ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=23984
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  Bwitch [ 17 ก.ค. 2009, 17:23 ]
หัวข้อกระทู้:  เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

รูปภาพ



http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17284

:b8: หลายวันมานี่ ได้เข้าไปอ่านบางกระทู้ เห็นการทุ่มเถียงเอาชนะกันด้วยเหตุด้วยผล
หรืออะไรก็แล้วแต่ ดิฉันรู้สึก จิตตก ค่ะ ไม่ทราบมีใครเป็นกันบ้างมั้ยคะ
ใจมันเศร้าหมองอย่างไรชอบกล อยากจะ :b2: :b2: :b2: :b2: :b2:
คงไม่มีความสามารถหลับตาแล้วภาวนา จิตตกหนอ จิตตกหนอ...
เฮ้ออออ..... ปลีก ละนะ :b8:
beby onion

เจ้าของ:  หนึ่งปีที่เดินทาง [ 17 ก.ค. 2009, 18:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

ก็ให้ใช้กระทู้เหล่านั้นให้เป็นเป็นประโยชน์ในการฝึกปฏิบัติคะ
ดูที่จิตตนเองไว้คะทุกครั้งที่เข้ามาอ่านดูว่าใจกระเพื่อมไหม
ถ้ากระเพื่อมก็ดูเฉยๆไม่ต้องไปหลงปรุงไปตามคำที่เขาเขียน
ถ้าปรุงไปแล้วก็ช่างมันดูไปทันเมื่อไรรู้สึกตัวเมื่อนั้นก็รู้ว่าเรากำลังหลงปรุง
ใครเป็นอย่างไรมีเรื่องอะไรมากระทบก็ดูที่จิตของเราคะ
ไม่ต้องโทษใครเลยเพราะว่าความรู้สึกหรือทุกข์เกิดที่ใจเราเอง
เป็นผู้กระทำเมื่อไม่มีตัวเราเกิดขึ้นหรือมีตัวเราเข้าไปมีความคิดปรุงแต่ง
ก็เป็นเพียงสิ่งที่เห็น
ความรู้สึกที่เกิดเกิดจากมีตัวเราเราไม่พอใจเราไม่ชอบใจจึงเกิดอาการนี้คะ


เอาคติธรรมของหลวงปู่มั่นมาฝากคะ


การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย
ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน
การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง

ขอให้มีความเจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปนะคะ :b1: :b16:

เจ้าของ:  ชิโนะซึเกะ [ 17 ก.ค. 2009, 18:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

ลองไปหาอะไรอย่างอื่นมากระทบดูน่าจะดีขึ้นครับ :b12:

เจ้าของ:  บัวศกล [ 18 ก.ค. 2009, 07:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

แล้วอย่างไหน คือปราชญ์

อย่างไหน คือปุถุชน

แล้วปราชญ์ กับปุถุชน กับกัลยาณชน กับอริยชน ต่างกันยังไง

แล้วบรรทัดฐานความรู้ ของผู้มีความรู้ที่ไม่ใช่ปราชญ์ กับผู้มีความรู้ที่เป็นปราชญ์
ต่างกันยังไง


ขอเชิญคุณ Bwitch ลองช่วยแจงแถลงไขหน่อยครับ.........สาธุ สาธุ
หรือท่านใดจะช่วยส่งเสริม ก็ขอรบกวนเชิญช่วยตอบด้วยครับ


สำหรับผมแล้ว ผมเห็นในนี้ มี นักปาด อยู่คนหนึ่ง
แต่นักปราชญ์ก็ยังไม่แน่ใจ ว่าขนาดไหนเรียกปราชญ์
แต่ก็เล็งๆเอาไว้เหมือนกัน ว่าท่านคือปราชญ์หรือหนอ ใช่ปราชญ์ไหมหนอ

:b10: :b10: :b10:

เจ้าของ:  Bwitch [ 18 ก.ค. 2009, 23:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

:b8: อนุโมทนาสาธุสำหรับข้อแนะนำจากกัลยาณมิตรค่ะ ดิฉันขอน้อมรับด้วยจิตคารวะ :b8:

ก็กะว่าจะหายไปสักพัก เพื่อไปค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง รูปภาพ
คำตอบที่เราๆ ท่านๆ ทราบดีกันอยู่แล้ว แต่ต้องออกเดินทางด้วยตัวเอง
ใครทำใครปฏิบัติ คนนั้นก็ได้นั่นแหละค่ะ

:b8: วันนี้มีโอกาสได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่ ถวายผ้าไตรจีวรแด่หลวงปู่ :b8:
:b42: พร้อมกับปฏิบัติจิตภาวนา ขอนำบุญมาฝากกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ :b42:

:b1: :b16: :b12: :b46: :b46: :b46:

คุณบัวศกลคะ....

จะปราชญ์หรือปาดน้านน..
ถ้าเขาคิดว่าเขาเป็น เขาก็เป็น ถ้าเขาคิดว่าเขาใช่ เขาก็ใช่...ค่ะ
ส่วนคำนิยามของนามสมมุติต่างๆ...
ขอให้ผู้รู้ได้เข้ามาตอบคำถามเหล่านั้นนะคะ ดิฉันไม่สามารถค่ะ :b3: :b19: :b9: :b13: :b21:
ขออนุญาต ปลีก เพื่อเดินทางค้นหา คำตอบ และขอเอาตัวเองให้รอดก่อนนะเจ้าคะ แห่ะ แห่ะ..

ปล.จะแว่บมา แว่บไป แต่ถ้าหายไปเกิน 1 เดือน ก็ให้สงสัยเจ้า H1N1 ไว้ก่อนนะเจ้าคะ รูปภาพ

...ชีวิตไม่ใช่ของเรา ไม่มีใครเป็นของเรา มนุษย์เรามีความตายเป็นที่สุดของชีวิต เมื่อถึงเวลา ทุกคนก็ต้องตาย..ดังนั้น จงเรียนรู้ที่จะเห็นความตายทุกขณะจิต เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตที่เหลือ เพื่อจะได้ไม่ต้องตายทั้งเป็น...(ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ -แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต)

เจ้าของ:  ทักทาย [ 18 ก.ค. 2009, 23:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

ตอนแรกที่อ่านการปุจฉากัน
ก็พยายามคิดตาม แต่พออ่านไปๆมาๆ เห็นว่าความคิด
ของทั้งสองฝ่ายเริ่มมีทิฐิเข้ามาปนอยู่ ก็เลยหนี อย่างนี้เขา
เรียกว่าอะไรค่ะ ไม่กล้าเผชิญกับอารมณ์ ก็จะขาดช่วงของ
การทดสอบขันติหรือเปล่า?ค่ะ ใครก็ได้ช่วยตอบหน่อยค่ะ tongue

:b41: :b41: :b41: :b43: :b41: :b41: :b41:

เจ้าของ:  ผู้ไม่รู้ [ 19 ก.ค. 2009, 00:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

...ขอคาราวะแด่ท่านผู้เจริญในธรรมครับ...

...จะเป็นนักปราชญ์ หรือ จะเป็นปุถุชน...ต่างก็เป็นก้อนเนื้อเน่าๆที่เดินได้ ซึ่งนับวันมีแต่จะเน่าเปื่อยผุพังลงด้วยกันทุกคนครับ หรือแม้แต่ถ้อยคำที่ต่างฝ่ายต่างสนทนาหรือทุ่มเถียงกัน ก็เป็นแค่สายลมที่ผ่านเลยไป...

...ผมคิดว่า(ผมคือผู้ไม่รู้ ที่เขียนอยู่เป็นความเข้าใจส่วนตัวครับ ถูกหรือผิดผมก็ไม่รู้เหมือนกัน)..ทุกๆอย่าง คงไม่ต่างไปจากขุมทรัพย์ที่ท่านพระอุปัชฌาย์เคยมอบให้ไว้...

...เกศา...ไม่เที่ยงหนอ

...โลมา...ไม่เที่ยงหนอ...

...นะขา...ไม่เที่ยงหนอ...

...ทันตา...ไม่เที่ยงหนอ...

...ตะโจ...ไม่เที่ยงหนอ...

เจ้าของ:  อินทรีย์5 [ 19 ก.ค. 2009, 01:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

ภาษิตว่า สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ ยังรู้พลั้ง เป็นภาษิตที่ใช้ได้ทุกยุค ทุกสมัย
อะไรที่เป็นกท.อ่านแล้วหดหู่ใจ อ่านแล้วไม่จรรโลงใจ ก็อย่าไปอ่านสิครับ เลือกอ่านแต่บท
ความธรรมะ หรือ นานาสาระ ก็ได้นี่นา ใช้ปัญญาที่มีอยู่ตัดสินไปเลย กำหนด คิดหนอๆ ๆ
หรือ รู้หนอ ๆ ๆ ก้ได้ ใส่สติเข้ากับจิตให้เยอะๆๆ

เจ้าของ:  Bwitch [ 19 ก.ค. 2009, 01:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

:b8: ในฐานะพุทธศาสนิกชน
ที่ดิฉันบอกว่ารู้สึกเศร้าจนอยากจะ :b2: :b2: :b2: :b2: :b2:
เพราะดิฉันมีคำถามให้กับตัวเองว่า...เราจะมาเสียเวลาทำไม
เมื่อ...เรานับถือศาสนาเดียวกัน (ใช่หรือไม่)
เมื่อ...เรามีองค์พระศาสดาเดียวกัน (ใช่หรือไม่)

ดิฉันเป็นพุทธศาสนิกชนโดยกำเนิดค่ะ
แม้ว่าที่บ้านจะไม่ได้เคร่งครัดมากมาย
แต่ทำไมความรู้สึกรักศรัทธาจึงฝังในกายและใจได้มากๆๆๆๆขนาดนี้
ดิฉันไม่เคยสงสัยในสิ่งที่ดิฉันศรัทธาและเชื่อถือนี้เลยไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ค่ะ :b8:

และนั่นเป็นสิ่งซึ่งต้องพิสูจน์ด้วยตัวเราเองทุกคน
:b48: เดินทางกันนะคะ กัลยาณมิตร ที่รัก :b48:

รูปภาพ

เจ้าของ:  TAKSA [ 19 ก.ค. 2009, 17:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

[quote
:b8: หลายวันมานี่ ได้เข้าไปอ่านบางกระทู้ เห็นการทุ่มเถียงเอาชนะกันด้วยเหตุด้วยผล
หรืออะไรก็แล้วแต่ ดิฉันรู้สึก จิตตก ค่ะ ไม่ทราบมีใครเป็นกันบ้างมั้ยคะ
ใจมันเศร้าหมองอย่างไรชอบกล อยากจะ :b2: :b2: :b2: :b2: :b2:
คงไม่มีความสามารถหลับตาแล้วภาวนา จิตตกหนอ จิตตกหนอ...
เฮ้ออออ..... ปลีก ละนะ [/quote]
ผมเห็นต่างจากจขกทครับ การถกเถียงถ้าไม่เป็นการลบหลู่ พระรัตนไตรหรือด่าทอใช้คำหยาบ ผม
กลับเห็นว่าเป็นสิ่งดี คนที่เข้ามาอ่านหาความรู้ ก็ใช้วิจารณญาณของตนว่า จะเลือกเชื่อผู้ใดโดยดูว่า
ใครมีเหตุผลมากกว่ากัน และเราลองสังเกตุดูสิ่งเถียงกันรุนแรงเท่าไร คู่กรณีก็เอาเหตุผลข้อมูล
ออกมาเพื่อที่จะเอาชนะอีกฝ่าย ซึ่งบางอย่างเราก็ไม่รู้ ดีเสียอีกมีคนหาข้อมูลให้อ่าน
. ผมว่าจขกทตั้งใจมากเกินไปครับ เวบบอร์ดก็คือเวบบอร์ดเถียงกันให้ตาย เขาก็ต่อยกันไม่ได้
หรอกครับ ผมว่าตราบใดที่เขายังไม่ได้ทำผิดกฎ พวกเราก็อย่าเข้าแสดงความกังวน โดยการโพส
ข้อความเข้าไปห้าม ถ้าเห็นไม่เหมาะไม่ควรก็แจ้งลบให้ผู้ดูแลตัดสินใจเอง การโพสข้อความเข้าไป
ทำให้ขั้นการสนทนาหยุดชะงัก ทำให้ข้อมูลไม่ต่อเนื่อง และอาจทำให้ผู้ที่สนใจและเข้าใจในวิธีการ
สนทนาไม่พอใจ จากประสบการณ์ที่ชอบหาความรู้ทางเวบบอร์ด สิ่งที่ได้เห็นมา สมาชิกที่ชอบ
ห้ามส่วนใหญ่จะชอบโพสคำอนุโมทนา เนื้อหาที่โพสก็ไม่มีอะไร หรือบางทีตั้งกระทู้ก็จะเป็นการนำ
คำสอนของครูบาอาจารย์มาโพส(นี่เป็นสิ่งดีนะครับ) แต่ท่านต้องเข้าใจว่านี่เป็นห้องสนทนา
. ผมว่าแค่นี้ดีกว่ากลัวแรงสะท้อนกลับครับ สุดท้ายอยากแนะนำจขกทครับว่า การเล่น
เวบบอร์ดท่านอย่าไปอินกับมันมากเกินไปครับ บางครั้งท่านอยากแสดงความปรารถนาดีต่อคู่สนทนา
แต่ผมว่าคู่สนทนาอาจเข้าใจความปรารถนาท่านเป็นอย่างอื่นไปนะครับ คลิ๊กเข้าไปไม่ชอบก็ออกมา
ไม่ต้องไปอ่านและไม่โพสข้อความหรือตั้งกระทู้ทำนองติเตียนด้วยครับ :b8:

เจ้าของ:  Bwitch [ 19 ก.ค. 2009, 18:49 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

:b8: ก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ อนุโมทนาสาธุค่ะ :b8:

ลองไปหาอะไรอย่างอื่นมากระทบดูน่าจะดีขึ้นครับ ...ค่ะ :b16:

:b44: ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป :b44:

เจ้าของ:  Bwitch [ 19 ก.ค. 2009, 19:23 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

:b8: ขออนุญาตเพิ่มเติมอีกนิ้ดดด..นึงนะคะ
ความเห็นของดิฉันค่ะ...ว่า
:b41: เรื่องของศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นและศรัทธา
เมื่อเราตกลงใจจะนับถือแล้ว....ทำไมไยจึงยังสงสัยอยู่เล่าคะ

:b41: อีกอย่าง...เคยได้ยินมาว่า (จำไม่ได้แล้วว่าจากไหน)
หากจะปฏิบัติธรรมต้องไม่สงสัยในสิ่งที่อาจารย์สอน
มิเช่นนั้นจะไม่เจริญในธรรมนะคะ

:b46: :b46: :b46: :b46: :b46: :b46:

ตั้งแต่หันหน้าเข้าหาธรรมะ ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง สวดมนต์ไหว้พระ รักษาศีล
ปฏิบัติจิตภาวนา ดิฉันระมัดระวังกายใจมากขึ้น ไม่เพ่งโทษผู้อื่น
ไม่ได้นึกตำหนิใครว่าลบหลู่พระรัตนตรัยนะคะ...
แค่สงสัยว่า..แล้วจะสงสัยทำไม๊ แค่นั้นเอง :b10: :b23:
เจตนาของกระทู้นี้ก็แค่บอกความรู้สึกเมื่อมีสิ่งมากระทบภายใต้กฎไตรลักษณ์เท่านั้นเองค่ะ

ปัญญาของดิฉันก็เท่านี้แหละค่ะ ไม่มากมายอะไร ขอบคุณที่กรุณาชี้แนะนะคะ :b8:

เจ้าของ:  TAKSA [ 19 ก.ค. 2009, 21:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

Bwitch เขียน:
:b41: เรื่องของศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นและศรัทธา
เมื่อเราตกลงใจจะนับถือแล้ว....ทำไมไยจึงยังสงสัยอยู่เล่าคะ
:b41: อีกอย่าง...เคยได้ยินมาว่า (จำไม่ได้แล้วว่าจากไหน)
หากจะปฏิบัติธรรมต้องไม่สงสัยในสิ่งที่อาจารย์สอน
มิเช่นนั้นจะไม่เจริญในธรรมนะคะ
เจตนาของกระทู้นี้ก็แค่บอกความรู้สึกเมื่อมีสิ่งมากระทบภายใต้กฎไตรลักษณ์เท่านั้นเองค่ะ

. สิ่งที่เขาถกเถียงกัน ส่วนใหญ่จะเป็นผลของการปฏิบัติภาวนาครับ ซึ่งบางคนผลออกมาไม่
เหมือนกัน เลยต้องมาถกกันว่าควรจะทำอย่างไหน
. ส่วนในเรื่องของศาสนาหรือไม่ว่าพระรัตนไตย ไม่มีใครเขาสงสัยหรอกครับ มันเป็นวิจิกิจฉา
แล้วเขาก็ไม่ได้สงสัยคำสอนของอาจารย์ตัวเอง แต่ไปสงสัยของอาจารย์คนอื่นครับ
. อย่าเอาข้อความในนี้มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติเลยครับ ไตรลักษณ์ที่ได้มันไม่ใช้ของจริง
หรอกครับมันมีความคิดเจืออยู่ ขออนุโมทนาครับ :b8:

เจ้าของ:  Bwitch [ 19 ก.ค. 2009, 21:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

:b8: พอจะเข้าใจแล้ว อนุโมทนาสาธุค่ะ :b8:

เจ้าของ:  damjao [ 20 ก.ค. 2009, 09:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมื่อนักปราชญ์กับปุถุชนเถียงกัน

คนไม่โกรธ ก็คือผู้ที่ไม่รู้จักแพ้ ไม่มีใครมาทำให้แพ้ได้ เพราะเมื่อไม่โกรธไปตามอารมณ์ที่ผู้อื่นส่งมา หรือที่เกิดขึ้นเองเรื่องนั้นหรือส่วนนั้นก็เท่ากับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นี่เราจะเห็นคุณานิสงส์แห่งการตัดความโกรธ หรือโทสะได้อย่างสมุจเฉทปหาน ว่าเป็นความเยือกเย็นแสนที่จะเย็นเพียงไร จงใคร่ครวญดูเถิด....

พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกทั้งหมดรวมอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นรก สวรรค์ มันก็อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/