วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 06:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 11:29
โพสต์: 15

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: หลายหลาก
อายุ: 0
ที่อยู่: ภาคอีสาน

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเรารู้ว่า ผู้ร้าย คือใครเราก็จับ หรือประหารผู้ร้ายให้สิ้นได้ ดังนั้น ขอท่านผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อย อะไรคือสมุทัย จะได้ประหารมัน เราจะได้หมดปัญหาเสียที

.....................................................
..อือ ... อ้อ..


แก้ไขล่าสุดโดย สายอีสานตั้งนิ่ง เมื่อ 07 ต.ค. 2009, 19:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธองค์บอกว่า เหตุของความชั่วทั้งปวง มี ๓ ประการ คือ พอใจ ไม่พอใจ และหลง รวมเรียกว่า อวิชชา ความพอใจ คือ โลภะ ความไม่พอใจ คือ โทสะ หากตามความพอใจไม่พอใจไม่ทัน ปล่อยให้มันบังคับบัญชาเรา ก็เรียกว่าเกิดความหลง คือ โมหะ หรือความไม่รู้เท่าทัน

เหตุ ๓ ประการนี้ เรียกเป็นทางการว่า อกุศลมูลเหตุ หรือเหตุของบาปหรือความชั่วความเลวร้ายทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นกับเรา หากเรารู้ทันพวกมัน พวกนี้ก็จะทำอะไรเราไม่ได้

กุศลมูลเหตุ ๓ ประการ เป็นธรรมที่เป็นอริกับ อกุศลมูลเหตุ ได้แก่ อโลภะ อโทสะ และอโมหะ

ความไม่โลภ คือ การรู้จักการให้ ความไม่ขี้โกรธ หรือความเมตตา และสุดท้ายคือความไม่หลง คือ ปัญญา ที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ

อวิชชาเกิดที่ได้ที่ใหน? อวิชชาเกิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวมๆ เรียกว่า อินทรีย์ ๖ ถ้าจะละก็ละที่นี่ ถ้าจะดับก็ต้องดับที่นี่

จะเอาอะไรไปดับความพอใจ ไม่พอใจ? พระพุทธองค์ตอบว่า จะต้องเอาความเป็นจริงของโลกและชีวิตมาดับอวิชชา อันได้แก่ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มีเกิดขึ้น คงอยู่ แล้วก็ต้องดับไป เป็นทุกข์หรือเป็นเหตุของทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีตัวตนเป็นของตน ทุกอย่างที่เห็น ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยมารวมตัวกันชั่วคราว พร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่ต้องแตกสลายก็ต้องแตกสลาย แม่ร่างกายเรา (ขันธ์ ๕) ก็ไม่เว้น เกิด หนุ่ม แก่ เจ็บ แล้วก็ต้องตาย

เพราะฉะนั้น ให้ระลึกถึงความจริงที่กล่าวมาเสมอ (สัมมาสติ) ให้คิด (สัมมาสังกัปปะ) เห็น (สัมมาทิฏฐิ) ว่า เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส ใจคิดนึก (ผัสสะ อารมณ์) หากเห็นสิ่งที่มากระทบอินทรีย์ ๖ ได้ด้วยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ได้เสมอๆ ในชีวิตประจำวัน วิชชาก็เกิด ปัญญาก็เกิด ความสงบที่มั่นคงแห่งจิต(สัมมาสมาธิ)เพราะจิตมีกิเลสกามน้อยก็จะเกิดตามมา

ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้ ก็คือ การใช้ ปัญญาปหาน โดยปกติ ธรรมนี้จะค่อยๆ ขัดเกลา ใช้ระยะเวลาพอสมควร ดังนั้น ในชีวิตปกติ ต้องพยายามอย่าให้ อกุศลต่างๆ เกิด พระพุทธองค์จึงกำหนดให้ ทำทาน และถือศีล ประกอบไปด้วยเสมอ ... :b8:

ธรรมจักษุ (โสดาปัตติมรรค)
viewtopic.php?f=7&t=25849#

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 08 ต.ค. 2009, 00:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรกำหนดละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรทำใจริญยิ่งๆขึ้นไป
สมุทัยคือความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทาน ละสมุทัยด้วยมรรคมีองค์แปด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องบางเรื่อง แม้เห็นว่าเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ใช้ว่าเห็นแล้วจะดับได้ทันที


การดับเหตุให้เกิดทุกข์ก็มีวิธีการด้วยครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 22:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จริง..

ตอนนี้ก็รู้อยู่โทนโท่..ว่าเพราะอวิชชา

แต่ก็ไม่เห็นมันจะระคายผิวอะไรเลย..แค่การรู้อย่างว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สมุทัย มันมีหลายระดับนะ หลายคำตอบ

ถ้าคำตอบระดับระดับสุตมัย- จินตมัย- ก็ว่าอีกอย่างหนึ่ง เป็นกรอบของวิถีโลก
เช่นปลูกมะม่วง ก็ย่อมได้กินมะม่วง


ถ้าหมายถึงสมุทัยในอริยสัจ มีความหมายเดียว เรื่องเดียว เฉพาะเจาะจงลงไปที่จิตและกริยาของจิต
หลวงปู่ดูลย์ว่า "จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย มีผลเป็นทุกข์"

จิตส่งออกนอกคือจิตที่ขาดสติ ไม่ตั้งมั่น
เป็นจิตที่ก่อกรรม ก่อเหตุ จึงรับวิบาก(ผล) ไม่จบไม่สิ้น เป็นวัฏฏะสงสาร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ต.ค. 2009, 15:01
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้ถึงความทุกข์ของตนย่อมดับทุกข์นั้นได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายอีสานตั้งนิ่ง เขียน:
ถ้าเรารู้ว่า ผู้ร้าย คือใครเราก็จับ หรือประหารผู้ร้ายให้สิ้นได้ ดังนั้น ขอท่านผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อย อะไรคือ[color=#0000FF]สมุทัย[/color] จะได้ประหารมัน เราจะได้หมดปัญหาเสียที


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เมตตคูปัญหาที่ ๔
[๔๒๘] เมตตคูมาณพทูลถามปัญหาว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ ขอ
พระองค์จงตรัสบอกข้อความนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์
ย่อมสำคัญพระองค์ว่าทรงถึงเวท มีจิตอันอบรมแล้ว ความ
ทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกเป็นอันมาก มีมาแล้วแต่
อะไร ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรเมตตคู
ท่านได้ถามเราถึงเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เราจะบอกเหตุ
นั้นแก่ท่านตามที่รู้ ความทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกเป็น
อันมาก ย่อมเกิดเพราะอุปธิเป็นเหตุ ผู้ใดไม่รู้แจ้งย่อมกระทำ
อุปธิ ผู้นั้นเป็นคนเขลา ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆ
เพราะ
ฉะนั้น เมื่อบุคคลมารู้ชัด เห็นชาติว่าเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์
ไม่พึงกระทำอุปธิ ฯ


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๒
ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส
ว่าด้วยปัญหาของท่านเมตตคู

[๑๕๔] คำว่า อุปธิ ในอุเทศว่า "อุปธินิทานา ปภวนฺติ ทุกฺขา" ดังนี้ ได้แก่อุปธิ
๑๐ ประการ คือ
ตัณหูปธิ (ตัณหานั้นแล ชื่อว่าตัณหูปธิ)
ทิฏฐูปธิ (สัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ ฯลฯ)
กิเลสูปธิ(กิเลสมีราคะเป็นต้น)
กัมมูปธิ (กรรมมีบุญเป็นต้น)
ทุจจริตูปธิ(ทุจริต ๓ อย่าง)
อาหารูปธิ (กพฬีการาหารเป็นต้น)
ปฏิฆูปธิ(โทสะและปฏิฆะ)
อุปธิคืออุปาทินนธาตุ ๔ (ธาตุ ๔ มีปฐวีธาตุเป็นต้นที่กรรมถือเอา มีกรรมเป็นสมุฏฐาน)
อุปธิคืออายตนะภายใน ๖ (อายตนะภายใน ๖ มีจักขวายตนะเป็นต้น
อุปธิคือหมวดวิญญาณ ๖ (หมวดวิญญาณ ๖ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น)

ทุกข์แม้ทั้งหมด(ทุกข์แม้ทั้งหมดอันเป็นไปในภูมิ ๓)ก็เป็นอุปธิ เพราะอรรถว่า ยากที่จะทนได้ เหล่านี้เรียกว่าอุปธิ ๑๐.
คำว่า ทุกฺขา คือชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ ฯลฯ ไม่มีอะไรเป็นสรณะ
ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เหล่านี้เรียกว่าทุกข์.

ทุกข์เหล่านี้มีอุปธิเป็นนิทาน มีอุปธิเป็นเหตุ มีอุปธิ
เป็นปัจจัย มีอุปธิเป็นการณ์ ย่อมมี ย่อมเป็น เกิดขึ้น เกิดพร้อม บังเกิด ปรากฏ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทุกข์ทั้งหลาย มีอุปธิเป็นเหตุย่อมเกิดขึ้น.

(อุปธิ หมายถึง สภาพทีทรงไว้ซึ่งทุกข์)

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายอีสานตั้งนิ่ง เขียน:
ถ้าเรารู้ว่า ผู้ร้าย คือใครเราก็จับ หรือประหารผู้ร้ายให้สิ้นได้ ดังนั้น ขอท่านผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อย อะไรคือสมุทัย จะได้ประหารมัน เราจะได้หมดปัญหาเสียที


อะไรเป็นสาเหตุทำให้เกิด ผู้ร้าย ล่ะครับ

ถ้ารู้ ก็ประหาร ซะ ผู้ร้ายจะได้หมด :b55:

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเหตุเกิดทุกข์ ที่หมายถึง ทุกขสัจจ์ ก็คือ ตัณหา

ถ้าเหตุเกิดทุกข์ ที่หมายถึงทุกขเวทนา ก็คือ ผัสสะ

ถ้าเหตุเกิดทุกข์ ที่หมายถึง ทุกขลักษณะ ก็คือ อนิจจัง


ทุกขสัจจ์ เกิดจาก ตัณหา
ทุกขเวทนา เกิดจาก ผัสสะ
ทุกขลักษณะ เกิดจาก อนิจจัง


แต่โดยมากคนเรามักสำคัญ เอาทุกขเวทนา มาเป็นทุกขสัจจ์
และเมื่อสำคัญว่า ทุกขเวทนามาเป็นทุกขสัจจ์แล้ว
ก็ยังเอา สมุทยอริยสัจจ์ มาเป็นเหตุ ของการเกิดทุกขเวทนาซะอีก


ทุกขสัจจ์ คือตัวญาณทัสสะ ซึ่งเป็นผลสำเร็จอันเกิดจากการตามเพ่งศึกษาขันธ์ทั้ง5
และรูปธรรมนามธรรมทั้งปวง จนสามารถรู้แจ้งถึงธรรมชาติตามที่เป็นจริง ของขันธ์
เมื่อรู้แจ้งขันธ์5 ครบถ้วน ก็เรียกว่ารู้แจ้งทุกข์ หรือรู้แจ้งโลก

พ้นไปจากขันธ์5 ก็เรียกว่าพ้นจากทุกข์ ขันธ์5ถึงกาลดับได้สนิท ก็เรียกว่า ดับทุกข์
สิ้นชาติ สิ้นเกิดตาย

และความหมาย ที่ตัณหาเป็นเหตุเกิดทุกข์ ที่แท้จริงมีเพียงความหมายเดียวคือ
ตัณหา เป็นเหตุทำให้เกิดชาติ เป็นนายช่างก่อเรือนแห่งชาติภพ จึงเรียกตัณหาว่า
เป็น เหตุเกิดทุกข์ หรือเหตุแห่งการเกิดชาตินั่นเอง

เมื่อสิ้นตัณหา ก็สิ้นสิ่งที่จะเป็นเหตุแห่งการสร้างชาติ จึงทำให้ทุกข์สิ้นไป

ทุกขสัจจ์จึงไม่ใช่ความรู้สึกทุกข์ แต่เป็นตัวความรู้ที่อยู่ในรูปของสัจจธรรม ซึ่งเป็นตัว
ญาณทัสสนะ สามารถหยั่งรู้ได้ด้วย ระบบวิปัสสนา จัดเป็นตัวปัญญาที่ต้องอบรมให้เกิด

ทุกขเวทนา คือ ความรู้สึกทุกข์ ที่คนเรารู้สึกกันอยู่ สามารถเกิดได้จากผัสสะ
และดับลงตามผัสสะ ทุกขเวทนาเป็นสิ่งเกิดดับ แต่ทุกขสัจจ์เป็นสัจจธรรม
ที่ทรงอยู่แล้วตลอดเวลานาที รอผู้มีปัญญาเข้าไปหยั่งรู้ ไม่ใช่สิ่งเกิด และดับ


ส่วนทุกขลักษณะ ก็เป็นสิ่งที่ต้องรู้ด้วยปัญญา ไม่ใช่สิ่งที่รู้ได้ด้วยความรู้สึก
ทุกขลักษณะเป็นลักษณะที่ประจำอยู่กับทุกสิ่งที่ไม่เที่ยง เมื่อมองเห็นความไ่ม่เที่ยงด้วยการสังเกตุ
โดยแยบคายแล้ว ก็สามารถมองเห็นทุกขลักษณะประจำอยู่ในสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นด้วย

การเห็นทุกขลักษณะอย่างแก่กล้าด้วยปัญญา จะส่งผลให้ก้าวเข้าไปรู้ ทุกขสัจจ์ได้

แต่การรู้สึกต่อทุกขเวทนา หากปราศจากความรู้ทั่วถึง ก็สามารถทำให้บุคคล
เกิด ตัณหาได้

ในกรณีย์นี้ ทุกขเวทนา เป็นเหตุให้เกิดตัณหา

แต่คนหลายคน กลับสำคัญว่า ตัณหา ทำให้เกิด ทุกขเวทนา


และโดยความเป็นจริง ไม่มีทางที่ใครจะรู้ได้ว่าตัณหา เป็นเหตุเกิดทุกข์
นอกจาก ผู้ที่สามารถ สาวเข้าไปถึงระบบของขันธ์ ว่ามีธรรมชาติอย่างไร
เกิดอย่างไร ดับอย่างไร และเมื่อต้องการค้นต่อไปว่า ขันธ์5 มันจะสืบต่อ
ได้ด้วยอาการอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ขันธ์จึงมีการสืบต่อ

ด้วยความรู้แจ่มแจ้งในขันธ์5 และการตามพิจารณาโดยแยบคาย จึงทำให้พบ
กลไกความลับทางธรรมชาติชีวิตนี้ว่า ตัณหานี่เอง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้
ขันธ์5 มีการสืบต่อไม่จบสิ้น การพบความรู้ในข้อนี้ เรียกว่า รู้แจ้ง เหตุเกิดทุกข์
ซึ่งก็คือ ได้พบคำตอบว่า ตัณหานี่เองเป็นเหตุเกิดทุกข์ เป็นตัวก่อภพ ชาติ

การรู้ว่าตัณหาเป็นเหตุเกิดทุกข์ จริงแล้วก็คือการเข้าถึงคำตอบที่แท้จริงแล้ว
ซึ่งการเข้าถึงความรู้แจ้งว่าตัณหาเป็นเหตุเกิดทุกข์ ก็คือญาณทัสสะตัวหนึ่ง

และการที่คนทั่วไปที่ยังไม่รู้แจ้งขันธ์5 แต่มารู้ว่าตัณหาเป็นเหตุเกิดทุกข์ โดยมากจะรู้ตาม
คลองแห่งหลักวิชา แล้วเอามาผสมกับทุกขเวทนาก็มีอยู่มาก


การถอนทำลายตัณหาที่แท้จริง ไม่ใช่มานั่งสู้ กับตัณหา
แต่เมื่อรู้แจ้งต่อทุกขสัจจ์ ตัณหาก็จะสิ้นเอง

เพราะตัณหา จะสิ้นไปเอง เมื่อรู้ชอบ

เมื่อความรู้ชอบเกิด นิพพิธา วิราคะ วิมุตติ ก็ตามมาเป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง

มีพระอรหันต์หลายท่าน ที่หลุดพ้น เมื่อฟังธรรมจบ หรือพิจารณาไคร่ครวญธรรม
แล้วหลุดพ้น ไม่เห็นต้องไปนั่งตีกับตัณหาเลย


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย บัวศกล เมื่อ 08 ต.ค. 2009, 23:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2009, 09:06
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


-สมุทัย หมายถึง เหตุแห่งทุกข์
-เหตุแห่งทุกข์ คือ กิเลส
-กิเลส มี 3 ตัว คือ โลภะ คือ ความยาก, โทสะ คือ ความโกรธ, โมหะ คือ ความหลงหรือความไม่รู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ เรากำหนดรู้
เหตุให้เกิดทุกข์เป็นสิ่งที่ควรละ เราละ
ความดับทุกข์เป็นสิ่งที่ควรทำให้เข้าใจแจ่มแจ้ง เราทำให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
ทางเข้าถึงซึ่งความดับทุกข์เป็นสิ่งที่ควรเจริญ เราเจริญ....เหตุให้เกิดทุกข์จึงจะดับด้วยการปฏิบัติอย่างนี้





ความโศกทั้งหลาย
ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท
เป็นมุนีผู้ศึกษาในทางแห่งมโนปฏิบัติ ผู้คงที่
สงบระงับแล้วมีสติในกาลทุกเมื่อ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2009, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 11:29
โพสต์: 15

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: หลายหลาก
อายุ: 0
ที่อยู่: ภาคอีสาน

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกคำแนะนำครับ

.....................................................
..อือ ... อ้อ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2009, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ตน

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2009, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




b15.jpg
b15.jpg [ 48.46 KiB | เปิดดู 6253 ครั้ง ]
tongue สวัสดีครับคุณสายอีสานตั้งนิ่ง คุณนี่เป็นคนฉลาดถามจริงๆ มาลองภูมิชาวลานธรรมจักรใช่ใหมครับ

สมุทัย เหตุทุกข์ ในอริยสัจ 4 นั้น ท่านกล่าวไว่ว่า "ตัณหา" ตัณหา ควรละ

ในปฏิบัติการนั้น เราจะต้องใช้ สติ ปัญญาค้นคว้าเข้าไปอีกจึงจะพบตัวหัวหน้าผู้ก่อการร้าย

การใช้สติ ปัญญา ค้นคว้าเข้าไปในกายและจิตนั้น ท่านเรียกว่า "วิปัสสนาภาวนา" ซึ่งก็คือการเจริญมรรค ทั้ง8 ประการนั้นเอง


สติ จะเป็นตัวรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ การค้นคว้าที่ถูกต้องจะต้องกระทำที่ปัจจุบันอารมณ์

ปัญญาสัมมาทิฐิ จะเป็นผู้ เห็น ดู และ รู้

ปัญญาสัมมาสังกัปปะ จะเป็นผู้ สังเกต พิจารณา ค้นคว้า หาเหตุ หาผล

ศีลมรรค 3 ข้อ จะเป็นฐานรองรับ เหมือนแผ่นดิน หรือ ทางที่จะเดินไป

สมาธิมรรค 3 ข้อ จะเป็นกองหนุนของปัญญา

เวลาจะทำงาน ปัญญาสัมมาสังกัปปะ จะมาคิด ตั้งคำถามว่า ตัณหาแปลว่าอะไร ตอบ ตัณหา แปลว่า อยาก
สังกัปปะต่อไปว่า ใครอยาก ตอบ อัตตา ฉัน กู นั่นแหละ อยาก
สังกัปปะต่อว่า อัตตา กู เป็นใคร เป็นอะไร
อัตตา กู เป็นความเห็นผิด (มิจฉาทิฐิ) อัตตา กู ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงอุปาทาน ความยึดไว้ในจิต แต่มันยึดมั่นมานาน ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ แต่มันเห็นผิด ยึดมานาน นับชาติไม่ถ้วน
ชาตินี้ใครโชคดีได้พบกัลยาณมิตร ได้พบ ได้รู้ข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงจะได้พบวิธีสลายความเห็นผิด ว่าเป็น อัตตา ตัวกู ของกู นี้


ความเห็นผิดมาจากใหน สัมมาสังกัปปะทำงานต่อ

ความเห็นผิดมาจาก โมหะ อวิชชา ความไม่รู้ เพราะไม่รู้ จึงเห็นผิด ครับ

วิธีเอาสมุทัยออก ต้องเจริญวิปัสสนาภาวนา ทำหน้าที่ชาวพุทธให้ถึงพร้อม

มีอาจารย์ท่านหนึ่งสรุปให้ลูกศิษย์ท่องจำว่า

*******งานและหน้าที่ของชาวพุทธ :b27:
ละความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา
ตัวกู ของกู
พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู
ทุกวัน เวลา นาฑี วินาฑี ที่ระลึกได้
และมีโอกาส


********* :b41: หัวใจวิปัสสนาภาวนา
ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา
ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย ถ้าสู้ได้
ทนได้ ไม่ตะบอย กู จะถอยหรือตายดับ ไปจากใจ

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 124 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร