกติ ตามความเป็นจริง.


"จิต".....ไม่จำ.!

"จิต".....ไม่รู้สึกสุข ทุกข์ อะไรทั้งสิ้น.!


เมื่อ "จิต" เกิดขึ้น

"จิต" ก็ ทำกิจ เป็นใหญ่ เป็นประธาน

ในการรู้แจ้ง "ลักษณะของอารมณ์"


ส่วน

"เวทนาเจตสิก"

ก็ เกิดขึ้น พร้อมกัน

แล้วก็ ทำกิจ "รู้สึก" เป็นสุข หรือ เป็นทุกข์ หรือ เฉย ๆ

ใน "อารมณ์เดียวกับที่จิตรู้แจ้ง"

คือ รู้ "อารมณ์" ที่กำลังปรากฏ ในขณะนั้น

พร้อมกับ "การรู้แจ้งของจิต"


นี่คือ "นามธรรม" ที่เกิดร่วมกัน

เกิด พร้อมกัน.............ที่เดียวกัน

ดับ พร้อมกัน.............ที่เดียวกัน

และ...........รู้ "อารมณ์" เดียวกัน

แต่ มี "ลักษณะ" ต่างกัน มี "กิจหน้าที่" ต่างกัน


"นามธรรม" นี้ คือ "จิต" และ "เจตสิก"


เพราะฉะนั้น

เจตสิก ๕๒ ประเภท จึงมีหน้าที่ ต่างกัน เฉพาะของตน ๆ

โดย ไม่เกี่ยวข้องกันเลย.!


"จิต" และ "เจตสิก"

แม้จะ เกิด ร่วมกัน พร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน และ ดับ พร้อมกัน

แต่ "จิต" เป็น "สภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์"

ส่วน "เจตสิก" ประเภทใดก็ตาม

ที่เกิดร่วมกับ "จิต" นั้น ๆ มีกิจต่างกับ "จิต"

หมายความว่า

"เจตสิก" รู้ "อารมณ์เดียวกับจิต"

แต่ "เจตสิก" มี "กิจหน้าที่" ตาม "ประเภทของเจตสิก" นั้น ๆ


เช่น ถ้ามี "โลภเจตสิก" เกิดร่วมด้วยกับ "จิต" นั้น ๆ

"จิต" รู้ อารมณ์ อะไร...."โลภะเจตสิก" ก็ต้อง รู้ อารมณ์ นั้น

แต่ "โลภเจตสิก" ติดข้อง ใน อารมณ์ ที่ "จิตรู้แจ้ง"

"โทสเจตสิก" ไม่ชอบ ใน อารมณ์ ที่ "จิตรู้แจ้ง"

"เวทนาเจตสิก" รู้สึกทุกข์ สุข หรือ เฉย ๆใน อารมณ์ ที่ "จิตรู้แจ้ง"

"สัญญาเจตสิก" จำ ใน อารมณ์ ที่ "จิตรู้แจ้ง"


หมายความว่า "เจตสิก" เกิดกับ "จิตที่กำลังรู้แจ้งอารมณ์"

แล้ว "เจตสิก" ก็ทำหน้าที่ของ "เจตสิก"


เพราะฉะนั้น ไม่มี "ตัวของใคร" สักคน.!

เพราะว่า ต่างก็ เป็น เพียง "สภาพธรรมต่าง ๆ"

ที่ เกิด พร้อมกัน และ ดับ พร้อมกัน.

หาใครสักคน.....ก็ไม่มี.!

ในเมื่อ......"เวทนาเจตสิก" รู้สึก แล้ว ก็ ดับ.!

"สัญญาเจตสิก" จำ แล้ว ก็ ดับ.!

"ผัสสะเจตสิก" กระทบแล้ว ก็ ดับ.!

"จิต" รู้แจ้ง แล้ว ก็ ดับ.................!


"จิต" และ "เจตสิก" เกิด แล้ว ก็ ดับ พร้อมกัน.!

เกิด ที่เดียวกัน....ดับ ที่เดียวกัน

และ รู้ อารมณ์ เดียวกัน.!


เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
กำหนดอิริยาบทย่อย ตื่นแต่เช้าสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
เจริญอนุสติหลายอย่าง สักการะพระธาตุ ถวายข้าวพระพุทธรูป
ทำความสะอาดที่สาธารณะ และเมื่อวันก่อนนั้นได้รักษา
ผู้ป่วยฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และเมื่อวานนี้ได้ศึกษา
อาการของโรคและวิธีการรักษาผู้ป่วยเพื่อที่จะนำไปรักษา
ผู้อื่นต่อไป และได้บริจาคเงินเป็นการศึกษาให้แก่เด็ก
และได้อนุโมทนากับผู้ใส่บาตตอนเช้าตามถนนหนทาง
วันนี้จะขอแนะนำคือถวายสังฆทานที่คุณแม่แนะนำมา
เมื่อใส่บาตรตอนเช้าให้น้อมเป็นการถวายสังฆทาน
ก็เป็นสังฆทานได้เหมือนกัน หรืออาจจะท่องบทถวายสังฆทานก็ได้
ไม่จำเป็นที่จะต้องทำกับเป็นถัง ผมก็ขอบคุณคุณแม่ที่แนะนำ
เพราะว่าเมื่อครั้นสมัยก่อนก็ไม่มีถังสังฆทาน ก็ใช้วิธีถวายสังฆทาน
โดยเป็นสังฆทานภัตตาหาร และก็รู้มาว่าเราสามารถให้อภัยทานได้ทุกวัน
โดยก็ลองทำดูก็ดีคือ กล่าวว่าข้าพเจ้าขออโหสิกรรมกรรมใดที่ทำแก่
ผู้ใดในชาติใดๆก็ตาม....บทนี้อยู่ในบทสวดมนต์หลวงพ่อจรัญ
ซึ่งเป็นการให้อภัยทานไปในตัวผมจะลองสวดคำอโหสิกรรม
ทุกเช้าเย็นเพื่อเป็นการให้อภัยทานทุกวัน การให้อภัยทานนั้น
มากกว่าการให้ทานทั้งปวง คำกล่าวในการสร้างบารมีของ
สมเด็จพระสังฆราช บอกว่าการให้ทานที่สูงกว่าทานทุกชนิด
คืออภัยทานนี้เอง ซึ่งผมก็ได้ให้อภัยทานแล้ววันนี้ตอนเช้าเลย
และจะให้อภัยทานทุกวันเลย หรือท่านใดอยากนำไปปฏิบัติก็ได้
และผมเมื่อตอนใส่บาตรจะพูดคำถวายสังฆทานทุกครั้งที่ได้ใส่ดีกว่า
ขอให้ทุกท่านนำแนวทางที่กล่าวมานี้นำไปปฏิบัติดูถือเป็นการให้ทานที่สูงที่สุด
และวันนี้ตั้งใจว่าจะสวดมนต์ นั้งสมาธิเดินจงกรม กำหนดอิริยาบทย่อย
ฟังธรรม ศึกษาธรรม ศึกษาตำราการรักษาโรค เมื่อวานนี้ได้มีรถบรรทุกได้บิดคันเร่ง
แล้วเสียงดัง มีควันเยอะด้วยและทำให้บ้านมีกลิ่นเหม็นก็ให้อภัยไม่โกรธ และ
ก็กำหนดว่ากลิ่นหนอ ยินหนอ และไม่สนใจในกลิ่นนั้นและเสียงนั้น
ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย





ขอเชิญสักการะหลวงพ่อทองวัดเขาตะเครา เป็นพระพุทธรูปแบบนั่ง พระพุทธลักษณะปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ หล่อด้วยสำริด ศิลปะเชียงแสน มีขนาดหน้าตักกว้าง ๒๑ นิ้ว และสูง ๒๙ นิ้ว ปิดทองคำเปลวอร่ามทั้งองค์
สำหรับบนยอดเขาตะเครา ยังมีพระรูปองค์จำลองหลวงพ่อทอง เรียกว่าหลวงพ่อหมอ ที่มีผู้คนไปบนบานในเรื่องต่างๆ ด้วยเช่นกัน, มีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานให้กราบไหว้บูชาด้วย


ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรผลนิพพานเทอญ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 127 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร