วันเวลาปัจจุบัน 05 มิ.ย. 2025, 14:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2009, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


จิต,เจตสิก,รูป,นิพพาน ฯ ตอนที่ ๑๙
อริยมรรค มีองค์ ๘ ภาคที่ ๒ ในจำนวน ๒ ภาค
เครื่องมือ หรือหลักวิธี หรือเครื่องช่วย อันเป็น ธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ นับตั้งแต่สภาพสรีระร่างกายของมนุษย์ และยังรวมไปถึงธรรมชาติแวดล้อมอื่นๆ อันได้แก่ สภาพลมฟ้าอากาศ สภาพภูมิประเทศ ทรัพยากรทางธรรมชาติต่างๆ ล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน บ้างก็ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน บ้างก็ทำลายกันและกัน บ้างก็เป็นเหตุให้เกิด เป็นผลให้เกิดซึ่งกันและกัน ฯลฯ กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ระบบนิเวศ”
สำหรับมนุษย์ทั้งหลายนั้น ย่อมประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆและระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เป็นเสมือนระบบนิเวศ ในร่างกายมนุษย์ อันเป็นระบบนิเวศหรือระบบการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย และเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับระบบนิเวศภายนอกร่างกาย รวมเรียกว่า จิต,เจตสิก,รูป ก่อให้เกิดเป็นกลไกหรือระบบหรือเป็นผลทำให้มนุษย์เกิดมี ความหวนระลึกนึกถึง , ความคิด,ความเห็น ฯลฯ อันทำให้เกิดเป็นผลอีกขั้นหนึ่งทั้งทาง สภาพสภาวะจิตใจ คือ อารมณ์ ความรู้สึก หรือทำให้เกิดผลในทางติดต่อสื่อสารทางกายหลายรูปแบบ การติดต่อสื่อสารทางกายรูปแบบหนึ่ง ก็คือ การพูด หรือเจรจา หรือวาจา และยังทำให้เกิดผลในทางพฤติกรรมทางกายหลายๆด้าน ซึ่งล้วนมีปัจจัยหรือสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการสังคมเป็นอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีการปฏิสันถารติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันในหลากหลายรูปแบบ พฤติกรรมในการปฏิสันถาร พฤติกรรมทางกายในลักษณะต่างๆของมนุษย์ ก็ล้วนเกิดจาก จิต,เจตสิก,รูป และผลที่เกิดจาก จิต,เจตสิก,รูป ก็คือ ความหวนระลึกนึกถึง,ความคิด,ความเชื่อตาม คล้อยตาม หรือ ความเห็น,การพูด หรือเจรจา หรือวาจา ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลเป็นพฤติกรรมทางกาย หรือ “การประพฤติทางกาย หรือการงานทางกาย หรือทำการทางกาย”
การงานทางกาย หรือ ทำการทางกาย หรือประพฤติทางกาย เป็นเครื่องมือ หรือหลักวิธี หรือเครื่องช่วย หรือเป็นธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ โดยทั่วไป ล้วนย่อมมี การงานทางกาย หรือทำการทางกาย หรือประพฤติทางกาย ไปในทางที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เป็นไปในทางฆ่าสัตว์หรือทำร้ายผู้อื่น,ไม่เป็นไปในทางประพฤติผิดในกาม,ไม่เป็นไปในทางลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น ,ไม่เป็นไปในทางโลภอยากได้ของผู้อื่นโดยทุจริต คือไม่ล่วงละเมิดในร่างกายหรือทรัพย์สินฯ และยังมีลักษณะ การงานทางกาย หรือทำการทางกาย หรือประพฤติทางกาย อีกหลายลักษณะ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติกันอยู่เป็นกิจวัตรประจำวัน ตั้งแต่ตื่นนอน ไปจนถึงเข้านอน เพราะการงานทางกาย หรือทำการทางกาย หรือประพฤติทางกายนี้ เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่ง หรือเป็นพฤติกรรมส่วนหนึ่ง ของการประกอบอาชีพ หรือเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งเป็นพฤติกรรมส่วนหนึ่งในการเลี้ยงชีพเลี้ยงชีวิตในสังคมของมนุษย์ เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่ง หรือเป็นพฤติกรรมของการดำรงชีวิตในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งหรือเป็นพฤติกรรมในการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน นับตั้งแต่ครอบครัวเป็นต้นมา และลักษณะ การงานทางกาย หรือทำการทางกาย หรือประพฤติทางกายที่ได้กล่าวไปนั้น เรียกว่า “การงานชอบ หรือ ทำการชอบ หรือประพฤติชอบ”
จากการที่ได้กล่าวอธิบายในเรื่องของ “การงานชอบ หรือ ทำการชอบ หรือประพฤติชอบ” อันเป็นเครื่องช่วย หรือหลักวิธี หรือ เครื่องช่วย หรือเป็นธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ ก็ย่อมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการ เลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต ของมนุษย์ และยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับองค์มรรคอื่นๆ อาจจะกล่าวว่าเป็นสิ่งประกอบของกันและกัน หรือเป็นสิ่งประกอบซึ่งกันและกัน ก็ได้เช่นกัน
มนุษย์จะมีชีวิต หรือดำรงชีวิตอยู่ได้ ก็ต้องแสวงหาปัจจัยสำหรับการดำรงชีวิต คือ ต้องแสวงหา อาหาร,ที่อยู่อาศัย,เครื่องนุ่งห่ม,และยารักษาโรค การที่มนุษย์จำเป็นต้องแสวงหา เสาะหา ปัจจัยทั้ง ๔ ประการ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต จึงทำให้เกิด การเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต หรือ จะเรียกว่า การทำมาหากิน ของมนุษย์ หรือจะเรียกว่า การประกอบอาชีพ และการประกอบอาชีพของมนุษย์นั้น ก็เป็นเครื่องมือ หรือหลักวิธี หรือเครื่องช่วย ที่จะทำให้บุคคลนั้นๆบรรลุถึงความต้องการ หรือบรรลุถึงจุดมุ่งหมาย นับตั้งแต่ความต้องการในการดำรงชีวิต หรือเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต ให้มีความสุขตามสภาพ หรือต้องการที่จะมุ่งสู่การหลุดพ้นแห่งกิเลสและอาสวะแห่งกิเลส
การทำมาหากิน หรือ การเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต หรือการประกอบอาชีพ ของมนุษย์โดยทั่วไปแล้ว ล้วนย่อมต้อง ทำมาหากิน หรือเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต หรือประกอบอาชีพ โดยสุจริตกันอยู่แล้ว มนุษย์ทั้งหลายนับตั้งแต่ครั้งโบราณ ล้วนทำมาหากินหรือประกอบอาชีพ ด้วยการทำการเกษตรบ้าง ทำประมงบ้าง ค้าขายบ้าง ฯลฯ ไม่มีมนุษย์คนไหนอยากทำมาหากิน เลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต หรือประกอบอาชีพ ในทางทุจริต จะมีก็เป็นเพียงส่วนน้อย อันเนื่องจากสาเหตุหลายอย่างหลายประการ แต่โดยสรุปแล้วมนุษย์
มีเครื่องมือ หรือหลักวิธี หรือเครื่องช่วย ในการดำรงชีวิต ด้วยการทำมาหากิน หรือเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต หรือประกอบอาชีพ ในทางสุจริต ไม่คดโกงเอาทรัพย์สิน ไม่หลอกลวงเอาทรัพย์ทั้งที่เคลื่อนที่ได้ และทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ไม่ค้ายาเสพติด ไม่ปล้นชิงทรัพย์สิน ฯลฯ รวมเรียกว่า เลี้ยงชีพชอบ หรือ เลี้ยงชีวิตชอบ หรือ อาชีพชอบ
ส่วนเหตุที่ได้อธิบายไปแล้วว่า การทำมาหากินชอบ หรือการเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิตชอบ หรือการประกอบอาชีพชอบนั้น ย่อมมี การงานชอบ หรือทำการชอบ หรือประพฤติชอบ ประกอบอยู่ ก็เพราะการทำมาหากิน หรือการเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต หรือประกอบอาชีพนั้น ย่อมต้องมีการประพฤติ หรือการงาน หรือ ทำการ ร่วมอยู่ประกอบอยู่ อีกทั้งยังมีองค์มรรคในข้ออื่นๆเป็นส่วนประกอบ เกี่ยวข้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อันได้แก่ ความคิดชอบ ความระลึกนึกถึงชอบ ความซื่อตรง ไม่คิดไม่ทำเพื่อจะลักขโมยทรัพย์หรือคดโกง ไม่ประพฤติผิดทางกาม ไม่เบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น การเจรจาชอบ รวมไปถึงพฤติกรรมทางกาย อันได้แก่ มีการงานชอบ หรือ ทำการ หรือประพฤติชอบ ไปตามลักษณะการทำมาหากิน หรือการเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต หรือการประกอบอาชีพนั้นๆ ซึ่งท่านทั้งหลายคงได้ประสบพบเห็น หรือได้สัมผัสรับรู้ ทั้งจากตัวท่านเอง และบุคคลรอบข้าง หรือบุคคลทั่วๆไป
การเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต หรือการประกอบอาชีพ ทั้งหลาย ย่อมต้องอาศัยสภาพสภาวะจิตใจชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ความเพียร หรือ ความบากบั่น หรือความพยายามทำจนกว่าจะสำเร็จ” อันเป็นเครื่องมือ หลักวิธี หรือเครื่องช่วย ทั้งยังเป็นสภาพสภาวะจิตใจโดยธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการคิด การระลึกนึกถึง การพูด การประกอบกิจการงานใดใด พฤติกรรมทางกายหรือทางใจใดใด มนุษย์ย่อมมีความเพียร คือ ความพยายาม มีความบากบั่น กระทำในสิ่งเหล่านั้นจนกว่าจะสำเร็จ ตามกำลังความรู้ หรือตามสมรรถภาพ คือ ความสามารถ เป็นปกติวิสัย หรือตามความต้องการ ตามความปรารถนา ในเรื่องนั้นๆ หากบุคคลผู้ปรารถนา ที่จะละ หรือขจัด หรือกำจัด หรือสำรอก กิเลส และอาสวะแห่งกิเลส ในตนให้สิ้นไป ก็ต้องมีสติระลึกนึกถึงเตือนตนอยู่เสมอ เพื่อสร้าง “ความเพียรชอบ” คือ ความพยายาม,ความบากบั่น ในการที่
๑. ระวังป้องกันความไม่ดีทั้งทางใจและความไม่ดีทางกาย เช่น “ฆ่าสัตว์, พูดปด, พูดเท็จ, พูดส่อเสียด, พูดคำหยาบ, พูดเพ้อเจ้อ, พูดใส่ร้าย, ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ให้, ลักขโมย, ประพฤติในกาม, ความจ้องอยากได้ของผู้อื่น, พยาบาทปองร้ายเขา, มีความเห็นผิดหรือความเชื่อตาม ความคล้อยตามในทางที่ผิดทำนองคลองธรรม, ความลำเอียง ๔ อย่าง รวมเรียกว่า บาป และ อกุศลธรรม ” ที่ยังไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น
๒. เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
๓. เพื่อสร้างความดี ทั้งทางกาย วาจา และใจ เช่น เว้นจากการฆ่าสัตว์, เว้นการพูดปด, เว้นพูดเท็จ, เว้นพูดส่อเสียด, เว้นพูดคำหยาบ, เว้นพูดเพ้อเจ้อ, เว้นพูดใส่ร้าย, ไม่ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ให้, ไม่ลักขโมย, ไม่ประพฤติในกาม, ไม่โลภจ้องอยากได้ของผู้อื่น, ไม่พยาบาทปองร้ายเบียดเบียนเขา, ไม่มีความเห็นผิดหรือความเชื่อตาม ความคล้อยตามในทางที่ผิดทำนองคลองธรรม ,มีความยุติธรรม ไม่ลำเลียง”รวมเรียกว่า กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น
๔. เพื่อความดำรงมั่น รักษา ไม่ให้เสื่อมหาย เจริญยิ่งๆขึ้นไป อย่างเต็มที่ ในความเจริญความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
ความเพียรชอบหรือความพยายามหรือความบากบั่นในทางที่ดี ทั้ง ๔ ข้อที่ได้อรรถาธิบายไป ต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า เป็นเพียงข้อแนะนำ หรือเป็นเพียงคำบอกกล่าว ให้รู้จักมีความพยายาม หรือบากบั่น หรือมีความเพียร ในการที่ระวังป้องกันมิให้เกิดความชั่ว ความไม่ดีในจิตใจ, ระวังป้องไม่ให้ความชั่ว ความไม่ดีในจิตใจเกิดขึ้นอีกถ้าหากเคยเกิดขึ้นผ่านไปแล้ว ,พยายามหรือบากบั่น หรือมีความเพียร สร้างความดี ที่ยังไม่มีในจิตใจ ให้เกิดขึ้นให้มีขึ้นในจิตใจ,และ พยายามหรือบากบั่น หรือมีความเพียรที่จะรักษา ความดีในจิตใจทั้งหลายที่มีอยู่ในจิตใจของตน ให้มีอยู่ตลอดไป
ความเพียรชอบ หรือความพยายามความบากบั่น ในทางที่ดี ที่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม ล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์โดยธรรมชาติ คือ มนุษย์ประพฤติปฏิบัติกันอยู่เป็นกิจวัตร และจัดว่า เป็นเครื่องมือ หลักวิธี หรือเครื่องช่วย หรือเป็นธรรมชาติพื้นฐาน ที่จะช่วยทำให้มนุษย์ดำเนินชีวิต ดำรงชีวิต ในสังคม ได้อย่างปกติสุข เพราะมนุษย์ย่อมไม่ดิ้นรนหาเรื่องใส่ตัวด้วยการประพฤติปฏิบัติในทางที่ไม่ดี ในทางที่เป็นอกุศลธรรม แต่ในสังคมคงมีมนุษย์ที่เห็นผิดเป็นชอบอยู่บ้าง ซึ่งก็คงเป็นบ้างครั้งบางเรื่องบางสถานการณ์ นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา อันเกี่ยวข้องกับสภาพ จิต,และเจตสิก ซึ่งเกิดจากการได้รับการขัดเกลาทางสังคม ฯ ของแต่ละบุคคล ถึงอย่างไรก็ตาม หากบุคคลเหล่านั้น หรือบุคคลทั้งหลาย มีสมาธิ ก็ย่อมสามารถบังคับควบคุมมิให้ตัวเขาเกิดพฤติกรรมในทางที่ไม่ดี คือในทางที่เป็นอกุศล ทั้งทางใจ และทางกาย เพราะสมาธิ เป็นสิ่งสำคัญ เป็นเครื่องมือ เป็นหลักวิธี เป็นเครื่องช่วย หรือเป็นธรรมชาติพื้นฐานที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ในการดำรงชีวิต ในการทำงาน ในการประกอบกิจกรรม
ในเรื่องของสมาธินี้ ท่านทั้งหลายต้องศึกษา เรียนรู้ และทำความเข้าใจให้ดี ว่า สมาธิ หมายถึง ความมีใจสงบแน่วแน่ไม่ฟุ้งซ่าน ,ความมีใจตั้งมั่น, ความตั้งมั่นแห่งจิต ,สำรวมใจ, ไม่มีวิตก, ไม่มีวิจาร, ละปีติสุข เกิดอุเบกขา, ไม่คิดสิ่งใด คือไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่โศกเศร้าเสียใจ และความหมายของสมาธิที่ได้กล่าวไป มีชื่อเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “สัมมาสมาธิ”
สัมมาสมาธิ ในอริยมรรคองค์นี้ หมายถึง “ความตั้งใจชอบ” ซึ่งแท้จริงแล้ว ความตั้งใจชอบนั้น เป็นผลแห่งสมาธิ และก่อให้เกิดสมาธิ คือเป็นทั้งเผลและเหตุ เพราะ “ความตั้งใจชอบ” หรือ สัมมาสมาธิ นั้น จะเกิดขึ้นจากความคิด หรือเกิดขึ้นจากการระลึกนึกถึง กล่าวคือ เมื่อเกิดมีความคิด(วิตก)ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือระลึกนึกถึงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ได้จดจำไว้ มิใช่คิดหรือระลึกนึกถึงแบบฟุ้งซ่าน สับสน ขณะเดียวกันบุคคลนั้นๆก็ย่อมรับรู้หรือรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าได้คิดหรือระลึกนึกถึง และอาจพิจารณาไตร่ตรอง คือ คิดหรือระลึกนึกถึงทบทวนในรายละเอียด ตามความคิดตามความระลึกนึกถึงนั้นๆ(วิจาร) ก็จะเกิดสมาธิขึ้นมาชั้นหนึ่ง และเมื่อเกิดความคิด สุดท้ายหรือสิ้นสุด ตกลงใจว่าจะทำอย่างนั้น จะพูดอย่างนั้น จะปฏิบัติอย่างนั้น ก็จะเกิดสมาธิขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง สมาธิในชั้นนี้เรียกว่า “สัมมาสมาธิ” คือ “ความตั้งใจชอบ” ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะขณะที่บุคคลนั้นๆกำลังคิด หรือขณะมีความระลึกนึกถึง ตามธรรมดาแห่งธรรมชาติก็จะเป็นการเอาใจเข้าไปผูกอยู่ หรือเอาใจเข้าไปจดจ่อ ทำให้เกิดสมาธิอยู่แล้ว เมื่อมีข้อตกลงใจในการคิดนั้น ก็จะเกิดความคิดว่า จะพูด จะทำ จะประพฤติปฏิบัติ ขณะที่คิดว่า จะพูด จะทำ จะประพฤติปฏิบัติ เป็นการเอาใจเข้าไปผูกอยู่ หรือเอาใจจดจ่อในความคิดสุดท้ายหรือสิ้นสุด พอความคิดถึงที่สุดท้ายหรือสิ้นสุด ก็จะเกิดปีติสุข อาจเป็นปีติสุขในทางที่ดีก็ได้ อาจเกิดปีติสุขในทางที่ไม่ดีก็ได้ ล้วนย่อมเป็นไปตามสภาพแห่งความคิดหรือความระลึกนึกถึงของบุคคลตามเรื่องนั้นๆ ปีติและสุขก็จะถูกกำจัดไปหรือขจัดไปหรือละไป โดยธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติแห่งภวังขณะนั้น หรือเป็นไปตามระบบการทำงานของสรีระร่างกายมนุษย์ในขณะนั้น ทำให้บุคคลเมื่อมีความคิดว่าจะทำ,จะพูด,จะประพฤติปฏิบัติ เป็นสุดท้าย หรือสิ้นสุด ย่อมเกิด ความมีใจสงบแน่วแน่ไม่ฟุ้งซ่าน ,ความมีใจตั้งมั่น, ความตั้งมั่นแห่งจิต ,สำรวมใจ, ไม่มีวิตก, ไม่มีวิจาร, ละปีติสุข เกิดอุเบกขา เกิดเอกัคคตา (ฌาน ๔) เรียกว่า สัมมาสมาธิ เกิดขึ้น หรือ ความตั้งใจชอบเกิดขึ้น และที่ได้กล่าวอรรถาธิบายไปทั้งหมดในเรื่องของ สัมมาสมาธิ หรือ ความตั้งใจชอบนั้น อาจใช้เวลาที่เกิดในชั้นสุดท้ายหรือชั้นสิ้นสุด เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที
อริยมรรค อันมีองค์ ๘ ที่ได้กล่าวอรรถาธิบายไปแล้วทั้ง ๘ องค์นั้น ล้วนเกิดจากหรือมีต้นตอมาจากธรรมชาติทั้งหลาย อันได้แก่ “ จิต,เจตสิก,รูป (รูปทั้งหมด รวมถึงขันธ์ ๕ด้วย) หรือจะกล่าวในอีกรูปแบบหนึ่ง ก็ล้วนเกิดจากมนุษย์, สัตว์, พืช,ทั้งที่มองเห็นได้และมองเห็นไม่ได้ด้วยตา รวมไปถึงสภาพลมฟ้า อากาศ การหมุนหรือการโคจรของโลก,ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฯ, การสังคมเป็นอยู่ร่วมกันของมนุษย์, วิชาการ ความรู้ในด้านต่างๆ” เป็นเครื่องมือ หรือหลักวิธี หรือเครื่องช่วย หรือเป็นธรรมชาติพื้นฐาน เป็นเหตุที่ทำให้มนุษย์เกิดความเข้มแข็ง เกิดความมั่นใจในการดำรงชีวิต ในการดำเนินชีวิต เป็นพลังทางใจ หรือเป็นกำลังใจ มิให้เกิดความเกียจคร้าน มิให้หลงงมงาย มิให้เกิดความประมาท มิให้เกิดความฟุ้งซ่าน แต่จักทำให้เกิด ความเชื่อในทางที่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม เกิดพลังแห่งความขยันหมั่นเพียร,เกิดพลังแห่งปัญญา,เกิดพลังในการกระทำด้วยความมีสติ คือกระทำในสิ่งที่ไม่มีโทษ หรือไม่เบียดเบียนผู้อื่น, เกิดพลังใจในการสงเคราะห์คือช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ตามกำลังความสามารถของแต่ละบุคคล ฯลฯ
ในการดำเนินชีวิต หรือในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ตามธรรมชาติ ตามการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน พฤติกรรม การกระทำ ใดใดก็ตามของมนุษย์ทุกคน ล้วนมีสมาธิเป็นเครื่องกำกับ เป็นเป็นสิ่งประกอบที่สำคัญ แห่งพฤติกรรม และการกระทำนั้นๆ หากไม่มีสมาธิเป็นเครื่องกำกับ หรือสิ่งประกอบ มนุษย์ทุกคนย่อมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ ไม่สามารถควบคุมความคิด ไม่สามารถควบคุมการกระทำทั้งทางกาย วาจา และใจ ย่อมจะเกิดความวุ่นวายสับสน ดังนั้น สมาธิ จึงเป็นธรรมชาติพื้นฐานที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ “ความตั้งใจชอบ หรือ สัมมาสมาธิ” ย่อมเป็นสิ่งสำคัญเป็นเครื่องมือ เป็นหลักวิธี หรือเป็นเครื่องช่วย เป็นธรรมชาติพื้นฐานที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ซึ่งสัมพันธ์ เกี่ยวข้อง กับอริยมรรคในองค์อื่นๆ หมุนวนต่อเนื่องกันไป หากบุคคลได้จดจำฝึกฝนเพิ่มเติมอยู่เป็นประจำ ก็จักทำให้ผู้จดจำฝึกฝนเพิ่มเติม สามารถดำเนินชีวิต ดำรงชีวิต ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ที่ไม่ผิดต่อศีลธรรมอันดี ไม่เกินความสามารถหรือศักยภาพ ตามความต้อง หรือทำให้บุคคลผู้จดจำฝึกฝนเพิ่มเติมนั้น สามารถสร้างสภาพสภาวะจิตใจที่ดีงาม สร้างพลังใจ สร้างความเข้มแข็งไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่ไม่ดี สร้างความมั่นใจ ในการที่จะปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่จะนำให้บุคคลละ กำจัด ขจัด หรือสำรอก กิเลส หรืออาสวะแห่งกิเลส หรือละ กำจัด ขจัด สำรอก ธรรมที่เป็นเหตุแห่งสังโยชน์ ธรรมที่เหตุแห่งนิวรณ์ ธรรมที่เป็นอกุศลธรรม มิให้เกิดขึ้นในตนเอง หรือให้หมดสิ้นไปได้ ดังความมุ่งมาดปรารถนา
จบอริยมรรค มีองค์ ๘ ภาคที่ ๒ ในจำนวน ๒ ภาค
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ (ผู้เขียน)
๑๗ - ๒๑ ต.ค. ๒๕๕๒
แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อ ๒๒ ต.ค. ๒๕๕๒


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 22 ต.ค. 2009, 08:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2009, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากมีประโยคไม่เหมาะสม ไม่ชัดเจนและเนื้อความไม่สัมพันธ์กัน จึงได้แก้ไขเพิ่มเติม ตอนท้าย ขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2009, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




f54802676.gif
f54802676.gif [ 16.55 KiB | เปิดดู 6473 ครั้ง ]
Buddha เขียน:
เนื่องจากมีประโยคไม่เหมาะสม ไม่ชัดเจนและเนื้อความไม่สัมพันธ์กัน จึงได้แก้ไขเพิ่มเติม ตอนท้าย ขอรับ


แล้วที่แก้มานั่นน่าชัดเจน 100% แล้วหรอขอรับ ท่านจ่าสิบตรี เทวทัต นะเชียงราย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2009, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้ากรัชกายผู้โง่เขลาเบาป้ญญา ตัวเจ้านั้น "เทวทัต"ชิดๆ เจ้ายังไม่รู้ตัวอีก เขียนธรรมอะไรต่อมีอะไรเยอะแยะ แต่ไม่รู้จักที่ควรหรือไม่ควร เจ้าไม่ได้รู้ความหมายของภาษาอ่านภาษาไทยแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เจ้าม้นก็แค่ เศษสวะ ที่คอยบิดเบือนคำสอนทางพุทธศาสนา ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ตะบี้ตะบันเขียน เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด
น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น เจ้า"สัตว์ตาย" นะเหมาะสมกว่า

ที่ข้าพเจ้าแก้ไข แล้วเจ้าคิดว่าอันไหนที่ไม่ชัดเจน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เจ้าเขียนให้ชัดเจน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ได้รึเปล่าละ โธ่เอ๋ย เจ้าเศษขยะศาสนาผู้ใฃ้ชื่อว่า "กรัชกาย" เอ๋ย ความอิจฉาในเจตสิกของเจ้ามันรุนแรงนัก รู้จักอาย แต่ยังดันทุรังเขียนถากถาง เจ้าบอกมาซิว่า ตรงไหน ไม่ชัดเจน บอกได้ไหมละ เจ้าควรใช้ชื่อว่า "สัตว์ตาย" จะดีกว่า เพราะเจ้ามันแค่เศษสวะตัวหนึ่งเท่านั้น ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2009, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q7a5.gif
q7a5.gif [ 72.74 KiB | เปิดดู 6440 ครั้ง ]
Buddha เขียน:
เจ้ากรัชกายผู้โง่เขลาเบาป้ญญา ตัวเจ้านั้น "เทวทัต"ชิดๆ เจ้ายังไม่รู้ตัวอีก เขียนธรรมอะไรต่อมีอะไรเยอะแยะ แต่ไม่รู้จักที่ควรหรือไม่ควร เจ้าไม่ได้รู้ความหมายของภาษาอ่านภาษาไทยแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เจ้าม้นก็แค่ เศษสวะ ที่คอยบิดเบือนคำสอนทางพุทธศาสนา ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ตะบี้ตะบันเขียน เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด
น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น เจ้า"สัตว์ตาย" นะเหมาะสมกว่า

ที่ข้าพเจ้าแก้ไข แล้วเจ้าคิดว่าอันไหนที่ไม่ชัดเจน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เจ้าเขียนให้ชัดเจน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ได้รึเปล่าละ โธ่เอ๋ย เจ้าเศษขยะศาสนาผู้ใฃ้ชื่อว่า "กรัชกาย" เอ๋ย ความอิจฉาในเจตสิกของเจ้ามันรุนแรงนัก รู้จักอาย แต่ยังดันทุรังเขียนถากถาง เจ้าบอกมาซิว่า ตรงไหน ไม่ชัดเจน บอกได้ไหมละ เจ้าควรใช้ชื่อว่า "สัตว์ตาย" จะดีกว่า เพราะเจ้ามันแค่เศษสวะตัวหนึ่งเท่านั้น ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



ที่ข้าพเจ้าแก้ไข แล้วเจ้าคิดว่าอันไหนที่ไม่ชัดเจน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เจ้าเขียนให้ชัดเจน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ได้รึเปล่าละ โธ่เอ๋ย เจ้าเศษขยะศาสนาผู้ใฃ้ชื่อว่า "กรัชกาย"


เห็นท่านว่าแก้ไขเพื่อให้ชัดเจน

กรัชกายก็ถามดูว่า ชัดเจน ๑๐๐ % แล้วหรอขอรับ ถามดูเฉยๆ ยังไม่ทันว่าอะไรเลยนะขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 22 ต.ค. 2009, 21:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2009, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าอย่าทำเป็นเล่ห์เหลี่ยมเลย เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย สมองสติปัญญาเจ้า ค่อนข้างเอ๋อแล้ว
ข้าพเจ้าก็ถามกลับว่า ตรงไหนที่ไม่ชัดเจน แล้วเจ้าเขียนให้ชัดเจนได้ไหม
เจ้าต้องตอบมาซิว่า ตรงไหนที่ไม่ชัดเจน เอาที่เจ้าคิดว่าไม่ชัดเจนนั่นแหละ ไม่ชัดเจนอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะได้อธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 22 ต.ค. 2009, 20:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2009, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับ เรื่อง ของ "ฌาน" สติปํฏฐาน ๔" และ "กสิณ"
และยังมี ธรรม ที่ทำให้เป็นเหตุให้ สังโยชน์ นิวรณ์ อกุศลธรรมทั้งหลาย หมดไปนั้น
ขอให้ท่านอ่านในตอนที่ ๑๙ และ พิจารณาไปพลางก่อน
ยังจะไม่เขียนในเร็ววันนี้ ขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2009, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
สำหรับ เรื่อง ของ "ฌาน" สติปํฏฐาน ๔" และ "กสิณ"
และยังมี ธรรม ที่ทำให้เป็นเหตุให้ สังโยชน์ นิวรณ์ อกุศลธรรมทั้งหลาย หมดไปนั้น
ขอให้ท่านอ่านในตอนที่ ๑๙ และ พิจารณาไปพลางก่อน
ยังจะไม่เขียนในเร็ววันนี้ ขอรับ


ท่านจะเขียนทำไมอีกขอรับ

หากจะเขียน เขียนวิธีปฏิบัติเพื่อกำจัดสังโยชน์ กำจัดนิวรณ์ดีกว่า เอาเลยครับ พรุ่งนี้มาลงได้เลย

ตอนที่ ๑๙ พิจารณาแล้วครับ มิใช่ที่นี้ที่เดียวนะขอรับ บอร์ดอื่นก็ติดตามอ่าน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2009, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


จะเขียนอะไร มันก็เรื่องของข้าพเจ้า เอ็งรู้วิธีขจัดสังโยชน์ดีอยุ่แล้วไม่ใช่หรือ เห็นอวดอุตริ อยู่บ่อยครั้ง อย่างที่เอ็งเขียน หลักปฏิบัติกรรมฐาน นั้น ก็เป็นการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนแล้ว
เจ้าเทวทัตไม่รู้สึกตัวอีกหรึอ ไม่พิจารณาให้ดี
แล้วเอ็งจะอยากรู้วิธี หรือหลักการ หรือหลักธรรม ที่มีในตัวข้าพเจ้าทำไมกันละ จะเอาไปทำเป็นหนังสือขายง้้นหรือ เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย เปลี่ยนเป็น สัตว์ตาย น่าจะดีกว่ามั้ง


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 23 ต.ค. 2009, 21:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
จะเขียนอะไร มันก็เรื่องของข้าพเจ้า เอ็งรู้วิธีขจัดสังโยชน์ดีอยุ่แล้วไม่ใช่หรือ เห็นอวดอุตริ อยู่บ่อยครั้ง อย่างที่เอ็งเขียน หลักปฏิบัติกรรมฐาน นั้น ก็เป็นการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนแล้ว
เจ้าเทวทัตไม่รู้สึกตัวอีกหรึอ ไม่พิจารณาให้ดี
แล้วเอ็งจะอยากรู้วิธี หรือหลักการ หรือหลักธรรม ที่มีในตัวข้าพเจ้าทำไมกันละ จะเอาไปทำเป็นหนังสือขายง้้นหรือ เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย เปลี่ยนเป็น สัตว์ตาย น่าจะดีกว่ามั้ง



เรากำลังสนทนาเรื่อง จิ เจ รุ นิ กันอยู่นะขอรับอาจารย์ Buddha

เรื่องเดียวกับลิงค์นี้


viewtopic.php?f=1&t=26407


อ้างคำพูด:
แล้วเอ็งจะอยากรู้วิธี หรือหลักการ หรือหลักธรรม ที่มีในตัวข้าพเจ้าทำไมกันละ จะเอาไปทำเป็นหนังสือขายง้นหรือ เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย เปลี่ยนเป็น สัตว์ตาย น่าจะดีกว่ามั้ง




ไม่ได้ทำหนังสือขายดอกครับ แต่อยากเรียนรู้วิธีขจัดสังโยชน์ของแต่ละท่านๆว่าใช้วิธีอะไรกันบ้าง

แลกเปลี่ยนกันไงขอรับ

ก็เมื่อท่านว่า กรัชกายอวดอุตริบิดเบือนหลักธรรมแล้วนิ จึงอยากรู้ว่าของท่านจะเป็นไง ก็ถูกต้องแล้วนี่ขอรับ

หรือไม่กล้าเขียน กลัวถูกวิจารณ์

อย่ากลัวขอรับ ความกลัวทำให้เสื่อม :b12:

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ฮ่า ฮ่า ฮ่า ในกระทู้นี้ ก็ต้องคุยในเรื่องกระทู้นี้
แล้วข้าพเจ้าไปสัญญาอะไรกับเจ้าผู้ใช้ชื่อว่ากรัชกาย ที่ว่าแลกเปลี่ยนกัน
โธ่เอ๋ย เจ้าผู้ใช้ชื่อว่ากรัชกาย เจ้าหลงตัวเองแล้ว เจ้ามีความรู้อะไรที่จะแลกเปลี่ยนกับข้าพเจ้า

ถามวิธี ก้าวล่วงอากาศ ฯลฯ ในเรื่องของ ฌาน เจ้าก็ตอบไม่ได้ ความรู้ของเจ้ามันก็แค่ลอกเรียนแบบเขามา ไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเอง
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ถ้าข้าพเจ้าไม่กล้า ข้าพเจ้าก็ไม่เขียนเรื่อง "จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามหลักพระอภิธรรมปิฎก"ขึ้นมาดอกนะ
เพราะข้าพเจ้ากล้า เพราะข้าพเจ้ารู้แจ้ง เห็นจริง จึงกล้าเขียน
พวกเจ้ากล้าเขียนกันไหม มีแต่กเขียนแบบอวดอุตริ บ้าง เขียนบิดเบือนบ้าง
เจ้าอยากรุ้ว่า หลักธรรมที่ทำให้ละสังโยชน์ ฯลฯ เป็นอย่างไร ก็มาดูผลที่ตัวข้าพเจ้า เองซิ เพราะสามารถมองเห็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติตามหลักธรรมของข้าพเจ้า ได้อยู่แล้ว

แล้วเจ้ามีความกล้าใช่ไหม ลองตอบมาซิว่า
การก้าวล่วงอากาศไม่มีสิ้นสุด ฯลฯ ตามหลักของ ฌาน นั้น ทำอย่างไร ทำเป็นนิ่งเงียบ มันก็แค่อวดอุตริเท่านั้นแหละน่า อยากอวดเก่งก็เท่านั้น อิ อิ อิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่พระท่านสอนนั้น เข้าใจว่า ท่านคงใช้หลักกสิณ คือการเอาใจจดจ่อในคำกำหนดเพื่อให้เกิดสมาธิ เพราะพระทั้งหลายเหล่านั้น ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่อง "ฌาน" อย่างถ่องแท้ เมื่อไม่มีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องของ ฌานอย่างถ่องแท้ ก็ย่อมไม่รู้วิธีการ ละ หรือขจัด หรือดับ วิตก วิจาร ปีติ สุข เมื่อไม่รู้ พระทั้งหลาย ก็ต้องดึงเอาหลักวิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง จากพระไตรปิฎกมาใช้โดยความไม่รู้
แต่พระที่รู้ก็มีอยู่นะขอรับ ยกตัวอย่าง อาจารย์ผู้ให้คำแนะนำต่อข้าพเจ้า รูปหนึ่งแล้วที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ พระที่เป็นอาจารย์ในรุ่นเก่าๆ ก็ได้ร่ำเรียนหรือเข้าใจกันมาอย่างนั้น ก้เลยทำต่อกันมาอย่างนั้น
ความจริงแล้ว ถ้าฝึกสมาธิ อย่างเดียว ก็ต้องทำความเข้าใจในเรื่อง ของ "ฌาน" ขออภัยในขณะนี้ยังไม่เขียนอธิบาย ต้องรอดูก่อนว่า ควรอธิบายควรสอนหรือไม่ เนื่องจากมีเหตุหลายประการที่ไม่อาจเขียนสอนได้ในขณะนี้ (ไม่บอกเหตุผลนะขอรับ)




ที่ท่านพูดว่า => (พระที่รู้ก็มีอยู่นะขอรับ ยกตัวอย่าง อาจารย์ผู้ให้คำแนะนำต่อข้าพเจ้า)

ไว้ที่

viewtopic.php?f=1&t=26444


กรัชกายถามว่า ชื่ออาจารย์อะไร ยังมีชีวิตอยู่ไหม อาจารย์สอนแนวไหน สอนยังไง

ท่านก็เงียบเหมือนเตมีย์ใบ้

กรัชกายจึงกล่าว่าว่า ความกลัวทำให้เสื่อมไงล่ะขอรับ คิก คิก คิก :b21:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ในกระทู้นี้ ก็ต้องคุยในเรื่องกระทู้นี้
แล้วข้าพเจ้าไปสัญญาอะไรกับเจ้าผู้ใช้ชื่อว่ากรัชกาย ที่ว่าแลกเปลี่ยนกัน
โธ่เอ๋ย เจ้าผู้ใช้ชื่อว่ากรัชกาย เจ้าหลงตัวเองแล้ว เจ้ามีความรู้อะไรที่จะแลกเปลี่ยนกับข้าพเจ้า

ถามวิธี ก้าวล่วงอากาศ ฯลฯ ในเรื่องของ ฌาน เจ้าก็ตอบไม่ได้ ความรู้ของเจ้ามันก็แค่ลอกเรียนแบบเขามา ไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเอง
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ถ้าข้าพเจ้าไม่กล้า ข้าพเจ้าก็ไม่เขียนเรื่อง "จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามหลักพระอภิธรรมปิฎก"ขึ้นมาดอกนะ
เพราะข้าพเจ้ากล้า เพราะข้าพเจ้ารู้แจ้ง เห็นจริง จึงกล้าเขียน
พวกเจ้ากล้าเขียนกันไหม มีแต่กเขียนแบบอวดอุตริ บ้าง เขียนบิดเบือนบ้าง
เจ้าอยากรุ้ว่า หลักธรรมที่ทำให้ละสังโยชน์ ฯลฯ เป็นอย่างไร ก็มาดูผลที่ตัวข้าพเจ้า เองซิ เพราะสามารถมองเห็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติตามหลักธรรมของข้าพเจ้า ได้อยู่แล้ว

แล้วเจ้ามีความกล้าใช่ไหม ลองตอบมาซิว่า
การก้าวล่วงอากาศไม่มีสิ้นสุด ฯลฯ ตามหลักของ ฌาน นั้น ทำอย่างไร ทำเป็นนิ่งเงียบ มันก็แค่อวดอุตริเท่านั้นแหละน่า อยากอวดเก่งก็เท่านั้น อิ อิ อิ


แล้วเวลาข้าพเจ้า ถาม ทำไมเจ้าถึงได้ บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมตอบละ ลองตอบคำถามด้านบนมาซิ ทำเป็นอวดอุตริฯ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
โธ่เอ๋ย เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย ปัญญาเจ้าตี้นๆ ไม่มีปัญญาอธิบายอะไรๆ ให้เกิดความเข้าใจได้ดอก ได้แต่พล่ามเพ้อเจ้อ ลอกเอาในตำรามาทั้งดุ้น ไม่ได้รู้เรื่องว่า อันในควรอันไม่ควร
อาจารย์ ผู้แนะนำข้าพเจ้าได้มรณภาพ ไปแล้ว ท่านมีชื่อว่า "พระมหา กมล โชติมันโต" (ถ้าจำไปไม่ผิดนะ) เพราะข้าพเจ้าและใครเรียกท่านสั้นๆว่า "ท่านมหา" เลยจำชื่อไม่ค่อยได้ ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาส วัดสันป่าข่อย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ อยู่ หน้าค่ายกาวิละ ด้านทิศเหนือ ไปสอบถามได้เลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
Buddha เขียน:
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ในกระทู้นี้ ก็ต้องคุยในเรื่องกระทู้นี้
แล้วข้าพเจ้าไปสัญญาอะไรกับเจ้าผู้ใช้ชื่อว่ากรัชกาย ที่ว่าแลกเปลี่ยนกัน
โธ่เอ๋ย เจ้าผู้ใช้ชื่อว่ากรัชกาย เจ้าหลงตัวเองแล้ว เจ้ามีความรู้อะไรที่จะแลกเปลี่ยนกับข้าพเจ้า

ถามวิธี ก้าวล่วงอากาศ ฯลฯ ในเรื่องของ ฌาน เจ้าก็ตอบไม่ได้ ความรู้ของเจ้ามันก็แค่ลอกเรียนแบบเขามา ไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเอง
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ถ้าข้าพเจ้าไม่กล้า ข้าพเจ้าก็ไม่เขียนเรื่อง "จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตามหลักพระอภิธรรมปิฎก"ขึ้นมาดอกนะ
เพราะข้าพเจ้ากล้า เพราะข้าพเจ้ารู้แจ้ง เห็นจริง จึงกล้าเขียน
พวกเจ้ากล้าเขียนกันไหม มีแต่กเขียนแบบอวดอุตริ บ้าง เขียนบิดเบือนบ้าง
เจ้าอยากรุ้ว่า หลักธรรมที่ทำให้ละสังโยชน์ ฯลฯ เป็นอย่างไร ก็มาดูผลที่ตัวข้าพเจ้า เองซิ เพราะสามารถมองเห็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติตามหลักธรรมของข้าพเจ้า ได้อยู่แล้ว

แล้วเจ้ามีความกล้าใช่ไหม ลองตอบมาซิว่า
การก้าวล่วงอากาศไม่มีสิ้นสุด ฯลฯ ตามหลักของ ฌาน นั้น ทำอย่างไร ทำเป็นนิ่งเงียบ มันก็แค่อวดอุตริเท่านั้นแหละน่า อยากอวดเก่งก็เท่านั้น อิ อิ อิ


แล้วเวลาข้าพเจ้า ถาม ทำไมเจ้าถึงได้ บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมตอบละ ลองตอบคำถามด้านบนมาซิ ทำเป็นอวดอุตริฯ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
โธ่เอ๋ย เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย ปัญญาเจ้าตี้นๆ ไม่มีปัญญาอธิบายอะไรๆ ให้เกิดความเข้าใจได้ดอก ได้แต่พล่ามเพ้อเจ้อ ลอกเอาในตำรามาทั้งดุ้น ไม่ได้รู้เรื่องว่า อันในควรอันไม่ควร
อาจารย์ ผู้แนะนำข้าพเจ้าได้มรณภาพ ไปแล้ว ท่านมีชื่อว่า "พระมหา กมล โชติมันโต" (ถ้าจำไปไม่ผิดนะ) เพราะข้าพเจ้าและใครเรียกท่านสั้นๆว่า "ท่านมหา" เลยจำชื่อไม่ค่อยได้ ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาส วัดสันป่าข่อย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ อยู่ หน้าค่ายกาวิละ ด้านทิศเหนือ ไปสอบถามได้เลย


เพิ่มเติมอีกนิดว่า ขณะ ที่ท่านอาจารย์แนะนำข้าพเจ้า ครั้ง หลังสุด (เมื่อประมาณ 37 ปีผ่านมาแล้ว) หน้าพระอุโบสถ ในวัดสันป่าข่อย มีสามเณรหลายรูปร่วมอยู่ด้วย แต่ข้าพเจ้าไม่รู้จักชื่อสามเณรเหล่านั้น และในตอนนั้น ฉัพพรรณรังสีจากหัวใจของข้าพเจ้าก็เปล่งออกมาภายนอกร่างกาย เป็นรัศมีแสงสี แดงส้ม สามเณรหลายรูปเหล่านั้น ยังตกใจด้วยซ้ำไป


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 26 ต.ค. 2009, 14:18, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อาจารย์แนะนำข้าพเจ้า ครั้ง หลังสุด (เมื่อประมาณ 37 ปีผ่านมาแล้ว) หน้าพระอุโบสถ
ในวัดสันป่าข่อย



จะบวชเณรได้ต้องมีอายุ 7 ขวบขึ้นไป แล้ว 37 ปีผ่านมาแล้ว พูดแบบนี้ก็แปลว่า ท่านบวชเณร

ตั้งแต่อายุได้ 3 ขวบ

แล้วเด็ก 3 ขวบจะทำกรรมฐานได้อย่างไร ล้างก้นเองยังไม่เป็นเลยขอรับ อย่าว่าแต่ทำกรรมฐานเลย

อีกทั้งพุทโธก็ยังไม่มีใครสอนใครทำกัน แล้วท่านใช้กรรมฐานอะไร

หรือใช้กสิณ เอองี้ก็พอว่า ใช้กสิณ แล้วท่านใช้กสิณอะไรขอรับ ปฐวีกสิณ อาโปกสิณ

แต่น่าจะเป็นเตโชกสิณมากกว่า เพราะมีฉัพพรรณรังสีแผ่ซ่านออกจากหัวใจด้วย

แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะว่าหัวใจมีหน้าที่สูบฉีดโลหิต ไม่มีหน้าที่เปล่งรัศมีอะไรนี่หน่า

ท่านขี้จุ๊เปล่าขอรับ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร