ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
หลักปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=27101 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | พงพัน [ 20 พ.ย. 2009, 16:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | หลักปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น |
สวัสดีครับ ผมเป็นสมาชิกใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ผมมีรูปแบบการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นได้เร็วและจริง ของหลวงพ่อชานนท์ วัดป่าเจริญธรรม จ.ชลบุรีครับ เป็นหลักง่ายๆเพื่อการหลุดพ้นของพระพุทธเจ้า ไม่มีการดัดแปลงใดๆทั้งสิ้น อาวุธสำคัญในการปฏิบัติคือขันธ์ 5 ครับ เป็นการพิจารณาขันธ์ 5 ลงสู่ความเป็นไตรลักษณ์ ผมขอแนะนำเว็บไซต์หน่อยนะครับ รายละเอียดในการปฏิบัติอยู่ในเว็บไซต์นี้ครับ http://www.watpachareongtham-chonburi.com รูปแบบการสอนของหลวงพ่อชานนท์นั้น ท่านเน้นในเรื่องของการเดินปัญญาหรือที่เรียกกันว่าวิปัสสนากรรมฐานนะครับ เพราะในเรื่องของสมาธิหรือสมถะกรรมฐานนั้นเชื่อว่าหลายคนคงมีพื้นฐานกันมาบ้างแล้ว หลวงพ่อท่านได้กล่าวไว้แล้วว่า การทำกรรมฐานนั้นเราต้องทำควบคู่กันไป ทั้งสมถะและวิปัสสนา พระพุทธองค์ท่านถึงกล่าวทางปฏิบัติไว้คือ ศีล สมาธิ และปัญญา....ปัญญานั้นทุกคนมีอยู่แล้ว "ปัญญา"นั้นเปรียบเสมือน "มีด" การทำ"สมาธิ"คือการ "ลับคมมีด" ทีนี้ถ้าเรามีมีดที่คมแล้วเราก็ต้องไปตัดต้นไม้ คือการตัดภพชาติ ถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสตัณหาทั้งหลาย หลายๆคนที่ปฏิบัติธรรมบางทีก็ยังไม่ทราบว่ากิเลสนั้นคืออะไร? ....พระพุทธองค์ท่านได้ตรัสไว้ในอริยสัจแล้ว ว่า สรรพสัตว์ทั้งปวง"ทุกข์เพราะยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ " เพราะฉะนั้น ขันธ์ ๕ นี่แหละคือกิเลส คือกองแห่งทุกข์ การปฏิบัติเราก็ปฏิบัติเพื่อที่สุดแห่งกองทุกข์ คือเห็นโดยแจ้งแล้วว่าทุกข์ทั้งหลายนั้นเกิดจากการที่เราไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่ใช่ตนไม่ใช่ตัว ที่ว่าไม่ใช่ตนไม่ใช่ตัวเพราะ การเห็นที่สุดของทุกสิ่งคือ เห็นพระไตรลักษณ์ เห็นว่าของทุกสิ่งเป็นทุกข์ ไม่มีความเที่ยง คงอยู่ไม่ได้ตลอดไป มันจึงไม่ใช่ตัวตน ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น... "ธรรมชาติทั้งหลายนี้ ถ้ายึดมากก็ทุกข์มาก ไม่ยึดเลยก็ไม่ทุกข์เลย" คราวนี้หลายคนคงสงสัยว่า ในกัณฑ์เทศน์ของหลวงพ่อทำไมท่านไม่ได้เทศน์เหมือนองค์อื่นๆ ที่ให้เข้าไปดูสภาวะของสมาธิเป็นลำดับขั้นตอนบ้าง ให้เข้าไปดูจิตของตนเองบ้าง ให้เข้าไปรู้สภาวะธรรมต่างๆบ้าง เพราะจริงๆแล้ว ลำดับการเข้าไปพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญาที่แท้จริง มีอยู่ 3 ระดับ (ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้) ระดับ จำ (สุตะมยปัญญา) ......ภาษาอังกฤษว่า known ระดับ คิด (จินตมยปัญญา) .....................................think ระดับ เห็น (ภาวนามยปัญญา)..................................get ทีนี้เราจะสังเกตุได้ว่า ในสมัยพุทธกาลเหล่าเสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร ทั้งของพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าต่างทั้งในศากยะวงศ์และโกลิยะวงศ์ ฟังธรรมของพระพุทธองค์ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เค้าเหล่านั้น ไม่เคยนั่งสมาธิเลยก็มี ไม่เคยทำสมถะกรรมฐานเลยก็มี แม้แต่พระยสะ (ท่านเป็นอรหันต์องค์แรกที่อยู่ในเพศฆราวาส) ท่านก็เพียงได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาเนื้อความตามเท่านั้น ท่านก็บรรลุธรรมได้ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยถามพระพุทธองค์เลยว่าจิตของข้าพระพุทธเจ้าเป็นเช่นไร ไม่เคยต้องสอบอารมณ์กับพระพุทธองค์ ไม่เคยรู้จักคำว่าโสดาบัน-อรหันต์ ด้วยซ้ำ และคราวที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ พระพุทธองค์ทรงเน้นแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจเป็นส่วนมาก คือแสดงให้เห็นคุณของศีล บาป-บุญ นรก-สวรรค์ ชี้ให้เห็นโทษของการยึดมั่นถือมั่นใน ขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเรา ของเรา แล้วอยากจะบอกกับคนที่เชื่อว่า ก็คนที่เกิดสมัยเดียวกับพระพุทธเจ้ามีบารมีมาก ฟังธรรมจากพระพุทธองค์แป็ปเดียวก็บรรลุอรหันต์ นั่นไม่ใช่เลย.........ก็พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้วว่า ธรรมนั่นเป็น "อกาลิโก" ธรรมนั้นศักดิ์สิทธิ์อยู่ทุกกาล ทุกเวลา ทุกสถานที่..... พริกในครั้งพุทธกาลก็เผ็ด พริกในสมัยนี้ก็ยังเผ็ดอยู่เช่นกัน เกลือสมัยพุทธกาลก็เค็ม เกลือสมัยนี้ก็ยังคงเค็มอยู่เช่นกัน ผู้ใดเข้าไปรู้ธรรมเห็นธรรมย่อมเป็นประจักษ์พยานกับตัวเองได้ (โดยไม่ใช่วิปัสสนูกิเลส) เพราะฉะนั้น ผู้เข้าไปรู้แล้วย่อมเข้าใจในสภาวะที่ตนเองได้ โดยแม้คนอื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่เค้า เป็นสัณทิฐิโก แต่คนที่เข้าใจแล้วจะเอาออกมาบอกออกมาสอนคนอื่นให้รู้ตามเห็นตามนั้นยิ่งยาก ครูบาอาจารย์สมัยนี้ท่านไม่เปิดกันหรอก ยากที่ท่านจะเปิด บางองค์ท่านก็ไม่รู้ เลยไม่รู้จะพูดให้เราเข้าไปเห็นได้ยังไง........และ เพราะคนสมัยนี้ทิฐิมานะมาก ถ้าเค้าปักใจเชื่อครูบาอาจารย์สำนักไหนแล้ว เค้าจะโจมตีสำนักอื่นๆ ด้วยเหตุผลของเค้าบ้าง ด้วยยกเอาตำรามากล่าวอ้างบ้าง โดยที่ลืมว่าพระพุทธองค์สอนให้ลูกศิษย์พระตถาคตทั้งหลายเป็นพหูสูตร คือให้สดับรับฟังให้มาก ให้พิจารณาตามให้มาก ให้ลองปฏิบัติดูให้มาก ก่อนเชื่อหรือไม่เชื่อ หลวงพ่อชานนท์ท่านไม่หวงวิชา ท่านเปิดมาก เปิดจนครูบาอาจารย์หลายสำนักโจมตี ว่าท่านเปิดมากเกินไป ....แต่ท่านก็ยอมโดนโจมตี ยอมโดนว่า เพราะท่านคำนึงถึงพระพุทธศาสนามากกว่า และสิ่งท่านรู้ท่านก็ไม่ได้รู้เองด้วย ก็พระพุทธองค์นั่นแหละเป็นผู้ชี้ทางให้เข้าไปรู้ สิ่งที่ท่านเอามาสอนก็สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนแก่เหล่าปัจจวัคคีย์ เหล่าเสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร ทั้งหลาย ในอดีต ที่ท่านเหล่านั้นไม่เคยรู้จักคำว่า พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ อย่างที่พวกเราทั้งหลายเอามายกย่องครูบาอาจารย์ที่ตนนับถืออยู่นั่นแหละ อย่าพึ่งเชื่อจนกว่าจะพิจารณาเห็นความจริง.......เพราะความจริงย่อมไม่มีอะไรค้านได้ http://www.watpachareongtham-chonburi |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |