วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 15:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 11:33
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool คือผมมีความตั้งใจอยากจะสร้างพระพุทธรูปถวายวัดที่ขาดแคลน
เพื่อประดิษฐานไว่ในพระอุโบสถ พระวิหาร หรือศาลาการเปรียญอ่ะครับ...เลยขอรบกวน
สอบถามผู้รู้ ดังนี้ครับ

- คือผมอยากสร้างพระประธาน ที่พระพักตร์เป็นรูปหน้าพระพุทธเจ้าเลยอ่ะครับ เพราะผมเห็นรูปอยู่รูปนึง เป็นรูปวาด (คือวาดเป็นภาพเหมือนเลยอ่ะครับ) พระพุทธเจ้าของจิตรกรชาวพม่า ที่วาดไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล สวยมากๆๆๆๆ เห็นแล้วผมรู้สึกศรัทธาอยากสร้างมากๆเลยครับ,,,เลยขอถามว่า หากจะสร้างไว้เป็นพระประธาน เป็นปางสมาธิ (ผมเกิดวันพฤหัสบดี) แต่พระพักตร์เป็นรูปเหมือนพระพุทธเจ้าเลย (ออกแนวผู้ชายอินเดีย ห่มจีวรแบบคลุมไหล่ทั้ง 2 ข้าง) แบบนี้จะเหมาะสมมั้ยครับ???

- องค์พระสูง 199 ซม. ปางสมาธิ ขนาดนี้ เหมาะกับการเป็นประธานได้มั้ยครับ???

- ผมเคยอ่านจากเว็บๆ นึงมาครับ เหมือนเป็นการสัมภาษณ์พระผู้ใหญ่ เกี่ยวกับการทำพิธีเบิกพระเนตร,,,รบกวนถามผู้รู้ครับว่า มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนครับ เกี่ยวกับการทำพิธีเบิกพระเนตร เพราะเว็บที่ผมไปอ่านมา พระท่านบอกว่าไม่ต้องทำ แต่ตอนยายผมสร้างพระถวายวัด (ปางรำพึง) ท่านทำพิธีเบิกพระเนตรอ่ะครับ เลยไม่แน่ใจว่าต้องทำหรือไม่ หรือให้ช่างเขาทำมาให้เลยตอนสร้าง???

- รบกวนสอบถามถึงข้อดีและข้อเสีย ของพระพุทธรูปที่ทำจากปูนปั้น และทำจากโลหะครับ???

รบกวนผู้รู้ทุกท่านด้วยครับ ขอบคุณครับ ^_^

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใครสำคัญตนเป็นผู้ตอบให้หน่อย เขาถามผู้รู้
น่าจะเลิกใช้ได้แล้วนะว่าผู้รู้ นี้ มันชี้นำเป็นการหลงตัวตน สำคัญ ในสิ่งที่รู้เข้าใจ มีส่วนเสียกับความรู้นั้น มีโอกาสที่จะมีมานะโดยไม่รู้ตัวตาม สำคัญตนว่าเป็นผู้รู้ เห็นคนอื่นไม่รู้ ประมาณนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 11:33
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่าคนแบบคุณไม่น่าจะเข้าเว็บไซต์ธรรมะแบบนี้เลยนะครับ
ถ้าสภาพจิตใจคุณยังเป็นแบบนี้ พูดแบบนี้ คิดแบบนี้
ตีความเจตนาคนอื่นไปในทางเสียหาย...

ง่ายๆ ถ้าคุณรู้คุณก็ตอบ ไม่รู้แต่แค่เข้ามาดู ก็ไม่มีใครเขาไปว่า
ความหมาย ผู้รู้ ของผมคือให้เกียรติกับผู้ที่เข้ามาตอบ
ไม่ว่าเขาจะรู้จริง หรือไม่รู้จริงก็ตาม แค่นี้ผมก็รู้สึกขอบคุณมากๆแล้ว

อย่าเอาความคิดและสภาพจิตใจแบบคุณมาตัดสินคนอื่นอีกนะครับ
...มันบาป!?!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 03:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่ใช่ผู้รู้ คนแรกนะครับ แค่รู้ตามพระพุทธเจ้านิดหน่อยครับ
อยากจะสร้างพระพุทธรูป ผมว่า ลองศึกษาพระไตรปิฎกสักนิดก่อนดีไหมครับ จะได้รู้ว่า จะสร้างหรือไม่สร้าง
ขอแนะนำเล็กน้อยนะครับ(จากพระไตรปิฎก ชุด 91 เล่ม ของมหามกุฎราชวิทยาลัย พิมพ์เมื่อ 2525)
เรื่องรูป...ในพระไตรปิฎก เล่ม / หน้า / บรรทัด
1. โทษของผู้ยึดติดรูป (อาทิตตปริยายสูตร) 28 / 357
2. รูปเหมือนพระพุทธเจ้า...ไม่มี (มหาปทานสูตร) 13 / 121 / 13
3. รูปเหมือนพระพุทธเจ้า...ไม่มี (พรหมชาลสูตร) 11 / 66
4. รูปเหมือนพระพุทธเจ้า...ไม่มี (เอกปุคคลวรรค) 32 / 214 / 6
5. ผู้ยึดติดในรูป...อันตราย (มหาราหุโลวาทสูตร) 20 / 288 / 6
6. รูปทั้งหมดเป็นเหยื่อที่มารดักไว้ (นานาติตถิยสูตร) 24 / 401 / 8
7. แม้รูปร่างของพระพุทธเจ้าก็ต่ำทราม (ปชาบดีโคตมี) 54 / 261 / 4
8. รูปทั้งหมดแม้เพียงกล่าวชมเชยก็...ผิด (โลกกามคุณ) 28 / 192

ไม่ได้บังคับให้เชื่อหรือทำตามนะครับเพียงแค่นำ ข้อความในพระไตรปิฎกหรือ พุทธพจน์มากล่าวอ้างเพื่อให้เราชาวพุทธได้รู้และศึกษาครับ

ทีนี้ในความเห็นส่วนตัวนะครับ
พิธีเบิกเนตรนี่ ไม่น่าทำำนะครับ เพราะพระพุทธเจ้า ท่านเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว(แค่ความเห็นส่วนตัวนะครับ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหอๆ ต้องขอโทษ ขออภัย อโหสิ ต่อเจ้าของกระทู้ด้วย ไม่ได้มีเจตนาจะมากวนน้ำให้ขุ่นเลย หรือซักใบให้เรือเสียหรอ ที่มาตอบกระทู้เมื่อให้เข้าใจในสิ่งที่การก่อเกิด หลงตน หลงตัว ความสว่างใจ ในเรื่องมานะ สื่อบางคำใช้ไปไปไม่โทษ สื่อบ้างคำใช้ไปก่อเกิด การหลงสำคัญ ยึด สำคัญตนพอใจในสมมุตินี้แบบไม่รู้ตัว ผู้รู้ เราใช้คำอื่นก็ได้ ใครทราบบ้าง ใครรู้บ้าง ประมาณนี้ คนตอบเขาจะตอบได้หลากหลายเป็นการเปิดโอกาสสำหรับคนที่พอรู้เข้าใจบ้างก็สามารถตอบคำถามได้ ไม่ฟิคบุคคลหนึ่งบุคคลใด และไม่ชี้นำในเรื่องก่อเกิดมานะทิฐิด้วย


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 30 ธ.ค. 2009, 20:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คือผมมีความตั้งใจอยากจะสร้างพระพุทธรูปถวายวัดที่ขาดแคลน
เพื่อประดิษฐานไว่ในพระอุโบสถ พระวิหาร หรือศาลาการเปรียญอ่ะครับ..


ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาครับ

อ้างคำพูด:
- คือผมอยากสร้างพระประธาน ที่พระพักตร์เป็นรูปหน้าพระพุทธเจ้าเลยอ่ะครับ เพราะผมเห็นรูปอยู่รูปนึง เป็นรูปวาด (คือวาดเป็นภาพเหมือนเลยอ่ะครับ) พระพุทธเจ้าของจิตรกรชาวพม่า ที่วาดไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล สวยมากๆๆๆๆ เห็นแล้วผมรู้สึกศรัทธาอยากสร้างมากๆเลยครับ,,,เลยขอถามว่า หากจะสร้างไว้เป็นพระประธาน เป็นปางสมาธิ (ผมเกิดวันพฤหัสบดี) แต่พระพักตร์เป็นรูปเหมือนพระพุทธเจ้าเลย (ออกแนวผู้ชายอินเดีย ห่มจีวรแบบคลุมไหล่ทั้ง 2 ข้าง) แบบนี้จะเหมาะสมมั้ยครับ???


ข้อนี้ขอแนะว่าคุณควรปรึกษากับทางวัดที่ตั้งใจจะถวาย ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ เพราะพระพุทธรูปที่แปลกไปจากปกติอาจไม่เป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส อย่าลืมว่าพระพุทธรูปเป็นอารมณ์ศรัทธาแห่งชนชาวพุทธ ดังนั้นกุศลที่ประกอบศรัทธาก็ย่อมเกิดแก่คนหมู่มาก แต่หากเจตนาของคุณต้องการถวายพระพุทธรูปเพราะความชอบใจส่วนตัว แต่ถวายแล้ว หมู่ชนไม่เกิดศรัทธา ผลบุญย่อมด้อยไปตามส่วน..

และคงต้องปรึกษาคนทำพระพุทธรูปว่าจะทำได้หรือไม่นะครับ

อ้างคำพูด:
- องค์พระสูง 199 ซม. ปางสมาธิ ขนาดนี้ เหมาะกับการเป็นประธานได้มั้ยครับ???


ข้อนี้ไม่มีความรู้เรื่องข้อกำหนดขนาดองค์พระ แนะให้ปรึกษาทางวัดดีที่สุดครับ

อ้างคำพูด:
- ผมเคยอ่านจากเว็บๆ นึงมาครับ เหมือนเป็นการสัมภาษณ์พระผู้ใหญ่ เกี่ยวกับการทำพิธีเบิกพระเนตร,,,รบกวนถามผู้รู้ครับว่า มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนครับ เกี่ยวกับการทำพิธีเบิกพระเนตร เพราะเว็บที่ผมไปอ่านมา พระท่านบอกว่าไม่ต้องทำ แต่ตอนยายผมสร้างพระถวายวัด (ปางรำพึง) ท่านทำพิธีเบิกพระเนตรอ่ะครับ เลยไม่แน่ใจว่าต้องทำหรือไม่ หรือให้ช่างเขาทำมาให้เลยตอนสร้าง???


ไม่จำเป็นเลยครับ พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีปรกติ"เบิกพระเนตร"ทั้งภายในและภายนอกด้วยพระองค์เองแล้วครับ..ที่มีพิธีกรรมเช่นนี้ก็เพียงเพื่อสนองความต้องการในทางขลังครับ แต่ความขลังจริงไม่ได้อยู่ที่องค์พระหรอกครับ อยู่ที่ใจเราต่างหาก..อย่าได้เสียเวลาหรือทรัพย์ไปกับเรื่องเช่นนี้เลย

อ้างคำพูด:
รบกวนสอบถามถึงข้อดีและข้อเสีย ของพระพุทธรูปที่ทำจากปูนปั้น และทำจากโลหะครับ???


ข้อนี้ คำตอบที่ดีที่สุดคงต้องมาจากช่างทำ เพราะใกล้ชิดคุ้นเคยสิ่งเหล่านี้ครับ ..

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้บ้างไม่รู้บ้าง ขอตอบหน่อยนะขอรับ

- ที่เห็นพระปูนต้องทำแล้วไม่มีการเคลื่อน หากย้ายเวลาย้ายลำบากทำให้ชำรุดได้ง่าย ข้อดีราคาถูกสามารถสร้างองค์ใหญ่ๆได้ สามารถบรรจุของมีค่าได้ในภายใน
- พระที่หล่อเป็นทองสำริด มีการเคลื่อนได้ ไม่ชำรุดง่าย คงทน ขนาดต้องตามแบบพิมพ์กำหนด จึงไม่ค่อยใหญ่ ข้อเสียราคาแพง บรรจุของมีค่าไม่ได้
เตือนใจด้วยที่ทำ ที่สร้างพระพุทธรูป นี้ ไม่ได้ทำเอา ไม่ได้ทำเอาบุญ มันจะได้ตรงต่อเนื้อขององค์พุทธะ พระโพธิสัตว์ ไปด้วย ท่านมีแต่ทำให้ เสีย สละไม่เอาเป็นแบบอย่าง จัดทำเป็นพุทธบูชา ไหว้ให้พระสงฆ์ มนุษย์ เทพเทวา ได้กราบได้ไหว้ เป็นส่วนหนึ่งศาสนา หากทำเอาจะเข้าทางชูซก ไม่เดินตามรอยท่านซะงั้น
ขออนุโมทนาด้วยขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




chiang_saen_giant_buddha%20%282%29.jpg
chiang_saen_giant_buddha%20%282%29.jpg [ 127.49 KiB | เปิดดู 5830 ครั้ง ]
จขกท. หากอยู่ต่างจังหวัด เข้าไปถามหรือปรึกษาเจ้าอาวาสวัดใกล้ๆดูสิครับ

สมมุติว่าวัดที่เราถาม มีครบแล้ว พระอาจแนะนำว่าที่วัดโน้นวัดนั้นยังขาด เพราะว่าพระท่านติดต่อทำงาน

ด้วยกันในอำเภอนั้นจังหวัดนั้นๆ

คุณมีเจตนาทำเพื่อให้ผู้ศรัทธาได้พุทธานุสติก็ทำครับ มารบ่มีบารมีบ่กล้า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 30 ธ.ค. 2009, 21:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธปฏิมาข้างบนสวยไหมขอรับ สีทองอร่ามตา :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 15:33
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณมีเจตนาทำเพื่อให้ผู้ศรัทธาได้พุทธานุสติก็ทำครับ มารบ่มีบารมีบ่กล้า


ตั้งใจเจตนาดี แต่พระพุทธเจ้าตำหนิเรื่องรูปไว้มากมาย หลายพระสูตร ไม่รู้ว่า เจตนาดี มันจะเป็นสิ่งที่ผิดปนเปื้อน เป็นขยะในพระศาสนาหรือเปล่าไม่รู้ซิ...ขอยกพระสูตรมาให้อ่านโดยไม่ได้ใช้วินิจฉัยตีความตามความคิดของตัวเอง หรือครูบาฯอาจารย์ รุ่นหลัง ๆ ต่อ ๆ มา ..ตอบแต่จะใช้ หลักฐานในหนังสือพระไตรปิฎกมาอ้างอิง เท่านั้น เพราะนี่คือหลักฐานที่ใช้อ้างอิงในการเรียนพุทธศาสนาได้ถูกต้อง ตามหลักพระธรรมวินัย โดยไม่ต้องไปเชื่อใคร ..

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 214

บทว่า อสหาโย ความว่า ชื่อว่าไม่มีสหาย เพราะท่านไม่มี
สหายผู้เช่นกับด้วยอัตภาพ หรือด้วยธรรมที่ทรงแทงตลอดแล้ว.
ก็พระเสขะและพระอเสขะ ชื่อว่า เป็นสหายขอพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
โดยปริยายนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงได้เสกขปฎิปทา และ
อเสกขปฏิปทาเป็นสหายแล.

บทว่า อปฺปฎิโม (ไม่มีผู้เปรียบ) ความว่า อัตภาพเรียกว่า
รูปเปรียบ. ชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบ เพราะรูปเปรียบอื่นเช่นกับอัตภาพ
ของท่านไม่มี. อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายกระทำรูปเปรียบใด
ล้วนแล้วด้วยทองและเงินเป็นต้น ในบรรดารูปเปรียบเหล่านั้น ชื่อว่า
ผู้สามารถกระทำโอกาสแม้สักเท่าปลายขนทรายให้เหมือนอัตภาพของ
พระตถาคต ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบแม้โดย
ประการทั้งปวง. บทว่า อปฺปฎิสโม (ไม่มีผู้เทียบ) ความว่า ชื่อว่า
ไม่มีผู้เทียบ เพราะใคร ๆ ชื่อว่าผู้จะเทียบกับอัตภาพของพระตถาคต
นั้นไม่มี.

บทว่า อปฺปฏิภาโค (ไม่มีผู้เทียม) ความว่า ชื่อว่าไม่มีผู้เทียม
เพราะธรรมเหล่าใดอันพระตถาคตทรงแสดงไว้โดยนัยมีอาทิว่า
สติปัฏฐานมี ๔ ขึ้นชื่อว่าผู้สามารถเพื่อจะทำเทียมในธรรมเหล่านั้น
โดยนัยมีอาทิว่า น จตฺตาโร สติปฏฺานา ตโย วา ปญฺจ วา (สติปัฏฐาน
ไม่ใช่ ๔ สติปัฏฐานมี ๓ หรือ ๕.) บทว่า อปฺปฏิปุคฺคโล (ไม่มีบุคคล
ผู้แข็ง) ความว่า ชื่อว่าไม่มีบุคคลผู้แข่ง เพราะไม่มีบุคคลอื่นไร ๆ
ชื่อว่าสามารถเพื่อให้ปฏิญญาอย่างนี้ว่า เราเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้.

และ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 401

[๓๑๙] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเข้าสิงเวฏัมพรีเทพบุตรแล้วได้กล่าว
คาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
สัตว์เหล่าใด ขวนขวาย ในความเกลียด
บาปด้วยตบะ รักษาความสงบสงัดอยู่ ติด
อยู่ในรูป ปรารถนาเทวโลก สัตว์เหล่านั้น
ย่อมสั่งสอนชอบ เพื่อปรโลกโดยแท้.
[๓๒๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า นี้เป็นมารตัว
ร้ายกาจ จึงได้ตรัสคาถาตอบมารผู้มีบาปว่า
รูปใด ๆ จะอยู่ในโลกนี้หรือโลกอื่น
และจะอยู่ในอากาศ มีรัศมีรุ่งเรืองก็ตามที่
รูปทั้งหมดเหล่านั้น อันมารสรรเสริญแล้ว
วางดักสัตว์ไว้แล้ว เหมือนเขาใส่เหยื่อล่อ
เพื่อฆ่าปลา ฉะนั้น.
[๓๒๑] ลำดับนั้น มาณวคามิยเทพบุตร ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ใน
สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ปรารภถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ภูเขาเวปุละ เขากล่าวกันว่า สูงเป็น
เยี่ยมกว่าภูเขาที่ตั้งอยู่ในกรุงราชคฤห์
เสตบรรพตเป็นเลิศกว่าภูเขาที่ตั้งอยู่ในป่า
หิมวันต์ ดวงอาทิตย์เป็นเลิศกว่าสิ่งที่ไป
ในอากาศ มหาสมุทรเป็นเลิศกว่าห้วงน้ำ
ทั้งหลาย ดวงจันทร์เป็นเลิศกว่าดวงดาว
ทั้งหลาย พระพุทธเจ้ากล่าวกันว่าเป็นเลิศ
กว่าประชุมในทั้งโลก พร้อมทั้งเทวโลก.
จบนานาติตถิยสูตร
จบ นานาติตถิยวรรค ที่ ๓

เมื่อก่อนเรียนพุทธศาสนา โดยศึกษาตามตำราของครูบาฯอาจารย์เท่านั้น แต่ต่อมาได้ศึกษาหนังสือพระไตรปิฎก แล้ว ก็หัวข้อธรรมต่าง ๆ ที่ครูบาฯอาจารย์ รุ่นหลัง เดี๋ยวนี้ นำมาจากหนังสือพระไตรปิฎกทั้งสิ้น อ่านศึกษาแล้วไม่ค่อยเข้าใจ เลยตัดสินใจ ไป ซื้อหนังสือพระไตรปิฎก ฉบับ มมร. ชุด 91 เล่ม (ภาษาไทย) มาไว้อ่านศึกษาที่บ้าน เลย เดี่ยวนี้ก็ไม่ได้มีข้อธรรมใด ๆ จะต้องถามอะไรอีก สงสัยอะไรก็ค้นหาพระสูตรต่าง ๆ อ่านให้เข้าใจ แต่ถ้าพระสูตรไหนไม่เข้าใจจริง ๆ ก็หยุดไว้ก่อน แล้วค่อยกลับมาอ่านใหม่จนเข้าใจ จะไม่ด้นเดา เกาหมัด เกาแมวเรียนพุทธศาสตร์เหมือนเมื่อก่อน รู้สึกเข้าใจดี แต่สำหรับการปฏิบัติ นะเหรอ ตราบใดที่ไม่รู้ชัดจากการศึกษาตามขั้นตอนที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ จะไม่ริอ่าน กระโดดข้ามในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้เด็ดขาด...เพราะเซ่อมามากแล้วกับคำกล่าวของท่านที่เรียกตัวเองว่า"ผู้รู้" เพราะมีพระพุทธเจ้าพระองค์เท่านั้นที่รู้ได้เอง รู้ได้หมดจด..นอกนั้น รู้ตามทั้งสิ้น และหนังสือพระไตรปิฎก ก็เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ เพราะบรรจุความรู้ของพระพุทธเจ้าไว้ คือพระธรรมวินัย
84,000 พระธรรมขันธ์ ให้ท่านที่อยากสร้างขยะพระศาสนาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ดูและรู้ว่า นี่คือตัวพระพุทธเจ้า ที่เป็นรูปปั้น โดยที่นำธรรม แค่เล็กน้อยออกมาสอน พระศาสนาก็จะเป็นสภาพอย่างที่เห็น ๆ กันนี่แหละนะ คือ ไปถามชาวพุทธว่า พระพุทธเจ้าเป็นใคร จะได้คำตอบว่า

พระพุทธรูปคือพระพุทธเจ้า
พระธรรมคือ ตู้ที่ใส่อะไรไม่รู้วางไว้หน้าพระตอนสวดศพ
พระสงฆ์คือ พระที่ห่อด้วยผ้าเหลือง หัวโล้น ๆ ทั่วไป

สวัสดีจ้า..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




chiang_saen_giant_buddha%20%282%29.jpg
chiang_saen_giant_buddha%20%282%29.jpg [ 127.49 KiB | เปิดดู 5804 ครั้ง ]
จะยกอะไรมาก็ยกมาเถอะขอรับ เยอะแยะไป แล้วแต่ระดับสติปัญญาของคนที่คิดได้นะ

สติปัญญาคนไม่เท่ากัน ....

แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง จะแสดงธรรมอะไรข้อไหน ให้ใครฟัง ยังต้องตรวจดูอุปนิสัยของผู้ฟังก่อนเลย ว่า

อินทรีย์ของผู้ฟังระดับไหน พร้อมจะฟังหรือยัง

จะเล่าอะไรให้ฟัง

ในสายตาชาวพุทธบ้านเรากลุ่มหนึง่ คิดว่าเหลวไหลไร้สาระ


ฟังดู... ครั้งหนึ่งหลานสาวของอนาถบิณฑิกเศรษฐี (หากจำชื่อไม่ผิด) เล่นตุ๊กตาแป้ง แล้วทำหล่นมือตก

แตก หลานสาวร้องไห้ :b2: เป็นวรรคเป็นเวร ว่าตุ๊กตาตายแล้วๆๆๆๆ

ท่านเศรษฐี จึงปลอบหลานว่า นิ่งสะนะลูกๆ พรุ่งนี้ตาจะไปนิมนต์พระพุทธเจ้าเพื่อทำบุญอุทิศให้ตุ๊กตา

รุ่งขึ้นท่านเศรษฐี เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง แล้วทูลนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหารทำบุญ

อุทิศให้ตุ๊กตา

พระพุทธองค์เสด็จไปบ้านเศรษฐีด้วยพระองค์เอง

แปลว่าอะไร ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 31 ธ.ค. 2009, 13:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่ง ว่าถึงกับตบหัวพุทธปฏิมาแล้วประกาศต่อหน้าญาติโยมว่า อย่าไหว้

มัน ฯลฯ เป็นแค่ทองเหลือง หิน ปูน ทราย

แล้วก็สอนทำนองประมาณว่า ไม่ให้ยึดถืออะไรเทือกนี้แหละ

ถามหน่อยแล้วที่ทำนั่นน่ะเพราะยึดถือว่า สิ่งนั้น...เป็นอะไร เป็นเขา เป็นเรา หรือไม่

มองเห็นทองเหลือง อิฐ หิน ปูน ทราย เป็นพระพุทธเจ้าไปแล้วใช่ไหม เห็น ฯลฯ เป็นเขา เป็นเราไปแล้ว

ใช่หรือไม่ ถึงได้ทำอย่างนั้น กับสิ่งนั้น อารมณ์นั้น

ผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือผู้ที่ปล่อยวางได้แล้ว จะไม่ทำอย่าง่นั้น 555 เพราะท่านรู้นั่นเป็นเพียงรูปารมณ์

ไม่ใช่อะไรอย่างที่ตนคิดดให้เป็น :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 31 ธ.ค. 2009, 13:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




18_1222133510.gif
18_1222133510.gif [ 13.24 KiB | เปิดดู 5793 ครั้ง ]
แถมอีกหน่อย พูดแล้วมันเคี่ยว นั่นแหละ คือ ลักษณะของคนที่ยึดมั่นถือมันอย่างสุดๆ 555

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 18:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 15:33
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ฟังดู... ครั้งหนึ่งหลานสาวของอนาถบิณฑิกเศรษฐี (หากจำชื่อไม่ผิด) เล่นตุ๊กตาแป้ง แล้วทำหล่นมือตก

แตก หลานสาวร้องไห้ เป็นวรรคเป็นเวร ว่าตุ๊กตาตายแล้วๆๆๆๆ

ท่านเศรษฐี จึงปลอบหลานว่า นิ่งสะนะลูกๆ พรุ่งนี้ตาจะไปนิมนต์พระพุทธเจ้าเพื่อทำบุญอุทิศให้ตุ๊กตา

รุ่งขึ้นท่านเศรษฐี เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง แล้วทูลนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหารทำบุญ

อุทิศให้ตุ๊กตา

พระพุทธองค์เสด็จไปบ้านเศรษฐีด้วยพระองค์เอง

แปลว่าอะไร ?


แปลว่า...พระพุทธองค์ทรงยก ต.ย.พระสูตรนี้มาแค่พระสูตรเดียวเท่านั้น แต่การตำหนิเรื่องรูป เกือบทุกพระสูตร ... คิดเปรียบเทียบเอาเอง(พวกปิดบังคำสอนที่แท้จริง ปากว่าตาขยิบ ขยิบตาเพื่อจะหาหลอกล้วงกระเป๋าชาวบ้านให้ทำบุญแบบผิดพระวินัย)

อ้างคำพูด:
เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่ง ว่าถึงกับตบหัวพุทธปฏิมาแล้วประกาศต่อหน้าญาติโยมว่า อย่าไหว้

มัน ฯลฯ เป็นแค่ทองเหลือง หิน ปูน ทราย

แล้วก็สอนทำนองประมาณว่า ไม่ให้ยึดถืออะไรเทือกนี้แหละ

ถามหน่อยแล้วที่ทำนั่นน่ะเพราะยึดถือว่า สิ่งนั้น...เป็นอะไร เป็นเขา เป็นเรา หรือไม่

มองเห็นทองเหลือง อิฐ หิน ปูน ทราย เป็นพระพุทธเจ้าไปแล้วใช่ไหม เห็น ฯลฯ เป็นเขา เป็นเราไปแล้ว

ใช่หรือไม่ ถึงได้ทำอย่างนั้น กับสิ่งนั้น อารมณ์นั้น

ผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือผู้ที่ปล่อยวางได้แล้ว จะไม่ทำอย่าง่นั้น 555 เพราะท่านรู้นั่นเป็นเพียงรูปารมณ์

ไม่ใช่อะไรอย่างที่ตนคิดดให้เป็น
เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่ง ว่าถึงกับตบหัวพุทธปฏิมาแล้วประกาศต่อหน้าญาติโยมว่า อย่าไหว้

มัน ฯลฯ เป็นแค่ทองเหลือง หิน ปูน ทราย

แล้วก็สอนทำนองประมาณว่า ไม่ให้ยึดถืออะไรเทือกนี้แหละ

ถามหน่อยแล้วที่ทำนั่นน่ะเพราะยึดถือว่า สิ่งนั้น...เป็นอะไร เป็นเขา เป็นเรา หรือไม่

มองเห็นทองเหลือง อิฐ หิน ปูน ทราย เป็นพระพุทธเจ้าไปแล้วใช่ไหม เห็น ฯลฯ เป็นเขา เป็นเราไปแล้ว

ใช่หรือไม่ ถึงได้ทำอย่างนั้น กับสิ่งนั้น อารมณ์นั้น

ผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือผู้ที่ปล่อยวางได้แล้ว จะไม่ทำอย่าง่นั้น 555 เพราะท่านรู้นั่นเป็นเพียงรูปารมณ์

ไม่ใช่อะไรอย่างที่ตนคิดดให้เป็น :b32:


เทคนิคการสอนแบบกระชากใจ คนชาวพุทธ มันจะตื่นและหาเรียนรู้ ศึกษาคำสอนว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรกันแน่ไงหละ ไม่น่า โซ่ ..เลย ท่านอาจารย์กรัชกาย

อ้างคำพูด:
แถมอีกหน่อย พูดแล้วมันเคี่ยว นั่นแหละ คือ ลักษณะของคนที่ยึดมั่นถือมันอย่างสุดๆ 555


เป็นถึงจอมยุทธ พระอาจารย์สอนวิชาพุทธศาสตร์ แต่ทำไม อารมณ์ หวั่นไหว ง่ายจัง ก็ไอ้คำที่เป็นอะไรนะ "สติตั้งมั่น "ข้างล่างนั่นรู้สึกจะเขียนไว้เพื่อโก้หรูเองเหรอ ท่าน.เอาใช้พินิจพิจารณาซิ และก้อ ช่วยไปบอกอาจารย์ของท่านด้วยนะ เจ้าของหนังสือพุทธรรม นะ มาช่วย ปัดกวาดพระศาสนาหน่อย เพราะเคยอ่านหนังสือ "ภัยพระพุทธศาสนา"ท่านเขียนซะสวยหรูและดีมาก (ว่าจะต้องส่งเสริมพระศาสนาด้วยการให้เด็กบวชเณรมากเพื่อเรียนทางโลกและเป็นไงหละ เณรตุดเณรแต๋วเต็มวัด) ท่านบอกว่าพระอรหันต์มาช่วยเหลือพระศาสนาตอนพระศาสนามีความเสื่อมโทรมมาก ๆ และท่านอาจารย์ ดร.คนหนึ่งก็ถามเรื่องการเข้านิโรธของพระอรหันต์ (ไปหาอ่านเอาเองมีอยู่เกลื่อนเมือง) และตอนนี้รู้สึกก็จะมี ผู้ที่มาช่วยเหลือกู้เอา พระพุทธศาสนาที่แท้จริงคืนมาแล้วหละ ท่านอาจารย์กรัชกาย จะไม่ยอมลงมือช่วยเหลือบ้างหรือหรือกลัวรายได้ปั้นรูปพระพุทธเจ้ายอดขายตก เฮอะ ๆ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธรูปที่สร้างสมัยองค์พระผู้มีพระภาคเจ้ายังอยู่
ประวัติหลวงปู่โตโคตมะ

หลวงพ่อภรังสี ได้ค้นพบหลวงปู่โตโคตมะ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีความสำคัญ ซึ่งหลังจากค้นพบแล้ว ก็ได้ ศึกษาค้นคว้าจึงทำให้ได้รู้ว่า หลวงปู่โตโคตมะนี้ภายในได้บรรจุพระพุทธนขาธาตุ ( เล็บมือข้างขวา )ของพระพุทธ เจ้า และเป็นกุญแจสำคัญที่นำพาให้ได้พบพระพุทธโลหิตธาตุสืบต่อไป หลวงปู่โตโคตมะนี้จึงเป็นพระพุทธรูปที่มี ความสำคัญ จึงจะได้รวบรวมเรียบเรียงเรื่องราวของหลวงปู่นำเสนอต่อไป

การค้นพบหลวงปู่โตโคตมะ

มูลเหตุแห่งการค้นพบ หลวงปู่โตโคตมะนี้ ต้องเริ่มต้นกันที่วัดบ้านแสนชะนี ต.พรสวรรค์ อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี ในช่วงปี ๒๕๓๕ หลวงพ่อได้มาสร้างวัดป่าคำบอน ขึ้น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน และได้ยิน คำร่ำลือ เกี่ยวกับวัดบ้านแสนชะนี ว่าเป็นสถานที่มีอาถรรพ์มาก เพราะไม่มีพระรูปใดไปพักจำพรรษาอยู่ได้เลย พระภิกษุ-สามเณรที่จำพรรษาอยู่ก็มรณภาพ จึงเกิดคำร่ำลือไปต่าง ๆ นานาว่าที่แห่งนี้มีผีดุ เมื่อหลวงพ่อ ได้ยินคำล่ำลือดังนี้แล้วก็เกิดความสนใจอยากจะไปพิสูจน์ให้รู้แน่ชัดว่า การที่พระเณรมรณภาพนั้น มีสาเหตุมา จากอะไร ตกตอนกลางคืนจึงได้เดินทางไปที่วัดบ้านแสนชะนีและได้ไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนาอธิษฐานจิตว่า

? ถ้าหากสถานที่นี้เป็นพุทธสถานมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อยู่จริง
ข้าพเจ้าไม่หลบหลู่ แต่ขอให้ ปรากฏเกิดขึ้นให้ข้าพเจ้าได้รู้ได้
ประจักษ์ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา ?

พออธิษฐานเสร็จหลวงพ่อได้เจริญสมาธิภาวนา ไปได้ประมาณ ๑๕ นาที ก็รู้สึกว่าตัวแข็งขึ้นเคลื่อนไหว ไม่ได้ แต่จิตยังปกตินิ่งอยู่รู้ทุกสภาวะอาการที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัด จึงได้กำหนดจิตอธิษฐานว่า

? บุญบารมีของใครหนอ ถึงมีอานุภาพยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ ถ้ามีตัวตนอยู่จริง ขอให้ปรากฏเกิดขึ้น ให้ข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นได้ชมเป็นบุญตา เกิดบุญเกิดกุศล ด้วยเถิด ?

พออธิษฐานเสร็จ ก็เห็นหลวงปู่เดินขึ้นมานั่งอยู่ข้าง ๆ อาการตัวแข็งก็หายไป แล้วหลวงปู่ก็ได้เอามือลูบที่ ศีรษะแตะที่หน้าผาก ๓ ครั้ง แล้วก็พูดว่า

? ลูกเอ๋ย น่าสงสาร ทำไมหนอถึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่บ่อยนัก น่าสงสาร ป่านนี้ถึงได้พบกันได้เห็นกันอีกปู่มานั่งรออยู่ตั้งนานแล้ว ?

จากนั้นก็ใช้เวลาสนทนากันเกือบชั่วโมง หลวงพ่อจึงได้ถอนจิตออกจากสมาธิ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน จึงเดินทางกลับวัดป่าคำบอน เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงพรรษา หลังจากนั้นมาหลวงพ่อ จึงได้หาโอกาสไปเจริญสมาธิ ภาวนาสอบเรื่องราวรายละเอียดต่าง ๆทำการศึกษาค้นคว้าวิจัย จึงทำให้ได้ทราบถึงประวัติความ เป็นมาของ พระพุทธองค์นี้ที่สถิตอยู่ใต้พื้นดินที่วัดบ้านแสนชะนีแห่งนี้

ในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระชนมายุ ๕๗ พรรษา ทรงเสด็จมาที่แผ่นดินสุวรรณภูมิแห่งนี้ โดยเสด็จมา ที่ภูเขาหัวช้างเมืองโคตรภู ( ปัจจุบันนี้คือยอดลำโดมใหญ่ บ้านแข้ด่อน อ.น้ำยืน )พร้อมทั้งพระอรหันตสาวกอัน ประกอบไปด้วย พระมหากัสสปะ พระอานนท์ พระสิวลี พระมหากัจจายนะ และพระมหาเทวจักรเป็นประธานสงฆ์ ในเขตสุวรรณภมิได้มาถวายการต้อนรับ ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงตัดพระนขา ( เล็บ )ทั้ง ๑๐ นิ้ว และได้ พระราชทานพระนขาข้างขวาให้แก่พระมหากัสสปะ ส่วนพระนขาข้างซ้ายเทวดาได้อัญเชิญขึ้นไปเก็บไว้ที่ เทวโลก พระมหากัสสปะได้ทราบพุทธประสงค์แล้ว จึงได้มอบหมายภาระหน้าที่ให้กับพระสิวลี พระมหาเทวจักร ได้ดำเนิน การสร้างพระพุทธรูปเพื่อบรรจุพระพุทธนขา พระสิวลีและพระมหาเทวจักรจึงได้จัดสร้างพระพุทธรูป ซึ่งทำจากทอง คำทั้งองค์ มีขนาดหน้าตัก กว้าง ๒.๙ เมตร เสร็จแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จกลับไป พระมหากัสสปะ ได้สร้างสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์นี้ไว้ที่เมือง โคตรภู เพื่อให้ประชาชนชาวเมืองโคตภูได้กราบไหว้บูชา สักการะ และได้ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า ? โคตมะ ? เนื่องจากเป็นพระพุทธรูป ที่ภายในบรรจุพระ พุทธนขา จึงเป็นเสมือนหนึ่งตัวแทนแห่งพระบรมศาสดา จากนั้นท่านก็ได้ไปแกะสลักรูปนารายณ์บรรทมศิลป์ แล้วจารึกเป็นภาษา ฮินดีว่า ศรีสุริยะ ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินทางกลับประเทศอินเดีย ภายหลังจากพุทธปรินิพพาน ชาวเมืองโคตรภู ได้เกิดทำศึกสงคราม เพื่อแย่งชิงพระพุทธรูป เพราะต่างก็อยาก จะครอบครอง จนทำให้บ้านเมืองเสียหายเพราะภัยสงคราม พระพุทธรูปเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้เสด็จลงสู่แม่น้ำ ลำโดม บริเวณวังมน วังฮี ลอยมาตามกระแสแม่น้ำมา มาหยุดอยู่ที่วัดแสนชะนี และจมอยู่ภายใต้พื้นดิน จนถึงปัจจุบัน โดยไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้ถึงพระพุทธรูปโคตมะองค์นี้อีกเลย

เริ่มสร้างพระพุทธรูปครอบหลวงปู่โตโคตมะ

เมื่อได้ทราบความเป็นมาโดยละเอียดแล้ว หลวงพ่อภรังสีก็ได้ใช้เวลาในการเข้าไปทำความ คุ้นเคยกับ ชาวบ้าน แสนชะนี ซึ่ง ท่านได้ใช้ความอดทน ค่อย ๆ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับลูกศิษย์ใกล้ชิดฟังและได้ขยายวง กว้างไปสู่ฆราวาสญาติโยมทั้งหลายที่มีความศรัทธา นับจากนั้นเป็นต้นมาวัดบ้านแสนชะนีก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีพระภิกษุ สามเณรพักจำพรรษา ตลอดมา


มหาชนร่วมสร้างหลวงพ่อพระโต หล่อหลอมด้วยพลังศรัทธา

เนื่องจากพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวนี้จมอยู่ใต้ดินลึกประมาณ ๒ เมตร และมีขนาดหน้าตักกว้าง ๒.๙ เมตร และเป็นพระพุทธรูปทองคำ การจะนำพระพุทธรูปขึ้นมาจากพื้นดินจึงเป็นเรื่องที่ลำบาก ซึ่งจะทำให้มีปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกมากมายในภายหลัง หลวงพ่อจึงได้ขออนุญาตเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า หลวงปู่โตโคตมะ และได้ขอ อนุญาตที่จะจัดสร้างพระพุทธรูปครอบบริเวณที่หลวงปู่โตโคตมะจมอยู่ใต้ดิน เพื่อป้องกันมิให้บุคคลหรือสัตว์ต่าง ๆ ไปเหยียบผืนแผ่นดินตรงนั้นอีกต่อไป จะได้ประกาศพระเกียรติคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณอันยิ่งได้ ได้ทรงพระราชทานพระ นขาให้ไว้เป็นมรดกแก่ชาวสุวรรณภูมิ

เมื่อพระพุทธองค์ ทรงมาอุบัติในผืนแผ่นดินสุวรรณภูมินี้แล้ว จึงถือว่าเป็นมงคล แก่ผืนแผ่นดินแห่งนี้หาก พวกเราไม่เชิดชูบูชาแล้วก็จะเป็นการไม่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเกิดอาเพศแก่แผ่นดินนี้ได้ อีกประการหนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ นี้ เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก ทรงครองศิริราชสมบัติ ครบ ๖๐ ปี เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และร่วมเฉลิมฉลองในปีมหามงคลนี้ เพื่อถวายเป็นพระราช กุศลสืบต่อพระชนม์พรรษาแด่พระองค์ท่าน ให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัย ที่สมบูรณ์แข็งแรง เจริญพระชนมายุ ยาวนาน เพื่อเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย เป็นการเสริมพระบารมีอีกทางหนึ่ง

นับจากปี พ.ศ. ๒๕๓๕ มา นับเป็นเวลา ๑๓ ปี ที่หลวงพ่อใช้ความเพียรพยามประกาศเรื่องหลวงปู่โตโคตมะ แก่ชาวโลก และใช้เวลาเข้าไปทำความสนิทคุ้นเคยกับชาวบ้านแสนชะนี จนชาวบ้านมีความเชื่อในเรื่องหลวงปู่โต โคตมะ ได้เริ่มประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ในวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๔๙ และได้เริ่มดำเนินการสร้างพระพุทธรูป หลวงปู่โตโคตมะ ซึ่งมีขนาดหน้าตักกว้าง ๗.๖๙ เมตร สูง ๙.๒๙ เมตร เพื่อให้เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ ที่ได้ทรงมาอุบัติขึ้น ในกึ่งพุทธกาล หลวงพ่อพระโตโคตมะจึงเป็น พระพุทธรูปที่มีความสำคัญ ต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างแท้จริง

ที่มา http://www.suriyathat.net/readarticle.php?article_id=1


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 131 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร