"อย่ามีตัวกู มันจะมีทุกข์" (พุทธทาส ภิกขุ)


อย่ามีตัวกู = อย่าคิดว่า ขันธ์ 5 ที่เป็นอัตตานุปทานหรืออัตตานุทิฏฐิ (อนัตตา) ที่เป็นอัตตาอุปทาน เป็นตัวกู(อัตตา)

มันจะมีทุกข์ = ขันธ์ 5 ที่เป็นอัตตาอุปทาน(อนัตตา) เป็นตัวทุกข์

"อย่ามีตัวกู มันจะมีทุกข์" นั่นเป็นแค่บันไดขั้นสุดท้ายไปสู่การมีตัวกู ที่ไม่มีทุกข์ คือตัวกูที่เป็นธรรมกาย (อายตนะนิพพาน) สิ่งนี้แหละที่ไม่มีทุกข์ และเป็นอัตตา เป็นแก่นของศาสนาพุทธ

พระอวโลกิเตศวรตรัสสอนพระสารีบุตรว่า:

"ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ก็คือ อายตนะนิพพาน นั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง"

อาจารย์ของพระพุทธเจ้า ชื่อ อุทกดาบสก็หาไม่พบ ทำให้ท่านเข้าใจผิดว่า อรูปพรหมเป็นโมขธรรมสูงสุด จึงเข้าสู่ อรูปพรหมขั้นที่ 4 เนวสัญญานานัญญายตนะ ไม่ต้องการมีรูปซะเลย แต่ความจริงโมขธรรมสูงสุด อยู่ในขั้นนิพพาน คือ มีตัวตน(ธรรมกาย) แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น และไม่คิดปรุงแต่ง

ตัวตน นั้นคือ ธรรม

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:

“ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง..."

ชัดไหมครับว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า "ตน(อัตตา) คือ ธรรม" = ตัวกูที่ไม่มีทุกข์ก็คือธรรมกาย นั่นเอง

ตามมาดูเฉย ๆ ครับ
มาดูว่า..ตัวเองจะเฉย ๆ กับธรรมของ..คุณพลศักดิ์..ได้หรือเปล่านะ
ดูซิ..มีวิตก..วิจารณ์..อะไรหรือเปล่า..

ไม่มีแฮะ..

เฮ่..
ปล. อย่าเคืองหนา..ผมกำลังปฏิบัติธรรมอยู่..จริงจริ้ง(นะเนี้ย)

ผมเลยเถิดไปเลยคุณกบ แต่เมื่อได้อ่านของคุณ ผมดึงใจมาเฉยจนได้
ขอบคุณมาก (อ่านหนอๆ รู้หนอๆ)

คุณกบนอกกะลา และคุณกามโภคี ครับ


พยายามเข้า สักวันหนึ่งคุณจะออกจาก อัตตาอุปทาน ที่เป็นอนัตตาได้ แล้วเมื่อนั้นคุณจะได้พบ ตน(อัตตา) แท้จริงที่เป็น ธรรม (ธรรมกายบริสุทธิ์)

อ้างอิง : อย่ามีตัวกู มันจะมีทุกข์" (พุทธทาส ภิกขุ)


ข้อความมีแค่นี้ เอาไปตีความซะยาวยืดเป็นตังเม

เป็นแค่ผู้ดู กับ ผู้รู้ มันไม่มีอะไรมากมาย

แต่ถ้ามีตัวผู้รู้เข้าไปข้องเมื่อไหร่ เลยเถิดแน่นอน

สุดแต่ว่า สติ สัมปชัญญะจะทันไหม

ผู้ดู ... สิ่งที่เกิดขึ้น .. ไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีผล

ผู้รู้ ... สิ่งที่ถูกรู้ ... มีเหตุนิดๆคือความคิด ผลย่อมมีแน่นอน

ตัวผู้รู้ ... สภาวะเปลี่ยนไป เป็น ชอบใจ ไม่ชอบใจ ถูก ผิด ทุกข์ สุข ตามความคิดของตัวเอง

ตัวนี้แหละสำคัญก่อภพก่อชาติไม่รู้จบ


คนบางคนเขาสร้างเหตุมา เขากำลังรับผลตัวนั้นของเขา ถ้าเราเอาเราเข้าไปข้อง

เท่ากับเราไปสร้างเหตุใหม่ร่วมกับเขา ลองถามตัวเองดูว่าคุ้มค่าไหม

ส่วนใครที่มาอ่านแล้วเชื่อเขา นั่นก็เพราะเขาเคยสร้างเหตุร่วมกันมา เลยต้องมาเชื่อกัน

จบจากกระทู้นี้ ไปตั้งกระทู้ใหม่ เรื่องเดิมๆซ้ำๆที่ฝังใจ .. แล้วใครล่ะจะไปเป็นเหยื่อชิ้นต่อไป

หากไม่มีใครตอบเขา ไม่มีใครสนใจเขา กระทู้นั้นๆก็ตกไปเอง

คุณwalaiporn ครับ


สรุปสั้นๆก็ได้

1. จิตไม่บริสุทธิ์ มีกิเลส มีตัณหา มันสร้างอายตนะเบญจขันธ์ ขึ้นมารองรับ มันเลยวนเวียนอยู่ในโลก

2. จิตบริสุทธิ์ หมดกิเลส หมดตัณหา มันสร้างอายตนะนิพพาน(ธรรมขันธ์ หรือธรรมกาย) ขึ้นมารองรับ มันเลยกลับไปอยู่ในที่เก่า บ้านเดิมที่มันมา คือพระนิพพาน

3. กรรมที่คุณและคนในเว็บศาสนาก่อ ทำให้ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า หลงติดอยู่กับสัทธรรมของมาร(สัทธรรมปฏิรูป)ต่อไป

เก่งเนอะ....
เริ่มต้น"อย่ามีตัวกู มันจะทุกข์"(พุทธทาส ภิกขุ)
อธิบายไปๆ มาๆ
ลงท้ายด้วยการที่ต้องมีตัวกู จึงจะไม่ทุกข์(พลศักดิ์ วังวิวัฒน์)

แถมยังเอาธรรมกายมาอ้างอีก...แบบนี้ไม่เรียกว่าของจริงหรอกครับท่าน
ของจริงเขาไม่ต้องเอาคำพูดใครมาตีความหรอกครับ เอาคำพูดตัวเองนี่แหละ เอาแบบให้ตัวเองเถียงไม่ได้ และคนอื่นก็เถียงไม่ได้ นั่นแหละครับ "ของจริง"

นี้แหละ..เขาล่ะ..เป็นความสามารถพิเศษ..ห้ามลอกเลียนแบบ

คำเตือน ! ตู้ต ๆ ตู้ต ๆ
เด็ก และสตรีมีท้องแก่ ห้ามอ่านเกินวันละ 2 ข้อความ

เมื่อใด "อัตตา" หมดไป "อนัตตา" ก็เกิดขึ้นแทน
ซึ่งแปลว่า วิชชา หรือแสงสว่างเกิดขึ้นที่สุด
ก็หมดทุกข์โดยประการทั้งปวง
เนื่องจากเป็นผู้เห็นคำตอบอย่างแจ่มแจ้งของปัญหาชีวิตทุกข้อทุกกระทง
คนเราคืออะไร?...............
เกิดมาทำไม?.................
ชีวิตคืออะไร?..................
จะครองชีวิตหรือทำในใจต่อโลกนี้อย่างไร?..........