ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
มานะ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=27845 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 20 ธ.ค. 2009, 08:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | มานะ |
อัสมิมานะคือ มานะ ความสำคัญตน ความถือตัวว่าเรามีอยู่ ความถือตัวว่าเป็นเรา อามิส คือเหยื่อ ส่วนใหญ่จะหมายถึงกามคุณ แต่ในบางแห่งหมายถึงวัฏฏะทั้งสิ้น " คำว่า กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน ... ท่านมุ่งหมายธาตุถายในกายของเรา ที่รู้ได้ สัมผัสถูกต้องได้... อัสมิมานะ คือ สำคัญว่าเป็นตัวเรา ยินดีในความเป็นเรา ถ้าสติเกิดก็ระลึกว่าที่เคย สำคัญว่าเป็นเรา แท้ที่จริงแล้ว เราไม่มี มีแต่สภาพธรรมะที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยค่ะ อามิส หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เช่น ขณะนี้เราก็เปรียบเหมือนปลาที่ ติดเบ็ด ติดอยู่ในกามคุณ 5 มีหนทางเดียวคืออบรมปัญญาเพื่อจะละการติดเบ็ดค่ะ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม จุดประสงค์เพื่อให้เข้าใจทุกข์ โดยธาตุ โดยขันธ์ ฯลฯ ต้องเข้าใจตรงลักษณะจริง ๆ เช่น แข็งที่ตัว หรือแข็งที่ภายนอก เป็นธรรมไม่ใช่เรา คำว่า " เจโตวิมุติ และ ปัญญาวิมุติ " มีความหมายต่างกัน คือ หลุดพ้นพร้อมด้วย ฌานเป็นเจโตวิมุติ หลุดพ้นด้วยปัญญา เป็นปัญญาวิมุติ ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ทั้งสองคำนี้ มีความหมายหลายนัย ในบางแห่ง ฌานจิตทุกระดับเป็นเจโตวิมุติ เช่น คำที่ว่าเมตตาเจโตวิมุติเป็นต้น ในบางแห่งหมายถึง สมาธิในอรหัตตผล ชื่อว่า เจโตวิ- มุติ และคำว่า ปัญญาวิมุติในอรรถกถาบางแห่ง หมายถึง ปัญญาในอรหัตตผล ใน บางแห่งกล่าวถึง การบรรลุเป็นพระอรหันต์ที่ไม่ประกอบด้วยอรูปฌาน คือ พระอรหันต์ ที่เป็น สุกขวิปัสสกะ หรือพระอรหันต์ที่ประกอบด้วยรูปฌาน ฌานใดฌานหนึ่ง เรียก ว่า ปัญญาวิมุติ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 320 แต่พยาบาทนั้น จะละได้ก็ด้วยการใส่ใจโดยแยบคาย ในเมตตาเจโต- วิมุตติ. ในคำว่า เมตตาเจโตวิมุตินั้น เมื่อพูดกันถึงเมตตา ย่อมควรทั้งอัปปนา ทั้งอุปจาระ. บทว่า เมตตาเจโตวิมุตติ ได้แก่อัปปนาโยนิโสมนสิการมีลักษณะ ดังกล่าวแล้ว. เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในเมตตาเจโตวิมุตติ นั้น ย่อมละพยาบาทได้. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ (ในสังยุต กายมหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมตตาเจโตวิมุตติมีอยู่ การทำให้ มากซึ่งโยนิโสมนสิการในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิด แห่งพยาบาทที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละพยาบาทที่เกิดแล้วดังนี้. พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - [๕๑๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญา- วิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองใน ทิฏฐธรรม เข้าถึงอยู่ได้อย่างใด แม้กัสสปก็ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรม เข้าถึงอย่างนั้นได้เหมือนกัน. บทว่า โจโตวิมุตฺตึ ได้แก่ สมาธิในอรหัตผล. บทว่า ปญฺญาวิมุตฺตึ ได้แก่ ปัญญาในอรหัตผล. พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓- หน้าที่ 223 วินิจฉัยในนิเทศแห่ง ปัญญาวิมุตตบุคคล. ผู้ใดหลุดพ้นวิเศษ แล้วด้วยปัญญา ฉะนั้น จึงชื่อว่า ปัญญาวิมุตตบุคคล. ปัญญาวิมุตตบุคคลนั้น มี ๕ จำพวก คือ พระอรหัตสุกขวิปัสสก ๑ บุคคลผู้ออกจากฌานทั้ง ๔ แล้ว บรรลุพระอรหัต อีก ๔ จำพวก. ก็บรรดาพระอรหันต์เหล่านั้น แม้องค์หนึ่งที่ ได้วิโมกข์ ๘ หามีไม่. ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า "น เทว โข อฏฺฐวิโมกฺเข" ดังนี้ แต่บรรดาอรูปาวจรฌานทั้งหลาย เมื่อมีอยู่ สักหนึ่งฌาน ก็ชื่อว่า อุภโตภาควิมุตตบุคคล ได้เหมือนกัน. จบอรรถกถาปัญญาวิมุตตบุคคล เจโตวิมุตติ เจต ( จิต , ใจ ) + วิมุตฺติ ( ความหลุดพ้น ) ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งใจ หมายถึง ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะด้วย กำลังของสมาธิ ที่เป็นโลกียะ ได้แก่ สมาบัติ ๘ ที่เป็นโลกุตระ ได้แก่ ผล จิต ( มรรคจิตและนิพพานก็ได้ชื่อว่า วิมุตติด้วยโดยปริยาย ปัญญาวิมุติ ปญฺญา ( ความรู้ทั่ว ) + วิมุตฺติ ( ความหลุดพ้น ) ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งปัญญา หมายถึง ความหลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชา ด้วยกำลังของปัญญา ได้แก่ มรรคจิตซึ่งเป็นขณะที่กำลังหลุดพ้น และผลจิตซึ่ง เป็นขณะที่หลุดพ้นแล้ว ปัญญาวิมุติที่เป็นพระอริยบุคคล หมายถึง ผู้ที่หลุดพ้นโดยไม่มีองค์ฌาน ที่เกิดจากการอบรมสมถภาวนาเกิดพร้อมกับมรรคจิต ผลจิตเป็นการหลุดพ้นเพียงฝ่าย เดียว ( เอกโตภาควิมุติ คือหลุดพ้นจากสังขาร เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์ ) อุภโตภาควิมุติ หมายถึง พระอริยบุคคลที่บรรลุทั้ง ๒ ฝ่าย คือมีฌานจิต เกิดพร้อมกับมรรคจิต ผลจิต ( อรูปฌานเป็นการหลุดพ้นจากรูป โลกุตรธรรมเป็น การหลุดพ้นจากสังขาร "ปัญญา" (ซึ่งรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง) เป็นปัจจัยที่ทำให้ "ละ-คลาย" โมหะ (ความไม่รู้) และ ความเห็นผิด. การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จะทำให้ "ละ-คลายการยึดถือ" ในสภาพธรรมทั้งหลาย ซึ่งจะทำให้ "เป็นอิสระ" มากขึ้น. ควรอ่านพระธรรม และ พิจารณาให้เข้าใจพระธรรมที่ได้อ่าน และ ควรคบหากับผู้ที่สามารถอธิบายให้เราเข้าใจสภาพธรรมได้. เพื่อการอบรม เจริญปัญญา เพื่อ รู้ สภาพธรรม ตามความเป็นจริง ในชีวิตประจำวัน. พระพุทธศานา สอนให้ "รู้สภาพที่แท้จริง" ของ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การสัมผัส และ การคิดนึก. พระพุทธศาสนา สอนให้ "รู้สภาพที่แท้จริง" ของ สิ่งที่ปรากฏทางตา และ เสียงที่ได้ยิน และ สภาพอื่น ๆ ที่ปรากฏทางทวารทั้ง ๖. คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ. เราใช้ "คำบัญญัติ" เพื่อบอกให้รู้ว่า เราหมายถึงอะไร.? เช่น เราพูดว่า........ที่ไคโรร้อน หรือว่า ไฟร้อน เป็นต้น. ความร้อน เป็นสภาพธรรมที่เราสัมผัสได้จริง ๆ ทางกายทวาร โดยไม่ต้องเรียกว่าอะไรเลย.? ความร้อน เป็นสภาพธรรมที่รู้ได้จริงสำหรับทุกคน. ความร้อน เป็น ปรมัตถธรรม. เมื่อคุณคิดถึง "ไคโร" หรือ "ไฟ" คุณคิดเป็น "เรื่องราว".....แต่ไม่มีสภาพธรรมที่จะรู้ได้จริง ๆ . จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ เพื่อให้คิดไตร่ตรองเรื่องโลก และสร้างเป็นเรื่องราวของโลก และผู้คนต่าง ๆ จุดมุ่งหมาย คือ ให้อบรมเจริญปัญญา เพื่อ รู้สภาพธรรมทั้งหลาย เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การสัมผัส และ การคิดนึก รวมทั้ง สี เสีง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สิ่งที่กะทบสัมผัส) และ อารมณ์ที่ปรากฏได้ทางใจ (มโนทวาร) สภาพธรรมเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราสามารถ "พิสูจน์ได้จริง" เมื่อ"ปรากฏทีละขณะ ๆ" . เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน อนุโมทนากับผู้ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหนทางหลายสาย ถวายข้าวพระพุทธรูป รักษาศีล สักการะพระธาตุ กำหนดอิริยาบทย่อย ฟังธรรมแต่เช้า ที่ผ่านมาได้ไปซื้อของและพ่อค้าทอนเงินมาเกินก็เลยคืนให้แก่พ่อค้า และโดนสุนัขแถวบ้านกัด และไม่โกรธเจ้าของสุนัขและให้อภัย และตั้งใจว่าจะรักษาศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม กำหนดอิริยาบทย่อย เจริญอนุสติหลายอย่างเช่นพุทธานุสติ จาคานุสติ กายคตาสติ และฟังธรรม ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญสักการะ พระพุทธรูปแกะ สลักบนหน้าผาเขาชีจรรย์ เราจะนำเรื่องราวและประวัติของสถานที่แห่งนี้มาให้ชมกัน เขาชีจรรย์เริ่มมีการกล่าวขานมากขึ้น เมื่อได้มีการจัดสร้างพระพุทธรูปแกะสลักในลักษณะพระพุทธฉาย ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 9 น้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาส ทรงครองสิริราชสมบัติปีที่ 50 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระพุทธรูปแบบ ประทับนั่งปางมารวิชัยเลียนแบบพระพุทธนวราชบพิตรศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา ความสูง 109 เมตร ประวัติการสร้าง จากการสำรวจของกรมทรัพยากรธรณีพบว่า เขาชีจรรย์ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1/4 ตารางกิโลเมตร มีลักษณะสูงชันมากยอดเขาสูงที่สุดมี ความสูง 248 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 180 เมตรจากระดับพื้นดิน เขาชีจรรย์เป็นหินเนื้อปูนประกอบด้วยหินอ่อนแคลก์ซิลิเกต, รูปเลนส์, ขนาบด้วยหิน ฟิลไลต์, หินฉนวน, และหินเมต้าเชิร์ต สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา สังฆปริณายก เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเป็น สมเด็จพระญาณสังวร เจ้าอา วาสวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งทรงเสียดายเขาชีจรรย์ที่มีภูมิทัศน์ยิ่งใหญ่สง่างามตามธรรมชาติ แต่กำลังถูกระเบิดทำลายทุกวัน จึงทรงดำริที่จะอนุรักษ์เขาชีจรรย์ให้คงชื่อ อยู่คู่กับเขาชีโอนซึ่งมีส่วนหนึ่งอยู่ในเขตสังฆาวาสของวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ด้วยการสร้างพระพุทธรูปแกะสลัก บนหน้าผาเขาชีจรรย์ ให้เป็นปูชนียสถาน สำคัญทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2527 ถึงพุทธศักราช 2533 คณะกรรมการกำหนดรูปแบบพระพุทธรูปแกะสลักหินหน้าผาเขาชีจรรย์ ซึ่งตั้งโดย คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้กำหนดข้อยุติสร้างพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปาง มารวิชัยเลียนแบบพระพุทธนวราชบพิตรศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา ขนาดความสูง 109 เมตรหน้าตักกว้าง 70 เมตรฐานบัวหรือบัวบัลลังค์สูง 21 เมตรรวมความ สูงขององค์พระและบัลลังค์ทั้งสิ้น 130 เมตรเป็นแบบนูนต่ำ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต พระราชทานนามพระพุทธรูปว่า " พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา " มีความหมายว่า " พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาที่รุ่งเรื่องสว่างประเสริฐ ดุจดังมหาวชิระ " ขั้นตอนการสร้าง การจัดสร้างพระพุทธรูปแกะสลักแบ่งงานเป็น 2 ส่วนคือส่วนที่หนึ่ง การก่อสร้าง พระพุทธรูปหน้าผาเขาชีจรรย์ และส่วนที่สองคือการตกแต่งภูมิทัศน์รอบองค์พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผา เขาชีจรรย์ การก่อสร้างสถาบันเทคโนโลยี่แห่งเอเซีย (เอ.ไอ.ที) เป็นผู้ดำเนินการกลั่นกรองบริษัทเอกชน ที่เหมาะสมในการก่อสร้างซึ่ง ดร.วิบูลย์ แสงวีระพันธ์ศิริ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์ ออกแบบการปรับแต่งผิวหน้า นาย กนก บุญโพธิ์แก้ว รองอธิบดีกรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบองค์พระ และในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ 2538 นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ว่าจ้างบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บลาสเตอร์ เป็นผู้ทำการก่อสร้างในราคา 43,305,800 บาท งานระยะแรก เริ่มจากการสำรวจเพื่อการปรับแต่งผิวหน้าผาและเพื่อกำหนดความลึกของลายเส้นของ องค์พระจากนั้นจึงระเบิดปรับ เกลา และปิดรอยแตกร้าวด้วยวัตถุชนิดเดียวกับหน้าผา จากนั้นงานระยะ ที่สองทำการสแกนภาพต้นแบบของพระพุทธรูปไว้ในคอมพิวเตอร์แล้วบันทึกโปรแกรมส่งไปยังสแกนเนอร์ เพื่อควบคุมการยิงเลเซอร์เพื่อวาดภาพบนเขา ซึ่งการฉายแสงวาดภาพบนเขาต้องทำในเวลากลางคืนเพื่อ การมองเห็นที่ชัดเจนให้คนงานโรยตัวด้วยเชือกลงมาจากยอดเขา แล้วใช้สีฝุ่นวาดแต้มเป็นจุดตามที่แสง เลเซอร์กำหนดไว้การก่อสร้างเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจาก ผิวหน้าผามีการแตกและช้ำมาก และฝนก็ ยังได้ตกลงมาทำให้การทำงานมีความเสี่ยงมากขึ้น แต่ในที่สุดก็สามารถเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และในวันที่ 31 กรกฎาคม 2539 มีการประกอบพิธีน้อมเกล้าถวายพระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผาเขาชีจรรย์ แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานมหากรุณาธิคุณเสด็จฯไปทรงประกอบพิธีเบิกพระเนตร และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระอุระของพระพุทธรูป เพื่อให้เกิดเป็นสิริมงคลสืบไป |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |