วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 05:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...... แม้พิจารณาสภาวะธรรมทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศล นั้นก็ไม่เที่ยง
ธรรมทั้งหลายจึงยึดถือไว้ไม่ได้ เราก็ไม่มีในขันธ์ ๕ ในขันธ์ ๕ นี้ก็หาความเป็นเราไม่เจอเลย
ไม่มีเราอยู่ในธรรม เราปฏิบัติมาทั้งหมด...ไม่มี ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา-เขา อยู่เลย
พระอรหันต์ เกิดขึ้นมาทันที ทุกอย่างเป็นสมมติ เป็นก้อนธาตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เป็นสภาวะธาตุ สภาวะธรรม ทั้งหมดไม่มีอะไรให้ยึด ทั้งสามแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรให้ยึดเลย
ต้องเห็นแจ้งอย่างนี้ จึงชื่อว่าเห็น พระนิพพาน..........

(หลวงพ่อชานนท์ วัดป่าเจริญธรรม จ.ชลบุรี)

แจกหนังสือและซีดี MP3 หลักปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น
จัดส่งฟรีครับ เพียงทิ้งชื่อและที่อยู่ไว้ที่เว็บไซต์ด้านล่างนี้ครับ
http://www.watpachareongtham-chonburi.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชื่อว่าเห็นพระนิพพาน

Quote Tipitaka:
นิพพุตสูตร
[๔๙๕] ครั้งนั้นแล ชานุสโสณีพราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์ย่อมตรัสว่า นิพพานอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง นิพพานอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ดังนี้

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล นิพพานจึงเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน


พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์บุคคลผู้กำหนัด อันราคะครอบงำ มีจิตอันราคะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเอง และคนอื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละราคะได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเอง ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนคนอื่น ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่ายย่อมไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต ดูกรพราหมณ์ แม้ด้วยเหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล นิพพานย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ...

ดูกรพราหมณ์บุคคลผู้โกรธ ฯลฯ ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้หลง อันโมหะครอบงำ มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละโมหะได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเอง ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนคนอื่น ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่าย ย่อมไม่เสวยทุกขโทมนัสที่เป็นไปทางจิต ดูกรพราหมณ์ แม้ด้วยเหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล นิพพานย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ...

ดูกรพราหมณ์ ในเมื่อบุคคลนี้เสวยธรรมเป็นที่สิ้นราคะอันไม่มีส่วนเหลือ เสวยธรรมเป็นที่สิ้นโทสะอันไม่มีส่วนเหลือเสวยธรรมเป็นที่สิ้นโมหะอันไม่มีส่วนเหลือ นิพพานย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดังได้กล่าวมาแล้วแล ฯ
สุต.12 อัง. นิพพุตสูตร 20/495

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
...... แม้พิจารณาสภาวะธรรมทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศล นั้นก็ไม่เที่ยง
ธรรมทั้งหลายจึงยึดถือไว้ไม่ได้ เราก็ไม่มีในขันธ์ ๕ ในขันธ์ ๕ นี้ก็หาความเป็นเราไม่เจอเลย
ไม่มีเราอยู่ในธรรม เราปฏิบัติมาทั้งหมด...ไม่มี ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา-เขา อยู่เลย
พระอรหันต์ เกิดขึ้นมาทันที ทุกอย่างเป็นสมมติ เป็นก้อนธาตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เป็นสภาวะธาตุ สภาวะธรรม ทั้งหมดไม่มีอะไรให้ยึด ทั้งสามแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรให้ยึดเลย
ต้องเห็นแจ้งอย่างนี้ จึงชื่อว่าเห็น พระนิพพาน..........


ตัวกุศล กับ ตัวอกุศล โดยตัวของมันเอง เที่ยง ค่ะ เที่ยงแบบมีอยู่และจะมีอยู่แบบนั้นตลอดไปค่ะ

ธรรมเป็นสิ่งที่ควรยึดถือไว้อย่างยิ่งค่ะ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ลงมาโปรดสอนมนุษย์ เทวดา และสัตว์นรกค่ะ ธรรมยั่งยืนและเที่ยงแท้ ขอแค่รู้ธรรมจริงค่ะ

ขันธ์ ๕ มีค่ะ แต่มันไม่เที่ยง ความเป็นเรา อยู่ที่จิตค่ะ กายในกาย รวมถึงจิตด้วยค่ะ มนุษย์หรือสัว์ เหมือนกันในข้อนี้ค่ะ

อรหันต์เกิดขึ้นมื่ออยู่ในสภาวะรู้แจ้งค่ะ คือสิ่งที่รู้นั้น รู้ถูกน่ะค่ะ

ไม่ทุกอย่างที่เป็นสิ่งสมมติค่ะ สิ่งที่ไม่เที่ยงเท่านั้นแหละค่ะที่เป็นสิ่งสมมติ นอกนั้นไม่สมมติ เวทนา สัญญา และ วิญญาณ เป็นสิ่งที่ไม่สมมติค่ะ โดยความหมายของตัวมันเองนะคะ

เวทนา เช่น ความเย็น ความร้อน
สัญญา เช่น โกรธ รัก
วิญญาณ คือ ดวงจิต

การเข้าถึงทุกความรู้ รู้แจ้งอย่างรู้ลึกรู้หมด ตัดแล้วซึ่งกิเลส หมดแล้วซึ่งกรรม บุญมากพอ นั่นแหละค่ะ พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 23:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การไม่เชื่อนั่นดี.....

จนกว่าจะปฏิบัติให้มาก ฟังให้มาก ไตร่ตรองให้มาก พิจารณาความเป็นจริงคือธรรมชาติให้มาก
เมื่อปฎิบัติตามที่หลวงพ่อท่านเทศน์มากแล้ว ฟังที่หลวงพ่อท่านเทศน์มากแล้ว ไตร่ตรองที่หลวงพ่อท่านเทศน์มากแล้ว พิจารณาและยอมรับความจริงคือธรรมชาติให้มากแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเทศน์ไว้นั้นจริงหรือไม่จริง ย่อมไม่ใช่คำถาม.... :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร