ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=26085
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  murano [ 06 ต.ค. 2009, 19:48 ]
หัวข้อกระทู้:  ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

รู้มาว่า มโนยิทธิ คือการจำลองรูปกายขึ้นมาอีกหนึ่งในสมาธิ แต่ทีนี้ยังติดใจว่า ทำไปเพื่ออะไร เลยอยากขอความเห็นหน่อย...

ปล. ไม่เอามโนยิทธิแบบนิมิตความฝันนะ เอาแบบตามหลักพุทธจริงๆ

เจ้าของ:  walaiporn [ 06 ต.ค. 2009, 20:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา


กสิณก็จัดว่าเป็น มโนยิทธิ ไม่ใช่หรือคะท่านฤาษี :b8:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 06 ต.ค. 2009, 20:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

murano เขียน:
รู้มาว่า มโนยิทธิ คือการจำลองรูปกายขึ้นมาอีกหนึ่งในสมาธิ

ปล. ไม่เอามโนยิทธิแบบนิมิตความฝันนะ เอาแบบตามหลักพุทธจริงๆ


มโนยิทธิ รู้แค่ระดับสัญญา... :b7:

กบน้อย..รอชม..ดีกว่า..

รอชมของระดับ..ปัญญา

:b12: :b12: :b12: :b12:

เจ้าของ:  มหาราชันย์ [ 06 ต.ค. 2009, 22:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

สวัสดีครับ

เพื่อฝึกอำนาจแห่งการอธิษฐานให้สำเร็จตามต้องการโดยใช้รูปฌาน ๔ เป็นบาทครับครับ


รูปฌาน ๔
[๑๒๗] เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น. เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้องดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือลูกมือพนักงานสรงสนานผู้ฉลาด จะพึงใส่จุรณ์สีตัวลงในภาชนะสำริด แล้วพรมด้วยน้ำ หมักไว้ ตกเวลาเย็นก้อนจุรณ์สีตัวซึ่งยางซึมไปจับติดกันทั่วทั้งหมด ย่อมไม่กระจายออก ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า
ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

[๑๒๘] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก วิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอทำกายนี้แหละ ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่าน ด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง. ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนห้วงน้ำลึกมีน้ำปั่นป่วน ไม่มีทางที่น้ำจะไหลมาได้ ทั้งในด้านตะวันออกด้านใต้ ด้านตะวันตก ด้านเหนือ ทั้งฝนก็ไม่ตกเพิ่มตามฤดูกาล แต่สายน้ำเย็นพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้นแล้ว จะพึงทำห้วงน้ำนั้นแหละให้ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็น ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งห้วงน้ำนั้นทั้งหมด ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้องฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

[๑๒๙] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอทำกายนี้ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุขอันปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตรเปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว บางเหล่าซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ดอกบัวเหล่านั้น ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็นตลอดยอด ตลอดเง่า ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ทั่วทุกส่วน ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศ
ไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

[๑๓๐] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงนั่งคลุมตัวตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายทุกๆ ส่วนของเขาที่ผ้าขาวจะไม่ถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

วิชชา ๘
วิปัสสนาญาณ
[๑๓๑] ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสนะ ๑- เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูปประกอบด้วยมหาภูต ๒- ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสดไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดาและวิญญาณของเรานี้ ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลืองแดงขาวหรือนวลร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้นวางไว้ในมือแล้วพิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลืองแดงขาวหรือนวลร้อยอยู่ในแก้วไพฑูรย์นั้นฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แลมีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

(@๑. ญาณทัสสนะ เป็นชื่อของญาณชั้นสูง คือมรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญุตญาณ ปัจจเวกขณญาณ และวิปัสสนาญาณ ฯ @๒. ได้แก่ธาตุ ๔ คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ฯ )




มโนมยิทธิญาณ
[๑๓๒] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิต รูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเองอีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่งก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.




เจริญในธรรมครับ

เจ้าของ:  ศิรัสพล [ 07 ต.ค. 2009, 09:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

อ้างคำพูด:
รู้มาว่า มโนยิทธิ คือการจำลองรูปกายขึ้นมาอีกหนึ่งในสมาธิ แต่ทีนี้ยังติดใจว่า ทำไปเพื่ออะไร เลยอยากขอความเห็นหน่อย...


ขอแสดงความเห็นดังนี้

มโนมยิทธิที่เป็นของจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ที่มีเพื่อนกัลยาณมิตรได้ยกพระสูตรมาแสดงไปแล้วนั้น จะทำให้เห็นว่ามโนมยิทธิคืออะไร แต่ประเด็นว่าทำไปเพื่ออะไร จะขอตอบเท่าที่เห็นว่าพอจะได้ประโยชน์ทางธรรม หรือประโยชน์แก่ผู้อื่นบางส่วนดังนี้

๑) เป็นเครื่องใช้วัดระดับสมาธิประการหนึ่ง ว่าสามารถได้จตุถฌานแล้วจริงหรือไม่

๒) สามารถนิรมิตรกายอื่น นอกจากกายนี้ เพื่อช่วยในการเจริญวิปัสสนา โดยให้มาปรากฏตรงหน้า ทำอิริยาบถใดๆ ทำให้เห็นว่าร่างกายเราเป็นอย่างไร ดุจดังได้ส่องกระจก จากนั้นทำให้แสดงอวัยวะต่างๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ให้ปรากฏ และทำให้เห็นลักษณะการแก่ เจ็บ ตายไปของผู้ปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นในทันทีได้

๓) สามารถนิรมิตรกายอื่น นอกจากกายนี้ เพื่อมาถามตอบปัญหาทางธรรมกับตนเองได้ ในปัญหาที่ไม่มีใครสามารถตั้งคำถามขึ้นมาได้ ดั่งพระพุทธนิรมิตรที่พระพุทธเจ้าทรงนิรมิตรขึ้นมาเพื่อถาม-ตอบกับพระองค์เองในคำถามระดับพระพุทธเจ้าเท่านั้นถึงจะคิดตั้งขึ้นมาได้ แม้พระสารีบุตรก็คิดขึ้นถามไม่ได้

๔) สามารถนิรมิตรกายอื่น นอกจากกายนี้ เพื่อไปให้คำแนะนำ อบรมสั่งสอน ผู้ที่ติดขัดในการปฏิบัติ ดุจดังพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปให้คำแนะนำพระโมคคัลลานะที่ง่วงโงกอยู่ ให้รู้วิธีแก้ความง่วง สามารถปฏิบัติได้ต่อเนื่องไปได้อย่างดี

๕) สามารถนิรมิตรกายอื่น นอกจากกายนี้ เพื่อไปใช้ช่วยประกาศพระศาสนาได้ หรือช่วยเสริมศรัทธา เลื่อมใสแก่ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสได้ ดุจดังพระพุทธเจ้าทรงใช้ในสมัยพุทธกาลอยู่หลายครั้ง

๖) สามารถนิรมิตรกายอื่น นอกจากกายนี้ เพื่อไปหาข้อมูลทางธรรมต่างๆ หลักฐานทางเรื่องกฏแห่งกรรม และวิบากต่างๆ ในสถานที่อันคนไม่มีอภิญญาไปไม่ได้ ดุจดังพระโมคคัลลานะไปยังสวรรค์ชั้นต่างๆ หรือภพภูมิต่างๆ นอกจากมนุษย์ภูมิ เพื่อถามกรรมและผลของกรรม

เจ้าของ:  เอรากอน [ 07 ต.ค. 2009, 10:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

:b12: :b12: :b12: :b12:

จะกินกบ

:b12: :b12: :b12: :b12:

เจ้าของ:  จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ [ 07 ต.ค. 2009, 13:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

murano เขียน:
รู้มาว่า มโนยิทธิ คือการจำลองรูปกายขึ้นมาอีกหนึ่งในสมาธิ แต่ทีนี้ยังติดใจว่า ทำไปเพื่ออะไร เลยอยากขอความเห็นหน่อย...

ปล. ไม่เอามโนยิทธิแบบนิมิตความฝันนะ เอาแบบตามหลักพุทธจริงๆ


สิ่งที่คุณรู้มานั้น ยังไม่ถูกต้องทั้งหมด
ความจริงแล้ว คำว่า มโนยิทธิ หมายถึง การมีฤทธิ์ทางใจ ไม่ได้มีความหมาย เพียงแค่ เนรมิตกายอื่นนอกจากกายเดิม หรือจะเรียกว่า แยกร่าง อวตาร ก็ได้
แต่คำว่า มโนยิทธิ หมายถึง การมีฤทธิ์ ได้ทุกอย่างตามแต่จะปรารถนา ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ คือ ญาณ อันนับเข้าในวิปัสสนา
ส่วนการแยกร่าง อวตาร หรือ การเนรมิตกายอื่นนอกจากกายเดิม นั้นจัดอยู่ในข้อ " รู้จักกำหนดจุติดับและเกิด"

แล้วที่ถามว่าการแยกร่างทำไปเพื่ออะไรนั้น จะไม่ตอบตามตรง แต่จะอธิบายให้ได้เข้าใจพอสังเขปว่า
การรู้จักกำหนดจุติดับและเกิด นั้น มีความหมายกว้าง นับตั้งแต่การรู้จักกำหนดจุติดับและเกิดขั้นพื้นฐาน คือ รู้จักกำหนดจุติดับ กิเลส และอาสวะแห่งกิเลส และเกิดความบริสุทธิ์สะอาดแห่งจิต จนไปถึง รู้จักกำหนดจุติดับและเกิด แห่งขันธ์ทั้งหลาย สามารถใช้ดวงจิต หรือจิตวิญญาณ เพียงดวงเดียว กำหนดจุติดับจากภายในร่างกาย ให้เคลื่อนออกมาเกิด ภายนอกร่างกาย และกำหนดจุติดับจากจิต หรือจิตวิญญาณเพียงเดียว ให้เกิด เป็นร่างกายเต็มภายนอกร่างกายเดิมได้ ถ้าคุณทำได้ คุณก็จะรู้จักวิธีใช้เอง ว่ามีประโยชน์มากน้อย เพียงใด
ที่สำคัญ ข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนสอนหรือธิบายไป มิใช่เป็นการอวดอุตริฯ นะขอรับ

เจ้าของ:  murano [ 07 ต.ค. 2009, 21:06 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

แต๊งๆ ทุกท่าน... ยกเว้นไอ้ตัวข้างบนนี่

ไปก๊อปจากเว็บพลังจิตมา
อ้างคำพูด:
โอ๊ย ๆ........โทรไปหัวเราะท้องแข็ง.....ไม่เชื่อลองโทรไปครับส.อ.เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์มือถือ 0813667367แก บอกแกไปรบมา แล้ววิ่งหนีข้าศึกสะดุดขาตัวเองล้ม หน้าไปโดนกองขี้ควายกองเบ่อเล่อ เลยทำให้มองไม่เห็นทางโดนข้าศึกชายแดนจับได้ เอยจับไปมัดไว้กับต้นไม้ถูกแก้ผ้าเอารังมดแดงมาเคาะ แต่หนีมาได้ แต่ก็เพี้ยนมาจนบัดนี้แหละ เฮ้อ.....หัวเราะท้องแข็งเลยเรา ผมก็เลยบอกว่าอย่าไปอ้างตัว เป็นพระศรี มันบาป นะ ก็บอกแกไป แต่แกบอกว่านั่นมันในเวบ ไม่ช่ายตัวจริงแค่สวมบทบาทเท่านั้นเอง ผมเลยบอกว่า มันก็บาปเหมือนกันนะ แกยินดีรับทุกสายครับ โทรไปได้เลย

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 07 ต.ค. 2009, 21:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

เอรากอน เขียน:
:b12: :b12: :b12: :b12:

จะกินกบ

:b12: :b12: :b12: :b12:


แม่ตุ๊กแกน้อยกลอยใจ..จ้างให้ก็ไล่ไม่ทัน..

..โอ๊บ..ๆ..โอ๊บ..ๆ

:b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12:

เจ้าของ:  มหาราชันย์ [ 08 ต.ค. 2009, 09:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

พระจุลปัณถกะเถระที่เป็นเลิศด้านมโนมยิทธิ เป็นเลิศเพราะเจริญมัคคภาวนาบทนี้ครับ


ราคะเรากล่าวว่าเป็นธุลี
มิได้กล่าวละอองว่าเป็นธุลี
ธุลีเป็นชื่อของราคะ
บัณฑิตทั้งหลายละธุลีนี้แล้ว
ย่อมเจริญอยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี

โทสะเรากล่าวว่าเป็นธุลี
มิได้กล่าวละอองว่าเป็นธุลี
ธุลีเป็นชื่อของโทสะ
บัณฑิตทั้งหลายละธุลีนี้แล้ว
ย่อมเจริญอยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี

โมหะเรากล่าวว่าเป็นธุลี
มิได้กล่าวละอองว่าเป็นธุลี
ธุลีเป็นชื่อของโมหะ
บัณฑิตทั้งหลายละธุลีนี้แล้ว
ย่อมเจริญอยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี



ใครที่สนใจเรื่องมโนมยิทธิลองเจริญมัคคภาวนาตามพระจุลปัณถกะเถระดูนะครับ



เจริญในธรรมครับ


ไฟล์แนป:
0001.jpg
0001.jpg [ 40.91 KiB | เปิดดู 4086 ครั้ง ]

เจ้าของ:  natdanai [ 15 ต.ค. 2009, 15:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

แล้วท่านกรัชกายไม่สนใจจะสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องนี้บ้างหรือครับ :b32: :b32:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 15 ต.ค. 2009, 22:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ขอความเห็นเรื่อง มโนมยิทธิ ตามหลักพุทธศาสนา

มหาราชันย์ เขียน:
พระจุลปัณถกะเถระที่เป็นเลิศด้านมโนมยิทธิ เป็นเลิศเพราะเจริญมัคคภาวนาบทนี้ครับ

................................................

ใครที่สนใจเรื่องมโนมยิทธิลองเจริญมัคคภาวนาตามพระจุลปัณถกะเถระดูนะครับ


เจริญในธรรมครับ


ล้อเล่นน่า...เหตุของใคร..ก็เป็นปัจจัยของคนคนนั้น..

ทำอย่างเดียวกัน..ผลอาจไม่เหมือนกัน..แม้จะเหมือนกันแต่ก็ไม่..เสมอกัน..

เหตุเพราะท่านจุลปัณถกะเถระเคยทำมา..ได้อนิจลักษณ์สัญญา..เมื่อครั้งเกิดเป็นกษัตริย์..ไปไถ่นา..แล้วเอาผ้าเช็ดเหงื่อ..แล้วเห็นผ้าที่เคยสะอาดเปื่อยเหงื่อ..ได้พิจารณาผ้าที่เปื่อนนั้น..แล้วได้อนิจลักษณ์สัญญา..

พระพุทธองค์หยั่งทราบด้วยพระญาณ..จึงสอนพระจุลปัณถก..พิจารณาผ้าเปื่อนขี้ไคล..ก็ไปต่อยอดในสิ่งที่เคยได้..เคยมี..ฆ่ากิเลสได้แล้วก็บรรลุสู่ความเป็นพระอรหันต์..คุณสมบัติที่ตัวเองเคยทำได้ในอดีตกาลยาวนานแค่ไหนก็ปรากฎขึ้นกับตัวท่าน..โดยที่ท่านไม่ต้องฝึกอีกเลย

นี้คือเหตุปัจจัยของท่าน..ท่านทำมา..
และ..อื่น ๆ อีก..เช่น

ปัจจัยที่ทำให้ท่าน..แยกร่างได้..เพราะเหตุ..ที่ท่านปรารถณาจะเป็นอย่าง..พระเอกคัตถะด้านนี้สมัยพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง

ปัจจัยที่ทำให้ท่าน..ท่องอะไรก็ไม่จำ..เพราะเหตุ..ที่อดีตกาลท่านฉลาดแต่เคยเย้ยหยั่นผู้อื่นที่ท่องมนต์อะไรก็ไม่ได้

ก็อย่างที่คนโบราณนามมาว่าใว้..

แข่งเรือแข่งพาย..แข่งอะไรก็แข่งได้..แต่แข่งวาสนาบารมี..แข่งไม่ได้

จริง..เพราะ..เหตุปัจจัยนี้เอง

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/