วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 12:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2009, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อรู้ก็รู้ เมื่อไม่รู้ก็ไม่รู้ เมื่อยังสังสัยก็-

สงสัย เมื่อรู้เพิ่มขึ้นก็เพิ่มขึ้น เป็นผู้ที่ตรงจริงๆต่อสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่หลอกตัวเอง

เมื่อไม่รู้แล้วก็จะไปบอกว่ารู้หมดแล้ว อย่างนั้นไม่ใช่ผู้ที่ตรงต่อธรรม ไม่ใช่ผู้ที่จะขัด-

เกลาหรือละกิเลสได้ แต่ผู้ที่จะขัดเกลาหรือผู้ที่จะละกิเลสได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรง

จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ไปรู้อื่นด้วย ถ้าจะไม่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่

กำลังปรากฏตามปกติจะไปรู้อื่น นั่นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม คือ ไม่เจริญหนทาง

ที่จะให้ละการยึดถือนามธรรม และรูปธรรมตามปกติ เป็นเรื่องที่ต้องเจริญ ต้องอบรม

ต่อไปอีก จนกว่าจะเป็นปัญญาจริงๆ รู้จริงๆ ละได้จริงๆ แต่เป็นปัญญาจริงๆ ไม่

ใช่หลอกๆ ไม่ใช่ไม่รู้ แล้วคิดว่ารู้

ตามนัยของพระธรรม สัมมาสติ จำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆ เป็น ๒ ระดับ คือ

ระดับโลกียะ ๑ ระดับโลกุตตระ ๑ ระดับโลกียะก็มีหลายระดับ ตั้งแต่ขั้นทาน

ศีล ภาวนา แม้ขั้นภาวนาสัมมาสติ มีตั้งแต่ขั้นเริ่มอบรม ขั้นเริ่มมีกำลัง และขั้น

ที่มีกำลังมาก ความไม่ประมาท หมายความถึง ขณะที่มีสติ เป็นกุศล

และสติของปุถุชนหรือของพระอริยะก็หมายถึงสติเจตสิก แต่ความละเอียดของ

สติของพระอริยเจ้าย่อมต่างจากปุถุชน เพราะปัญญาของท่านมีกำลังมากกว่า



เทวดาทูลถามว่า


เมื่ออะไร เกิดขึ้น โลกจึงเกิด

โลก ชมเชยอะไร ยึดถืออะไร

โลกย่อมเดือดร้อน เพราะอะไร.


พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสตอบว่า


เมื่ออยาตนะ ๖ เกิด โลกจึงเกิด

โลก ย่อมชมเชยในอายตนะ ๖

โลก ยึดถืออายตะ ๖

โลก ย่อมเดือดร้อนเพราะอายตนะ ๖.







เทวดาทูลถามว่า


กระท่อมของพระองค์ ไม่มีหรือ

รังของพระองค์ ไม่มีหรือ

เครื่องสืบต่อของพระองค์ ไม่มีหรือ

พระองค์ เป็นผู้พ้นจากเครื่องผูกแล้วหรือ.


พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสตอบว่า


แน่ละ กระท่อมของเราไม่มี

รังของเรา ไม่มี

เครื่องสืบต่อของเรา ไม่มี

เรา เป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกทั้งปวง.


เทวดาทูลถามว่า


อะไร เป็นกระท่อม

อะไร เป็นรัง

อะไร เป็นเครื่องสืบต่อ

อะไร เป็นเครื่องผูก.


พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสตอบว่า


มารดา เป็นกระท่อม

ภรรยา เป็นรัง

บุตร เป็นเครื่องสืบต่อ

และ

ตัณหา เป็นเครื่องผูก.







เทวดา กราบทูลว่า


ชีวิต คือ อายุ มีประมาณน้อย.....ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย

เมื่อบุคคล ถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน

บุคคล เมื่อเห็นภัยนี้......ในมรณะ

พึงทำบุญทั้งหลาย ที่นำสุขมาให้.




พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า


ชีวิต คือ อายุ มีประมาณน้อย

เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน

บุคคล เมื่อเห็นภัยนี้.....ในมรณะ

พึงละอามิส อันเป็นเครื่องล่อให้ติดอยู่ในโลก เสีย

พึงมุ่งแต่สันติ เถิด.







เทวดาทูลถามว่า


อะไร ยังประโยชน์ให้สำเร็จ จนกระทั่งชรา

อะไร ตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ

อะไร เป็นรัตนะของคนทั้งหลาย.



พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสตอบว่า


ศีล

ยังประโยชน์ให้สำเร็จ จนกระทั่งชรา


ศรัทธา

ตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ


ปัญญา

เป็นรัตนะ ของคนทั้งหลาย.

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า


ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์...เป็นการยาก

ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย............เป็นอยู่ยาก

การได้ฟังพระสัทธรรม.........เป็นของยาก

การอุบัติขึ้น.....แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

เป็นการยากยิ่ง.







พระผู้มีพระภาคฯ ตรัส ธรรม ๘ ประการ

ที่น่าอภิรมย์ของภิกษุ ว่า


๑. พระธรรมวินัยนี้

มีการศึกษา เป็นไปตามลำดับ

มีการปฏิบัติ เป็นไปตามลำดับ

มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตโดยตรงทีเดียว.

.

๒. ในธรรมวินัยนี้

สาวก ไม่ล่วงสิขาบทที่บัญญัติไว้

แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.

.

๓. ในธรรมวินัยนี้

สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลผู้ทุศีล ฯ

.

๔. บุคคล ผู้ออกบวชเป็นบรรพชิต

ย่อมละนามและโคตรเดิม ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ แพศย์ ศูทร

ธรรมวินัยนี้ นับว่าเป็นสมณศากยบุตรเสมอกันทั้งนั้น.

.

๕. แม้ภิกษุเป็นอันมาก

จะปรินิพพานด้วยสอุปาทิเสสนิพพาน หรือ อนุปาทิเสสนิพพาน

นิพพานธาตุ ก็มิได้ปรากฏว่า จะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น.

.

๖. ธรรมวินัย มีรสเดียว คือ วิมุตติรส.

.

๗. ในธรรมวินัยนี้ มีรัตนะมากมาย

คือ

สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔

อินทรีย์ ๕ โพชฌงค์ ๗

และ อริยมรรคมีองค์ ๘.

.

๘. ธรรมวินัยนี้

เป็นที่พำนักอาศัยของบุคคลเหล่านี้

คือ


พระโสดาบัน

ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่ง โสดาปัตติผล

.

พระสกทาคามี

ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่ง สกทาคามิผล

.

พระอนาคามี

ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่ง อนาคามิผล

.

พระอรหันต์

ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่ง อรหัตตผล.







พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า

ดูก่อน เมฆิยะ

ผู้มีใจยังม่หลุดพ้นจากอาสวะ

ควรแสวงหาธรรม ๕ ประการก่อน

คือ


ต้องมีมิตรดี ๑

.

เป็นผู้มีศีล

สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์

ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร

มีปกติเห็นภัยในโทษ แม้มีประมาณน้อย ๑

.

มีความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม

เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม ๑

.

เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา

และพิจารณาความเกิด และ ความดับ ๑

.

ชำแรกกิเลส

ให้ถึงความสิ้นทุกข์ โดยชอบ ๑


.


ผู้มีปัญญา พึงทำจิตที่ดิ้นรน กลับกลอก

รักษาได้ยาก ห้ามได้ยาก

ให้ตรง เหมือนช่างดัดลูกศร ฉะนั้น.







พระผู้มีพระภาคฯ

ตรัส "กถาวัตถุ" คือ เรื่องที่ควรพูด ๑๐ ประการ ว่า



ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย ๑

.

ชักนำให้สันโดษ ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ๑

.

ชักนำให้เกิดความสงบ ๑

.

ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่คณะ ๑

.

ชักนำให้ปรารภความเพียร ๑

.

ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล ๑

.

ชักนำให้มีจิตตั้งมั่น ๑

.

ชักนำให้เกิดปัญญา ๑

.

ชักนำให้ยินดีในการหลุดพ้นจากกิเลส ๑

.

ชักนำให้เกิดความรู้ถึงผลดีของการละกิเลส ๑







พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสสอนเรื่อง

"ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ" แก่ภิกษุทั้งหลาย ว่า


ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย

บุคคล ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว

ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง


สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นเป็นอันละไปแล้ว

สิ่งใดยังมาไม่ถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง

ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน

ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆ ได้

บุคคล ควรเจริญธรรมนั้นเนือง ๆ ให้ปรุโปร่งเถิด


พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ

ใครเล่าจักรู้ความตายในวันพรุ่ง

เพราะความผัดเพี้ยนต่อมัจจุราช ผู้มีเสนาใหญ่

ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย


บุคคล ผู้มีปกติอยู่อย่างนี้

มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน ทั้งกลางวันและกลางคืน

เรากล่าวว่า

เป็นผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ

ดังนี้แล.







พระผู้มีพระภาคฯ

ทรงแสดง "อัปปมาทสูตร"

ตรัสว่า


ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย

รอยเท้าของสัตว์ทั้งมวล ที่เที่ยวไปบนแผ่นดิน เหล่าใดเหล่าหนึ่ง

รอยเท้าเหล่านั้นทั้งหมด

ย่อมถึงความรวมลงในรอยเท้าช้าง

เพราะรอยเท้าช้างใหญ่กว่าบรรดารอยเท้าของสัตว์ทั้งปวงในโลก

แม้ฉันใด


กุศลธรรม เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล

"กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งหมด"

ย่อมรวมลงใน "ความไม่ประมาท"


บัณฑิตกล่าวว่า

"ความไม่ประมาทเป็นยอดของกุศลธรรมเหล่านั้น"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2009, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 15:37
โพสต์: 112

ชื่อเล่น: ดอกพุทธ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุ.. ขออนุโมทนา ในความเป็นจริงทั้งหมด ดียิ่งนักแล

.....................................................
หลอมจิตบรรจง สู่แสงแห่งธรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 141 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร