วันเวลาปัจจุบัน 18 มิ.ย. 2025, 12:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 03:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 เม.ย. 2009, 02:22
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Y5374678-0.jpg
Y5374678-0.jpg [ 24.62 KiB | เปิดดู 4877 ครั้ง ]
[b]การเกิดมาได้ร่างกายที่เป็นหญิงนั้นย่อมไม่เป็นอุปสรรคต่อมรรคผลนิพพาน พระพุทธองค์ทรงเป็นศาสดาพระองค์แรกที่ทรงยอมรับความทัดเทียมกัน ในการบรรลุธรรมของหญิงและชาย โดยทั่วไปแล้วสังคมมักจำกัดบทบาทของสตรี แต่การตรัสรู้ธรรมนั้นไม่มีการจำกัดทางเพศ ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงจึงได้รับอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุณีได้ และได้พิสูจน์ตนเองว่ามีค่าสมกับที่พระพุทธองค์ทรงให้การยกย่องว่าเป็น เอตทัคคะ ภิกษุณีบางรูป เช่น พระปฎาจาราภิกษุณี ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในด้านพระวินัย พระนางเขมา ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญา เป็นต้น ส่วนในฝ่ายอุบาสิกานั้น นางวิสาขา ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในการให้ทาน พระนางสามาวตี ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางเมตตา เป็นต้น [/b]กล่าวโดยย่อ ผู้หญิงได้แสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการปฏิบัติและสืบพระศาสนา ในปัจจุบัน ผู้หญิงที่ปฏิบัติธรรมตามคำสอนในพระพุทธศาสนา ก็สามารถบรรลุธรรมได้

หากจะมองในแง่ของกรรมที่ว่า เกิดเป็นหญิงเพราะมีกรรมมาก แล้วต้องรอนานแค่ไหนกรรมจึงหมดและได้เริ่มบำเพ็ญ เพราะปุถุชนธรรมดาอย่างเราไม่ว่าหญิงชายไม่สามารถทราบได้เลยว่ามีกรรมร้อยรัดมากี่พบกี่ชาติแล้ว เหมือนดั่งฤาษีองหนึ่ง ที่มีฤทธิ์มากจนรู้ระลึกชาติได้ถึง 80 ชาติจึงคิดว่าตนสำเร็จแล้วเมื่อหมดจากสวรรค์สมบัติ กลับต้องมาเกิดเพื่อใช้กรรมในภพชาติที่ตนระลึกไม่ถึงอีกนับไม่ถ้วน เราไม่สามารถจะใช้กรรมได้หมดตราบใดที่ยังมีกิเลสและอวิชชาเป็นเครื่องอาศัย เริ่มบำเพ็ญตอนนี้ดีที่สุด

คราวนี้มองในแง่ที่ว่าต้องสะสมบุญมากแค่ไหน ถึงจะพอเพียงแก่การบรรลุธรรม ก็ขอให้พิจารณาที่พุทธพจน์อันเป็นอมตะที่ว่า ใครก็ตามได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ด้วยความเพียรให้ต่อเนื่อง อย่างช้าที่สุดภายใน ๗ ปีเขาจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุด เป็นพระอรหันต์ขีณาสพองค์หนึ่งในโลก คำว่า ‘ใครก็ตาม’ หมายถึงจะเป็นหญิงหรือชาย จะเป็นเด็กหรือคนแก่ ก็ล้วนแล้วแต่มีสิทธิ์ทั้งสิ้น ขอให้เข้าใจวิธีเจริญสติปัฏฐานให้ถูกเถอะ นี่นะครับ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ ยังมีหลักฐานบันทึกอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร ขอให้เลือกเอาว่าจะเชื่อพระพุทธเจ้าหรือเชื่อใครอื่น

สมัยพุทธกาลก็มีทั้งเด็ก สตรี และคนชรา ที่บรรลุธรรมกันอย่างมากมายตามหลักฐานที่ได้บันทึกไว้มากมาย

พระอานนท์ เคยทูลถามพระพุทธองค์ ว่าเป็นหญิงสามารถสำเร็จธรรมขั้นต่างๆ เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ไปจนถึงพระอรหันต์ได้ไหม พระพุทธเจ้าตรัสรับรองว่าได้ และนั่นก็เป็นเหตุให้มีการบวชเป็นภิกษุณีได้ในครั้งพุทธกาล

ปัจจุบันแม้ไม่มีภิกษุณีแล้ว อันเนื่องมาจากอินเดียถูกรุกรานเมื่อพุทธศตวรรษที่ 17 ศาสนาพุทธถูกเผาทำลายอย่างหนักจนทำภิกษุณีสูญสิ้นและพุทธศาสนาก็เกือบจะสูญพันธุ์ไปจากอินเดีย ไนขณะนี้มีเพียงบางประเทศที่เริ่มฟื้นฟูภิกษุณีขึ้นใหม่ซึ่งก็นับว่าน้อยมาก แต่ก็ยังมีแม่ชี มีหญิงชาวบ้านที่เพียรปฏิบัติธรรม และได้รับผลจากธรรมกันตามสมควรแก่ความเพียร ไม่ใช่ว่าหลักฐานของหญิงผู้บรรลุธรรมขาดสายหายหนีไปจากโลกแล้ว เพียงแต่อาจหายากหน่อย เพราะคนทุกวันนี้ไม่เชื่อว่าผู้หญิงจะบรรลุธรรมได้

เอาเป็นว่าจะได้ร่ายกายเป็นชายหรือหญิงไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าเราปฏิบ้ติตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสใว้ดีหรือไม่ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริษุท แล้วแค่ไหน เข้าใจในอริยสัจ 4 แล้วไช่มั้ย

กล่าวอย่างรวบรัดคือหากคุณพบว่าตนเองมีคุณสมบัติเข้าข่าย ได้เป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา สามารถศึกษาให้เข้าใจวิธีเจริญสติอย่างถูกต้องเท่านั้นก็เป็นหลักฐานแล้วว่า ‘มีบุญพอ’ แน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ อย่าต้องไปคำนึงว่ากำลังอยู่ในอัตภาพหญิงหรือชายที่รอวันผุพังเลย ที่เหลือคือเพียรเจริญสติอย่างไม่ลดละเท่านั้น สุดท้ายเมื่อ ขันธ์ 5 ดับ ความเป็นหญิงชายย่อมดับเป็นธรรมดา


แก้ไขล่าสุดโดย cmessage เมื่อ 14 มิ.ย. 2009, 03:25, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 03:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณ cmessage
เห็นด้วยค่ะ อ่านแล้วใีด้กำลังใจ ทุกวันนี้
คนไร้สาระก็ฟังธรรมของท่านอยู่ค่ะ สาธุ

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 เม.ย. 2009, 02:22
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 202.88 KiB | เปิดดู 4565 ครั้ง ]
อีกหนึ่งพระองค์หลังพุทธกาลที่พิสูจน์ว่า ผู้หญิงก็บรรลุธรรมได้ ทำให้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงบำเพ็ญได้ง่ายขึ้นและกว้างมากขึ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 เม.ย. 2009, 02:22
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา สาธุ ครับ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 07:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาดูหลักฐานกันบ้าง


จุดหมายสูงสุดของชีวิตเป็นสิ่งที่อาจบรรลุได้ในชาตินี้


นิพพานซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา เป็นภาวะที่มนุษย์สามารถประจักษ์แจ้งได้ในชีวิตปัจจุบันนี้
เอง เมื่อมีเพียรพยายาม ทำตัวให้พร้อมพอ ก็ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า
ดังมีคุณลักษณะอย่างหนึ่งของนิพพานว่าเป็น “สนฺทิฏฐิกํ” (เห็นชัดได้เอง ประจักษ์ได้ในชีวิตนี้)
และ “อกาลิกํ” (ไม่จำกัดกาล ไม่ขึ้นต่อเวลา) - (องฺ.ติก. 20/495/202)
และท่านได้แสดงข้อปฏิบัติต่างๆ ไว้เพื่อให้บรรลุนิพพานได้ในทิฏฐธรรม คือ ในชาตินี้-
(สํ..นิ.16/46/22 = 267/139 ฯลฯ)

จึงมีพุทธพจน์ว่า

“เราย่อมกล่าวดังนี้ว่า บุรุษผู้เป็นวิญญู ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา เป็นคนตรง จงมาเถิด
เราจะสั่งสอน เราจะแสดงธรรม เมื่อเขาปฏิบัติตามคำสั่งสอน ก็จักประจักษ์แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นอนาคาริกโดยชอบต้องการ
อันเป็นจุดหมายของพรหมจรรย์ เข้าถึงอยู่ในปัจจุบันนี้ทีเดียว (โดยใช้เวลา) ๗ ปี ...๖ ปี...๕ ปี
ฯลฯ ๑ เดือน...กึ่งเดือน...๗ วัน”
(ที.ปา.11/31/58 ฯลฯ)


นิพพานเป็นจุดหมายที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่จำกัดชาติชั้น หญิงชาย


บุคคลทุกคน เมื่อมีฉันทะ เพียรพยายาม มีความพร้อม ก็สามารถบรรลุนิพพานได้ ไม่มีข้อจำกัดว่า
จะต้องเป็นคนชาติชั้นวรรณะใด มีฐานะอย่างไร ยากจน มั่งมี เป็นหญิงหรือชาย เป็นคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต
มีพุทธพจน์ แห่งหนึ่งว่า


“ทางนั้น ชื่อว่าทางสายตรง ทิศนั้นชื่อว่าทิศไม่มีภัย รถชื่อว่ารถไร้เสียง ประกอบด้วยล้อคือธรรม
มีหิริเป็นฝา มีสติเป็นเกราะกั้น ธรรมรถนั้น เราบอกให้ มีสัมมาทิฏฐินำหน้าเป็นสารถี
บุคคลใดมียานเช่นนี้ จะเป็นสตรีหรือบุรุษก็ตาม เขาย่อมใช้ยานนั้น (ขับไป) ถึงในสำนักแห่ง
นิพพาน”
(สํ.ส.15/144/45)

(อ่านพุทธพจน์นั่นแล้วก็ไม่พึงคิดว่า นิพพานเป็นสถานที่หรือเป็นเมืองใดเมืองหนึ่งไป
ละกัน)



พระพุทธเจ้าทรงยินยอมให้สตรีบวชเป็นภิกษุณี ทั้งที่สภาวะทางสังคมไม่อำนวย ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าหญิงบวช
ในธรรมวินัยแล้ว ก็สามารถประจักษ์แจ้งโลกุตรธรรมตั้งแต่โสดาปัตติผลถึงอรหัตผลได้เช่นเดียวกับชาย

(วินย.7/515/323)


ครั้งหนึ่ง พระโสมาภิกษุณี เข้าไปนั่งพักอยู่ ณ โคนไม้ต้นหนึ่งในป่า มารประสงค์จะแกล้งหลอกจึงเข้ามา
กล่าวคาถาว่า

“สถานะซึ่งทนอยู่ได้ยาก เป็นที่เหล่าฤๅษีพึงลุถึง สตรีมีปัญญาแค่สองนิ้ว ย่อมไม่อาจบรรลุได้”


พระเถรีตอบว่า

“ความเป็นหญิงจะเกี่ยวอะไร ในเมื่อใจตั้งมั่นดี ในเมื่อญาณเป็นไปอยู่แก่ผู้เห็นแจ้งธรรมอย่างถูกต้อง
ผู้ใดยังมีความยึดถือยู่ว่า เราเป็นหญิง หรือเราเป็นชาย หรือยังมีความรู้สึกค้างใจอยู่ว่า เรามีเราเป็น
มารจึงควรจะพูดกับเขาผู้นั้นได้”
(สํ.ส.15/526-7/198 ขุ.เถรี.26/437/451)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในแง่ ของความเป็นชาวบ้านและชาววัด หรือคฤหัสถ์กับบรรพชิต ก็มีพุทธพจน์ว่า

“เราไม่สรรเสริญการปฏิบัติผิด ไม่ว่าของคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม คฤหัสถ์ก็ดี บรรพชิตก็ดี
ปฏิบัติผิดแล้ว เพราะข้อที่ปฏิบัติผิดนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่เป็นผู้ยังกุศลธรรมที่เป็นทางรอดพ้น
(ญายะ) ให้สำเร็จได้
เราสรรเสริญการปฏิบัติชอบ (สัมมาปฏิบัติ) ไม่ว่าของคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม
คฤหัสถ์ก็ดี บรรพชิตก็ดี ปฏิบัติถูกแล้ว เพราะข้อที่ปฏิบัติถูกต้องนั้นเป็นเหตุ ย่อมเป็นผู้ยังกุศลธรรม
ที่เป็นทางรอดพ้น ให้สำเร็จได้”
(ม.ม.13/710/650)


และมีพุทธพจน์ตรัสถึงความหลุดพ้นของคฤหัสถ์กับบรรพชิตว่า

“เราไม่กล่าว (ว่ามี) ความแตกต่างอะไรเลย ระหว่างอุบาสกผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้
กับภิกษุณีผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วตลอดร้อยปี คือ วิมุตติ กับ วิมุตติ เหมือนกัน”

(สํ.ม.19/1633/516)

........

(ขยายความ)

ข้อความว่า " คือวิมุตติ กับ วิมุตติ เหมือนกัน" พระไตรปิฎกแปลฉบับภาษาไทยว่า “คือหลุดพ้นด้วย
วิมุตติเหมือนกัน” วิมุตตินี้ หมายถึง อรหัตผลวิมุตติ
อย่างไรก็ตาม คัมภีร์รุ่นมิลินทปัญหาเป็นต้นมา (ตั้งแต่ราว พ.ศ. 500) กล่าวว่า คฤหัสถ์บรรลุอรหัตผล
ต้องอุปสมบทในวันนั้น มิฉะนั้นจะต้องปรินิพพาน (มิลินฺท.300) ปัญหาว่า เมื่อเป็นคฤหัสถ์บรรลุ
นิพพานได้ แล้วจะบวชทำไม (ดู มิลินฺท.316 )

.....

เรื่องชาติชั้นวรรณะ นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ในชมพูทวีป จึงมีพุทธพจน์ตรัสย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ
ดังตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เป็นคำสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพราหมณ์ชื่อเอสุการี
คัดมาบางตอนพอเห็นเค้า ดังนี้


“นี่แน่ะพราหมณ์ เราย่อมบัญญัติโลกุตรธรรม ว่าเป็นทรัพย์ประจำตัวของคน (ทุกคน) ฯลฯ
แนะพราหมณ์ ท่านจะเห็นเป็นประการใด (สมมุติว่า) ขัตติยราช ผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว รับสั่งให้
บุรุษชาติต่างๆ กัน ๑๐๐ คนมาประชุมกันว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย ในบรรดาท่านทั้งหลายนั้น ผู้ใดเกิดจาก
ตระกูลกษัตริย์ จากตระกูลพราหมณ์ จากตระกูลเจ้า ผู้นั้นจงเอาไม้สัก ไม้สาละ ไม้สน ไม้จันทร์
หรือไม้ทับทิม มาทำเป็นไม้สีไฟ จงก่อไฟ ให้ความร้อนปรากฏ

มาเถิดท่านทั้งหลาย ในบรรดาท่านทั้งหลายนั้น ผู้ใดเกิดจากตระกูลจัณฑาล จากตระกูลพราน
จากตระกูลช่างสาน จากตระกูลช่างรถ จากตระกูลคนเทขยะ ผู้นั้นจงเอาไม้รางสุนัข ไม้รางสุกร
ไม้รางย้อมผ้า หรือไม้ละหุ่ง มาทำเป็นไม้สีไฟ จงก่อไฟ ให้ความร้อนปรากฏ

นี่แน่ะพราหมณ์ ท่านเห็นประการใด ไฟที่คนผู้เกิดจากตระกูลกษัตริย์ จากตระกูลพราหมณ์
จากตระกูลเจ้า เอาไม้สัก ไม้สาละ ไม้สน ไม้จันทร์ หรือไม้ทับทิม มาทำเป็นไม้สีไฟก่อขึ้น
ให้มีความร้อนปรากฏ ไฟนั้นเท่านั้นหรือจึงมีเปลว มีสี มีแสง และสามารถใช้ทำกิจที่พึงทำด้วยไม้ได้

ส่วนไฟ ที่คนผู้เกิดจากตระกูลจัณฑาล จากตระกูลพราน จากตระกูลช่างสาน จากตระกูลช่างรถ
จากตระกูลคนเทขยะ เอาไม้รางสุนัข ไม้รางสุกร ไม้รางย้อมผ้า ไม้ละหุ่ง มาทำเป็นไม้สีไฟก่อขึ้น
ให้มีความร้อนปรากฏ ไม่มีเปลว ไม่มีสี ไม่มีแสง ไม่สามารถใช้ทำกิจที่พึงทำด้วยไม้ได้อย่างนั้น
หรือ ?


พราหมณ์: มิใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดมผู้เจริญ ....ไฟทั้งหมดนั้นแหละมีเปลว มีสี
มีแสง และไฟทั้งหมดนั้น ใช้ทำกิจที่พึงทำด้วยไฟได้


พระพุทธเจ้า: ฉันนั้นเหมือนกันแล ท่านพราหมณ์ บุคคลแม้หากออกบวช
เป็นอนาคาริกจากตระกูลกษัตริย์ และเขาอาศัยธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว เป็นผู้....มีสัมมาทิฏฐิ
ก็ย่อมเป็นผู้ยังกุศลธรรมที่เป็นทางรอดพ้นให้สำเร็จได้
แม้หากออกบวชเป็นอนาคาริกจากตระกูลพราหมณ์ ...จากตระกูลแพศย์...จากตระกูลศูทร
และเขาอาศัยธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว เป็นผู้....มีสัมมาทิฏฐิ ก็ย่อมเป็นผู้ยังกุศลธรรมที่เป็น
ทางรอดพ้นให้สำเร็จได้”

(เอสุการีสูตร,ม.ม.13/665-670/614-622)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 เม.ย. 2009, 02:22
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยเสริมข้อมูลนะครับ ผมเองก็ไม่กล้าเขียนยาวกลัวจะเมื่อยอ่านกัน แต่มีคนมาช่วยกันเสริมข้อมูลก็ทำให้คนอ่านได้รับประโยชมากขึ้นอีก ดีทีเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 16:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จริงครับ เช่น นางวิสาขาในสมัยพุทธกาล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร