วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 10:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่เชื่อว่าคุณหลับ 1นาที ตื่น1นาที สลับกันแล้วฝันทุกครั้งที่คุณหลับ

แต่ผมเชื่อได้ว่า บรรยากาศ และระดับคลื่นจิตคุณ ทรงตัวอยู่บนความเคลิ้ม
ตลอดระยะเวลาที่คุณคิดว่าตนกำลังหลับ และตื่นในทุก1นาที ซึ่งความจริงแล้ว
คุณแค่เหมือนหลับ แต่คุณไม่ได้หลับ

จิตที่มีลักษณะของการเคลิ้ม และอ่อนตัวหดตัวลงสู่ภวังค์ แม้เพียงเล็กน้อย
ความคิด จะแสดงตัวออกมาเป็นภาพ สารพัดภาพมากมาย คุณคิดอะไร
ภาพก็เกิดทันทีที่คิด แต่ถ้าเป้นการคิดในยามปกติที่จิตของคุณเต็มสำนึกอยู่
การคิดของคุณ ก็คือความคิดที่ไม่มีภาพปรากฏ และไม่แสดงผลออกมาเป็นมโนภาพ
แต่แสดงผลออกมาเป็นแค่ความคิดที่เกิดดับอยู่ในใจ และในสมองตามปกติ

การที่จิต อ่อนตัว หรือหดตัวลงสู่ภวังค์ มีหลายลักษณะ และหลายระดับ
หลายสภาพ ซึ่งในทุกสภาพทุกระดับ จิตจะต้องเกิดภาพ หรือนิมิต

หากจิตหดตัวลงภวังค์แบบอ่อนๆ ก็จะเห็นภาพซ้อนทั้งในขณะลืมตา
ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งภาพจริง และภาพปรุงเองจากความคิด และเป็นภาพ
ที่ถ่ายเทออกมาเองจากระบบสัญญาโดยไม่ต้องคิด

ในระดับที่จิตลงภวังค์อ่อนๆ ภาพที่เห็นจะไม่ชัด และไม่ค่อยเป็นเรื่องเป็นราว
แต่มากมาย และไหลถ่ายเทไม่หยุด เห็นภาพได้ แม้ขณะลืมตา
และหลับตา

แต่ถ้าจิตลงภวังค์ลึกขึ้น ภาพที่เกิดจะปรากฏเป็นนิมิต ไม่ใช่ฝัน
จิตยังคงความรู้ตัวว่าไม่หลับ แต่กระบวนการเห็นมีความชัดขึ้น
เป็นเรื่องราวขึ้น และไม่ยืดยาวติดเนื่องนานเหมือนจิตประเภทแรก
จิตในระดับนี้ สามารถที่จะลุถึงโลกของสิ่งเป็นทิพย์ได้ พอๆกับการ
ระลึกเห็นอดีตชาติ และตะกอนของกรรมในอดีต และเป็นจิตที่โอปปาติกะ
จากภายนอกที่มีพลังจิตดี สามารถสื่อถึงด้วยการส่งเสียง ส่งภาพเข้ามาในจิตได้
อย่างชัดเจน

หากจิตลงภวังค์ลึกไปอีกจนถึงระดับเหลือแค่กึ่งสำนึก หรือน้อยกว่ากึ่งสำนึก
จิตระดับนี้ก็จะเกิดภาพ ที่เรียกว่าฝัน ซึ่งภาพในความฝันก็มีทุกระดับ
และทุกอย่างคือ ภาพที่เกิดจากการไหลถ่ายเทของ สัญญา เวทนา และสังขาร
เป็นภาพที่ปนเป ไม่เป้นเรื่องเป็นราว หรืออาจเป็นเรื่องเป็นราว แต่ไม่เน้น
จึงไม่ค่อยจำได้ในยามตื่น

หากเป็นภาพที่เน้นเด่นชัดมีระเบียบก็จะแสดงออกอยู่ในประเภทฝันชนิด กรรมบันดาล
ซึ่งก็คือรอยลึกของสัญญาในจิต ได้สะท้อนภาพอดีตออกมา หรือสะท้อนสังหรณ์
ออกมาเป็นมโนภาพ ซึ่งความฝันชนิดนี้จะทำนายอนาคต และบอกอดีต

และจิตฝันก็ยังเป็นจิตที่เปิดโอกาสให้เทวดา หรือจิตจากภายนอกแทรกแทรงได้
ซึ่งการฝันชนิดนี้ เรียกว่า เทพสังหรณ์ ฝันชนิดนี้อาจจะจริงก็ได้ ลวงก็ได้

หากเทวดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิมาทำให้ฝัน อาจได้เห็นในสิ่งที่ดี และไม่ชวนให้หลง
แต่ถ้าถูกโอปปาติกะผู้มิจฉาทิฏฐิเข้าแทรกแทรงในฝัน อาจถูกชักพาให้เห็นในสิ่งที่ชวนหลง
และกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิได้

และถ้าจิตคุณลงลึกไปอีก จิตจะอยู่ในสภาพไร้สำนึก ซึ่งจะไม่ฝัน

ระดับของภวังคะมีหลายชั้น บางคนก่อนที่จิตจะหลับ จิตจะค้างกับภวังทุกระดับ
และเกิดภาพทุกประเภท ก่อนหลับ บางคนเมื่อตื่น ก่อนที่จิตจะเต็มสำนึก
จิตก็เกิดภาพทุกระดับ ก่อนที่จะเต็มสำนึก

ส่วนบางคนที่ไม่ฝัน เพราะจิตหดตัวก้าวข้าม การค้างในภวังคะระดับต่างๆ
เข้าสู่ภวังค์ที่ไร้สำนึกโดยทันที และเวลาตื่นก็ออกจากส่วนไร้สำนึก
ก้าวข้ามจิตกึ่งสำนึก สู่สภาพเต็มสำนึกทันทีจิตจึงไม่ฝัน

ซึ่งการจะไม่ให้ฝันเลยก็คือต้องสามารถนำจิตก้าวข้ามภวังค์ทุกระดับเข้าสู่
ระดับไร้สำนึกได้ และต้องฝึกการก้ามข้ามภวังค์มาสู่สภาพที่เต็มสำนึกให้ชำนาญ
จึงจะไม่ฝัน

คนบางคนที่เหนื่อยมาก และเพลียมากจากการทำงาน หรือออกกำลังก็จะไม่ค่อยฝัน
เพราะจิตจะหดตัวได้ลึก จึงหลับลึกได้ทันที แต่อาจมีฝันกันบ้างเมื่อก่อนตื่น
ซึ่งบางคนก็ไม่ฝันเลย อย่างชาวไร่บางคน ปีหนึ่งฝันแค่ครั้งสองครั้งก็มี


ทุกความฝันถ้าเกิดขึ้นก็แค่สักว่ารู้ ไม่จริงจัง และอย่ามั่นหมาย
จะฝันก็ฝัน จะไม่ฝันก็ไม่ฝัน มันก็เป้นธรรมชาติของมัน
ที่เกิดตามปัจจัย และดับตามปัจจัย ทั้งจริง ทั้งเท็จ

ทำใจให้สบายๆ ปรับสมดุลร่างกายให้ปกติ ปรับสมดุลจิตให้สงบสบาย
แล้วความฝันจะไม่ใช่ปัญหา

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


การฝันนั้น เป็นผลจากเหตุ ๔ ประการได้แก่
ประการที่ ๑ การที่ธาตุกำเริบ เช่นรับประทานอาหารมากเกินไป อาหารแสลง ก็ทำให้เกิดความว้าวุ่นของกายก็กระทบถึงจิตใจได้ ทำให้มากไปด้วยความฟุ้งซ่าน ว้าวุ่น
ประการที่ ๒ เกิดจากจิตที่ผูกพันเรื่องนั้นๆ หรือหลายๆเรื่อง เป็นเรื่องที่จิตเก็บจำด้วยอำนาจสัญญาเก่าๆมาปรุงแต่ง ฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา
ประการที่ ๓ เทพสังหรณ์ คือการที่เทวดาองค์ใดองค์หนึ่งท่านมาดลจิตดลใจให้เกิดฝันไปต่างๆ เพื่อเป็นการบอกเหตุบ้าง กลั่นแกล้งเอาบ้าง เช่น ทำให้ตกใจ เป็นต้น
ประการที่ ๔ ได้แก่ กรรมนิมิต ได้แก่ภาพแห่งอำนาจแห่งกรรมที่กำลังใกล้จะปรากฏแก่บุคคลนั้น ได้แสดงออกมาในฝันเสียก่อน
ในบรรดาเหตุ ๔ ประการนั้น ท่านแสดงไว้ว่า กรรมนิมิต เท่านั้นที่น่าเชื่อถือ มักเป็นเรื่องที่จะปรากฏจริงๆให้ทราบได้ในเวลาต่อมา
ส่วนประการที่หนึ่งและสองนั้น ไม่น่าเชื่อถือเพราะเป็นไปกับความฟุ้งซ่านแห่งจิตเสียโดยมาก ปรุงแต่งไปต่างๆนานา ส่วนประการที่สามนั้น หาความเอาแน่เอานอนไม่ใคร่ได้ เพราะบางทีก็ใช่เรื่องจริง บางทีก็ถูกแกล้งเอา


.เรื่องฝันอันจะมีเหตุมาอย่างไรนั้น เราๆท่านๆก็ไม่สามารถรู้ได้ชัดเจนถึงเหตุผลที่แน่นอน เช่นจะตัดสินว่า นี้เป็นกรรมนิมิตแน่นอน นี้เป็นเทพสังหรณ์แน่นอน..อย่างนี้ถือว่า ตัดสินได้ยาก .....ส่วนเหตุผลที่หนึ่งและที่สองนั้น เราๆพอจะอนุมานได้เพราะเจ้าตัวรู้ดีว่าเป็นไปด้วยทางอาหารมากเกิน หรือท้องใส้ปั่นป่วน หรือเพราะฟุ้งซ่านหยิบเรื่องนั้นต่อเรื่องนี้วุ่นวายไปหมด
ส่วนประการที่สามและสี่นั้น ค่อนข้างยาก


ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่านผู้ถามพึงทำความเข้าใจอย่างนี้ว่า ...การที่ปุถุชนอย่างเราๆท่านๆฝันนั้น ก็จิตแม้ในขณะหลับก็สามารถขึ้นมาทำกรรมได้ ที่เรียกว่า"จิตขึ้นวิถี" ทำกรรมแม้ในยามหลับ ทำให้ฝันไป..หากหลับลึกลงภวังค์..จิตก็จะไม่ฝัน จิตขณะนั้นก็ไปรับรู้อารมณ์เก่าที่ได้ก่อนตายในภพก่อน ซึ่งเราท่านไม่มีสิทธิ์รู้ได้เลยว่า อารมณ์ของภวังคจิตของตนเองนั้นเป็นอะไร แต่ย่อมเป็นอารมณ์ที่ดีเพราะเราทั้งหลายเกิดเป็นคนได้เพราะกรรมดี

ทีนี้กรรมในขณะฝันนั้น หากเป็นภาพแห่งการถวายทาน ...การได้ไปเห็น..ไปกราบพระพุทธรูปใหญ่... การได้ให้ทานแก่ใครๆในฝัน ....หรือการระงับห้ามปรามบาปที่จะล่วงแม้ในความฝันนั้น คือ ศีลเกิดขึ้นในยามฝัน....จิตใจที่ขึ้นวิถีแม้ในยามฝันอย่างนี้ พึงทราบว่า เป็นกุศลกรรมดี เกิดขึ้นแล้ว
หากในฝันปรากฏภาพที่น่ากลัว น่าตกใจ ฝันร้าย..หรือปรากฏเห็นของ หรือบางสิ่งบางอย่างแล้วก็เกิดความยินดีพอใจ..พึงทราบว่า นี้เป็นอกุศลกรรม เป็นกรรมไม่ดีที่จิตใจนั้นเป็นไปกับโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้างแล้วแต่กรณีๆไป

แต่ทว่า กรรมที่กระทำในฝันโดยที่ผู้ฝันนั้นกระทำในยามหลับ ไม่สามารถเป็น"กรรมที่นำเกิด"ได้...


คือกรรมที่เกิดแล้วเพราะจิตที่ทำงานขึ้นวิถีในฝัน นั้น ไม่สามารถส่งผลนำเกิดได้ เช่นแม้กุศลกรรมดีก็ไม่อาจจะนำเกิดในสุคติภูมิได้ในภพถัดไป..... หรือหากแม้ฝันว่าไปฆ่าคนตายมา..กรรมฝ่ายโทสะที่ปรากฏแล้วเพราะอำนาจแห่งฝัน นั้น ก็ไม่อาจจะนำเกิดในนรกได้
แต่กรรมทั้งที่เป็นบุญและบาปที่เกิดแล้วด้วยจิตขณะฝันนั้น สามารถส่งผลในปวัตติกาลได้ ....คือส่งผลระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ในภพหนึ่งๆ ทำให้เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ได้ลิ้มรสดี ได้ถูกต้องสัมผัสดีถ้าเป็นกุศลกรรมดี.... หรือหากเป็นกรรมฝ่ายบาป ก็ให้ได้รับรู้อารมณ์ที่ไม่ดีในเวลาต่อมาได้ เป็นผลที่ส่งเล็กๆน้อยๆในปวัตติกาลนั่นเอง

ทางที่ดีที่สุด อย่าไปวิพากย์วิจารณ์ฝัน ตามรู้เรื่องปรุงแต่งเรื่องที่จบไปแล้ว ทำให้แล้วไม่ยอมแล้ว..จิตใจจะเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านอย่างมากมาย..ทางที่ดี หากฝันนั้นประทับใจ กินใจ เพราะชัดเจน ให้ดูที่จิตใจขณะฝันว่าเป็นไปกับกุศลหรืออกุศลเท่านั้น แล้วก็รีบรู้ตัวกลับมาอยู่กับปัจจุบันนั่นแหละ จึงจะควร
กุศลใหม่ที่เราตั้งใจไว้ชอบด้วยการรู้ตัวมีสติ ย่อมเป็นอันว่าอุปการะกรรมดีที่จบไปแล้วได้ และเบียดเบียนบาปเก่าๆได้ ตรงนี้ต่างหากที่ท่านผู้ถามพึงใส่ใจ
ตรงนั้นนั่นแหละเป็น"เหตุใหม่" เป็น"กรรมใหม่" ที่ท่านสามารถปรับปรุงแก้ไข ส่วนกรรมที่จบไปแล้วก็แล้วกันไป ทำในใจไว้อย่างนี้ดีกว่า..

หากฝันร้ายก็ให้หมั่นเจริญกุศลให้ยิ่ง อาจจะเป็นเพราะอำนาจจิตใจที่คุ้นเคยไหลไปกับบาปมากมายในช่วงนั้นก็เป็นได้ ...แต่ไม่ว่าจะดีจะร้าย เวลาทำเหตุ"ปัจจุบัน" ขอให้พยายามใส่ใจรักษาใจให้ดีๆนั่นแหละ ชื่อว่า ดี

ขอให้นอนหลับโดยไม่ฝันเลยนะครับ

:b49: :b50: :b49:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าใจค่ะ... เราก็มักฝันบ่อยๆเหมือนกัน เราก็ไม่อยากฝันเลย... ให้ตายสิ เคยฝันแบบต่อเนื่อง.. คืนนี้ฝันว่าแบบนี้ คืนต่อไปก็ฝันต่อเนื่องจากคืนนี้.. แล้วคืนถัดไปก็ฝันต่อเนื่องจากคืนคืนนั้น..เป็นซีรีส์เกาหลีเกาเหลาไปเลย... ประมาณนี้แหละค่ะ...ถ้าฝันดีเห็นพระเห็นเจ้าก็ดีไป แต่ถ้าฝันน่ากลัวมักจะตื่นตอนดึกๆ ถ้าฝันประหลาดๆเราก็มักจะสงสัย... ความฝันทำให้เรานอนไม่อิ่ม... ยิ่งฝันเห็นภาพสีด้วยแล้วก็ใช้พลังมากมาย...

ธรรมะสวัสดี...นิราศสายนที


แก้ไขล่าสุดโดย putsaitrong เมื่อ 01 ก.ค. 2009, 14:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 15:21
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุญาตคุยด้วยคนค่ะ
ก่อนนอนลองสวดมนต์,ทำสมาธิสัก15-30นาทีและก็แผ่เมตตาดูนะค๊ะจะช่วยได้เยอะ
เมื่อก่อนก็เคยเป็นค่ะแต่ไม่ได้ทุกนาทีอย่างคุณนะค๊ะ และก็จะตื่นบ่อยแต่เมื่อสวดมนต์
ทำสมาธิก่อนนอนก็หลับสบายตื่นเมื่อนาฬิกาปลุกพอดีและไม่มึนไม่ง่วงด้วยค่ะลอง
ทำดูนะค๊ะ......ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kae เขียน:
:b8: ขออนุญาตคุยด้วยคนค่ะ
ก่อนนอนลองสวดมนต์,ทำสมาธิสัก15-30นาทีและก็แผ่เมตตาดูนะค๊ะจะช่วยได้เยอะ
เมื่อก่อนก็เคยเป็นค่ะแต่ไม่ได้ทุกนาทีอย่างคุณนะค๊ะ และก็จะตื่นบ่อยแต่เมื่อสวดมนต์
ทำสมาธิก่อนนอนก็หลับสบายตื่นเมื่อนาฬิกาปลุกพอดีและไม่มึนไม่ง่วงด้วยค่ะลอง
ทำดูนะค๊ะ......ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นค่ะ :b8:


เราว่ามันก็ช่วยได้นะ แต่ไม่เสมอไป อาจเป็นบางกรณีเท่านั้น... ยกตัวอย่างเราเป็นต้น.. แผ่เมตตา สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน ก็ยังฝันได้... ถ้ามีสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็น ต้องการให้เราทำอะไรบางอย่าง หรือมาบอกอะไรเรา ชนิดที่เรียกว่าเราไม่ได้คิดไปเองน่ะ เราก็ฝันถึงเขาได้เหมือนกัน..หรืออีกหนึ่งกรณีคือถ้าเราฟุ้งซ่านหนักๆ แม้จะแผ่เมตตาหรือสวดมนต์(ในบางครั้ง) ก็ฝันได้เหมือนกัน... แต่มีผู้รู้บอกว่าถ้าสมาธิเราแกร่งกล้าแล้ว เราจะควบคุมไม่ให้ฝันได้ (อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล เราก็อ้างอิงคำพูดเขามาเหมือนกัน) แต่สำหรับเราคิดว่าน่าจะควบคุมได้ในระดับหนึ่งนะ

แต่สำหรับการสวดมนต์ก่อนนอนถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แผ่เมตตายิ่งดีเข้าไปใหญ่ เราก็สวดทุกวันและแผ่เมตตาทุกวันเหมือนกัน... ก่อนนอนก็ภาวนาพุทโธไปด้วยจบหลับ

โชคดีมีชัย.. ธรรมะสวัสดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 06:58
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุโมทนากับทุกความคิดเห็นที่หวังดี ขอบคุณมากค่ะ :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 18:47
โพสต์: 14

ที่อยู่: รามอินทรา กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแสดงความคิดเห็น :b1: คุณคงมีเวลาว่างมากเลยครับทำให้ความรู้สึกทางด้านจิตใจ
ไม่รู้จะทำอะไรหรือเริ่มตนอย่างไร
ควรจะหาหนังสือธรรมะอ่านบ้าง หรือฟังธรรมะก็ได้สำหรับไม่ชอบอ่าน(ฟังเดี่ยวก็หลับฝันอีกแหละ)
แต่ทางที่ดีควรจะหาเวลาไปวัดทุกวันพระที่มีกิจกรรม สวดมนต์ตอนเช้า รับศีล ฟังเทศน์ นั่งสมาธิ
แผ่เมตา และก็ตักบาตร กรวดน้ำ
(ผมเองก็พยามยามทำทุกวันพระครับ)
เพื่อสะสมสร้างบารมี(เราไม่ต้องหวังชาติหน้าครับ)
ขอบคุณครับ
(เราไม่ควรทำตัวเหมือนน้ำเต็มแก้ว)

.....................................................
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข

ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


somchnok เขียน:
ขอแสดงความคิดเห็น :b1: คุณคงมีเวลาว่างมากเลยครับทำให้ความรู้สึกทางด้านจิตใจ
ไม่รู้จะทำอะไรหรือเริ่มตนอย่างไร
ควรจะหาหนังสือธรรมะอ่านบ้าง หรือฟังธรรมะก็ได้สำหรับไม่ชอบอ่าน(ฟังเดี่ยวก็หลับฝันอีกแหละ)
แต่ทางที่ดีควรจะหาเวลาไปวัดทุกวันพระที่มีกิจกรรม สวดมนต์ตอนเช้า รับศีล ฟังเทศน์ นั่งสมาธิ
แผ่เมตา และก็ตักบาตร กรวดน้ำ
(ผมเองก็พยามยามทำทุกวันพระครับ)
เพื่อสะสมสร้างบารมี(เราไม่ต้องหวังชาติหน้าครับ)
ขอบคุณครับ
(เราไม่ควรทำตัวเหมือนน้ำเต็มแก้ว)


ดีแล้วทำทุกวันพระ โมทนาด้วยนะสมาชิกใหม่
หรือจะทำทุกวันก็ได้ ก่อนนอนก็กรวดน้ำ แผ่เมตตาได้
ของเราก็ทำทุกวัน ไปทำวัตรตอนเย็นเกือบทุกวัน ที่วัดใหม่เสนา หรือวัดสิริกมลาวาส
จะมีอยู่สองช่วงด้วยกัน ช่วงแรก สี่โมงเย็นถึงหกโมงเย็น
ช่วงที่สองหกโมงสี่สิบห้าถึงสองทุ่มเศษๆ

พระท่านจะเทศน์ให้ฟังก่อนสวดมนต์ หรือบางรอบก็หลังสวดมนต์ ญาติโยมก็จะนั่งสมาธิฟังที่พระท่านเทศน์แล้วนึกตาม วิธีนี้จะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน

จากนั้นท่านก็จะพาสวดมนต์ร่วมหนึ่งถึงสองชั่วโมง ถ้าวันพระก็จะสวดยาวหน่อย

แต่ก่อนที่จะทำวัตร หรือฟังเทศน์ ก็มีญาติโยมบางส่วนมานั่งสมาธิกันก่อนแล้ว ที่นี่คนจะมากันเป็นประจำ และคนจะเยอะในวันพระ เพราะในวันพระมีคนมาถือศีล นอนวัดด้วย

ถ้าบ้านอยู่ใกล้ หรือมีโอกาส ว่างๆก็มาได้นะ เราก็ไปประจำ... โมทนาสาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 06:58
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ขออนุโมทนา คุณ somchnok และ คุณ putsaitrong :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2009, 15:36
โพสต์: 435

ที่อยู่: malaysia

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยค่ะ :b8: :b8: :b8:
ด้วยความเคารพ :b46: :b46: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วยังฝันเป็นตุเป็นตะ อยู่เหมือนเดิมรึป่าว หรือว่าเลิกฝันไปแล้ว ฝันฝัน ฝันฝันๆๆ :b16: :b23:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 141 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร