วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 05:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2009, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตตสังเขป


บทที่ ๑.


สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อันธวรรค ที่ ๗


จิตตสูตร ที่ ๒.


.


เทวดา ทูลถามว่า



โลก อันอะไร ย่อมนำไป

อันอะไรหนอ ย่อมเสือกไสไป

โลก ทั้งหมด

เป็นไป ตามอำนาจของธรรม อันหนึ่ง

คือ อะไร.



พระผู้มีพระภาค ตรัสตอบ ว่า



"โลก" อัน "จิต" ย่อมนำไป

อัน "จิต" ย่อมเสือกไสไป

"โลก" ทั้งหมด

เป็นไป ตามอำนาจ ของ "ธรรม" อันหนึ่ง

คือ "จิต"


.


แสดงให้เห็น "ความสำคัญของจิต"

"จิต" ซึ่งเป็น "ธาตุรู้" เป็น "สภาพรู้"

ซึ่ง เป็นใหญ่ เป็นประธาน

ในการ "รู้สิ่งที่ปรากฏ"


.


ซึ่ง ไม่เพียงแต่ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส

รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เท่านั้น

แต่ยัง "คิดนึก" วิจิตร ต่าง ๆ นานา.


.


ฉะนั้น

"โลกของแต่ละคน"

จึง เป็นไป ตาม "อำนาจจิตของแต่ละคน"


.


"จิต" ของบางคน ก็ "สะสมกุศล" ไว้มาก

ไม่ว่า จะเห็นบุคคลใด ซึ่งเป็น ผู้มากไปด้วย "อกุศลธรรม"

"จิต" ของบุคคล ซึ่ง "สะสมกุศล" ไว้มากนั้น

ก็ยังเกิด เมตตา กรุณา หรือ อุเบกขา ได้.


.


ในขณะที่ "โลกของคนอื่น"

เป็น "โลก"ของความชิงชัง ความไม่แช่มชื่น

ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ.


.


ฉะนั้น

แต่ละคน...จึง เป็น "โลกของตัวเอง" แต่ละโลก

ทุก ๆ ขณะ ตามความเป็นจริง.


.


ดูเหมือนว่า

เราทุกคน อยู่ร่วม "โลก" เดียวกัน.


แต่ ตามความเป็นจริงนั้น

สิ่งต่าง ๆ ที่เป็น "รูปธรรม" ซึ่ง สามารถปรากฏได้

ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั้น

ถ้า ไม่มี "จิต" ซึ่งเป็น "สภาพรู้"

สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น

ก็ย่อมไม่ปรากฏ เป็น ความสำคัญ

แต่อย่างใด.


แต่

เพราะ "จิต"....รู้ สิ่งที่ปรากฏ

ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง

ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง.......



"โลกของแต่ละคน" จึงเป็นไป ตาม "จิตของแต่ละคน"



โลกไหนจะดี....โลกที่สะสมกุศลมาก ๆ

พร้อมที่จะเกิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

หรือ....

"โลก" ที่ ชิงชัง โกรธแค้น ขุ่นเคือง.



ซึ่ง แม้ว่า จะเห็นบุคคลเดียวกัน

รู้เรื่องบุคคลเดียวกัน...............



แต่ "โลกของแต่ละคน".......จะเมตตา หรือ ชิงชัง

ก็ย่อมเป็นไป ตาม "อำนาจของจิต" ของแต่ละคน

ซึ่ง "สะสมมา" ต่าง ๆ กัน.




.
.
.


๑. ไทยธรรมมี ผู้ขอมี.......แต่ไม่ให้

เพราะเมื่อก่อน......เราไม่ได้สะสมเรื่องการให้



๒. ไทยธรรมมีน้อย

เพราะเมื่อก่อน......เราไม่เป็นผู้ให้ จึงขาดแคลนไทยธรรม



๓. เสียดายไทยธรรม

ก็จงคิดว่า.......เราปรารถนาการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมหรือการสะสมวัตถุ (อิ_อิ)



๔. เห็นความสิ้นเปลืองแห่งไทยธรรมเพราะการให้

ก็จงคิดว่า.......แม้ไทยธรรมนั้นก็ย่อมสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดา แม้ไม่ให้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2009, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณรสมนครับ


จิตมี 2 ระดับ

1. จิตในปฏิจจสมุปบาท หรือจิตสังขาร หรืออวิชชาจิต

จิตตัวนี้เวียนวนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ มันเป็นจิตเก๊เกิดขึ้นได้ เพราะจิตเดิมแท้ที่ประภัสสรที่จะกล่าวถึงในข้อ 2. ไปหลงกิเลสอวิชชา ในพระอภิธรรมนั้น ถือว่า จิตตัวนี้คือวิญญาณขันธ์ หมายความว่า เมื่อพูดถึงจิตขึ้นมาแล้ว จะต้องมีอารมณ์เข้ามาปรุงแต่งเป็นสังขารธรรมอยู่เสมอ และจะแยกออกจากอารมณ์ไม่ได้

2. จิตเดิมแท้ หรือ จิตประภัสสร ซึ่งก็คือ จิตพุทธะ หรือ จิตหลุดพ้น หรือ จิตสิ้นการปรุงแต่ง หรือนิพพานจิต

ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนทางให้เข้าไปสู่จิตตัวนี้ให้ได้ จิตตัวนี้มีจริง จะเห็นได้จากพระพุทธอุทาน ที่ได้ทรงเปล่งออกภายใต้ต้นโพธิ์เมื่อตอนตรัสรู้ใหม่ๆว่า วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา แปลว่า "จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหาแล้ว"

"จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง, บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหาแล้ว"

ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่า พระนิพพาน ก็คือ จิตที่สิ้นการปรุงแต่ง หรือจิตที่บริสุทธิ์นั่นเอง ผู้ที่ปฏิบัติถึงสภาวะเช่นนี้แล้ว ย่อมรู้ตัวเองว่า ตนได้บรรลุพระนิพพานแล้ว

เนื่องจากจิตเป็นตัวรู้ เราจึงปฏิเสทไม่ได้ว่าในพระนิพพานนั้น ต้องมีจิต(ที่สะอาด)อยู่ด้วย เมื่อเราดับจิตในปฏิจจสมุปบาท หรือดับจิตสังขาร หรือดิบอวิชชาจิตแล้ว เท่ากับสิ่งปรุงแต่งที่ทำให้จิตสกปรกได้ดับหมดสิ้น พระนิพพาน ซึ่งเป็นจิตสิ้นการปรุงแต่ง หรือจิตสะอาดบริสุทธิ์ และเป็นแก่นที่ซ่อนอยู่ในจิตสังขารหรือจิตธรรมดา จะปรากฏออกมา


ขอพูดภาษาในอภิธรรมบ้างนะครับ


จิตมีดวงเดียว แต่มี ๒ แบบ 89 ชนิด ถ้าแจกโดยพิสดาร ก็จะเป็น ๑๒๑ ชนิด

จิตที่มี ๒ แบบ คือ

- โลกียจิต (จิตในปฏิจจสมุปบาท หรือ จิตสังขาร หรือ อวิชชาจิต)
- โลกุุตตรจิต (จิตพุทธะที่เรียกว่านิพพานจิต หรือ จิตเดิมแท้)

โลกียจิต (จิตในปฏิจจสมุปบาท หรือ จิตสังขาร หรือ อวิชชาจิต)ที่มี ๑๒๑ ชนิด ความจริงนั่นก็คือ อาการของจิต (จิตสังขาร)นั่นเอง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 137 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร