ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
วิรตีเจตสิก http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=26657 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 02 พ.ย. 2009, 10:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | วิรตีเจตสิก |
เรื่องวิรตีเจตสิก เกิดได้กับมหากุศล ๘ และโลกุตตรจิต ๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวงเท่านั้น มหากุศลจิตบางดวงก็ไม่มีวิรตีเจตสิกเกิดร่วมด้วย วิรตีเจตสิกดวงหนึ่งดวงใดจะเกิดกับมหากุศลจิตที่กำลังวิรัติทุจริตประเภท หนึ่งประเภทใดในขณะนั้นเท่านั้น วิรตีเจตสิกทั้ง ๓ ดวงจะเกิดขึ้นพร้อมกันใน มหากุศลจิตไม่ได้เลย แต่ขณะที่โลกุตตรจิตเกิดขึ้นนั้น วิรตีเจตสิกทั้ง ๓ ดวง เกิดขึ้นพร้อมกัน โดยทำกิจวิรัติทุจริตเป็นสมุจเฉทตามขั้นของโลกุตตรจิตนั้นๆ โลกุตตรจิต ๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวง ต้องมีวิรตีเจตสิกทั้ง ๓ ดวงเกิดร่วมด้วย วิรตีเจตสิกไม่เกิดกับมหากิริยาจิต เพราะเมื่อพระอรหันต์ดับกิเลสทุกประเภท เป็นสมุจเฉทแล้ว วิรตีเจตสิกไม่เกิดขึ้นวิรัติทุจริตใดๆ เลย วิรตีเจตสิกไม่เกิดกับมหาวิบากจิต เพราะมหาวิบากต่างกับรูปาวจรวิบาก อรูปาวจรวิบาก โลกุตตรวิบาก คือ รูปาวจรกุศลเป็นกัมมปัจจัยให้เกิดผลเป็น รูปาวจรวิบากซึ่งไม่ต่างจากรูปาวจรกุศลนั้นๆ อุปมาเหมือนตัวกับเงา รูปาวจร- กุศลมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วยเท่าใด รูปาวจรวิบากก็มีเจตสิกนั้นๆ เกิดร่วมด้วย เท่านั้น รูปาวจรกุศลมีอารมณ์อะไร รูปาวจรวิบากก็มีอารมณ์นั้น อรูปาวจรกุศล และอรูปาวจรวิบาก โลกุตตรกุศลและโลกุตตรวิบากก็โดยนัยเดียวกัน แต่มหา กุศลหาเป็นเช่นนั้นไม่ วิรตีเจตสิกเกิดกับมหากุศลจิตเฉพาะในขณะที่วิรัติทุจริต แต่มหาวิบากซึ่งเป็นผลของมหากุศลนั้น ไม่มีวิรตีเจตสิกและอัปปมัญญาเจตสิก เกิดร่วมด้วย เพราะมหาวิบากไม่ได้ทำกิจวิรัติทุจริตเช่นมหากุศล วิรตีเจตสิกไม่เกิดกับรูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิต เพราะขณะที่เป็นมหัคค- ตจิตนั้น ไม่มีการกระทำใดๆ ทางกายวาจาที่วิรตีเจตสิกจะต้องเกิดขึ้นวิรัติทุจริต ทางกายหรือทางวาจาเลย ผู้ที่จะละกามราคะได้ต้องบรรลุเป็นพระอนาคามี ส่วนปุถุชนเริ่มต้นด้วยการตั้งใจฟัง สนใจ ใส่ใจ พิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ที่สำคัญคือความเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็น ธรรมที่ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล หรือขณะนี้แข็งมีจริง ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ต้องทราบว่า ปัญญา รู้ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้. . . . พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล. . . . กำลังเห็น เดี๋ยวนี้ ต้องไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย. . . . ชีวิตของแต่ละคน ก็ดำรงอยู่ เพียงชั่วขณะจิตหนึ่งๆ เท่านั้น. . . . ปัญญารู้อะไร.? เมื่อปัญญา เป็น สภาพธรรม ที่รู้ถูกต้อง . . . ปัญญา เริ่มจาก ความเข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ ตามปกติ ตามตามความเป็นจริง. . . . ปัญญา ไม่ใช่รู้อื่น แต่รู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ทุกขณะ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ไม่ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัทผัส และ คิดนึก เรื่องราวต่างๆ. . . . ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนี้ มีจริงๆ และเป็นอนัตตา เป็น ลักษณะของ จิต เจตสิก รูป. . . . ค่อยๆระลึก ค่อยๆศึกษา ค่อยๆพิจารณา ค่อยๆเข้าใจ เพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะว่า การอบรมเจริญปัญญา นั้น เป็นจิรกาลภาวนา ต้องอบรมไปเรื่อยๆ จนกว่า ปัญญาจะสมบูรณ์ ซึ่งต้องอาศัยกาลเวลา ที่นานมาก. . . . จิต เกิดดับสลับกัน อย่างรวดเร็วมาก ปัญญา จึงต้องรู้ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ ตามปกติ ตามความเป็นจริง ต้องทราบว่า ขณะนี้ เป็นธรรมะ ทั้งหมด ไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงธาตุ เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ที่เกิด แล้วก็ดับ. . . . เพราะฉะนั้น ปัญญา ที่เป็นโลกียะ นั้น ประจักษ์ ความจริง ของโลก คือ สภาพธรรม ที่เกิดขึ้น ในขณะนี้ แล้วดับไป ในขณะนี้. . . . นั่นคือ ปัญญา ในพระพุทธศาสนา ซึ่งต้องเริ่มจาก ปัญญาขั้นฟัง คือ การฟังพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ตลอด ๔๕ พรรษา พระองค์ทรงแสดงธรรม ก็เพื่อที่จะให้ พุทธบริษัท ได้ฟังพระธรรม ที่พระองค์ทรงตรัสรู้. เอาบุญมาฝากวันนี้ได้ถวายสังฆทาน และตั้งใจว่าจะสวดมนต์ เดินจงกรม เจริญวิปัสสนา กำหนดอิริยาบทย่อย ให้ธรรมะเป็นทานขอให้อนุโมทนาด้วย |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |