วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 06:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุพเพกตเหตุวาท

เป็นลัทธิมิจฉทิฐิที่เชื่อว่า

การถือว่า สุข ทุกข์ ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า (past –action determinism)

เรียกสั้นๆว่า

ปุเพกตวาท

ตามพุทธพจน์ว่า

“สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ ทิฐิ อย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างไรก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้ในปางก่อน”

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์นั้น เราเข้าไปหาพวกนี้ แล้วถามว่า “ทราบว่าท่านทั้งหลาย มีวาทะ มีทิฐิ....อย่างนี้จริงหรือ”

ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้วรับว่าจริง เราก็กล่าวกับเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ต้องเป็นผู้ทำปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนเป็นเหตุ จะต้องเป็นผู้ทำอทินนาทาน เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ จะต้องเป็นผู้ประพฤติอพรหมจรรย์....เป็นผู้กล่าวมุสาวาท....ฯลฯ เป็นผู้มีมิจฉทิฐิ เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุน่ะซิ””
“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดเอากรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า

“สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ”

ก็ย่อมไม่มี

เมื่อไม่กำหนดเอาสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่ไม่ควรทำ โดยจริงจังมั่นคงดั่งนี้ สมณพราหมณ?พวกนี้ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรมเฉพาะตนไม่ได้ นี้แล

เป็นนิคหะอย่างแรกของเราต่อสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย

สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า

สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี

อย่างหนึ่งอย่างใดที่บุคคลได้เสวย

ทั้งหมดนั้น

เป็นเพราะกรรมที่ตัวทำไว้ในปางก่อน

โดยนัยดังนี้

ด้วยกรรมเก่าหมดสิ้นไปด้วยตะบะ

ไม่ทำกรรมใหม่

ก็จะไม่ถูกบังคับต่อไป

ก็สิ้นกรรม

เพราะสิ้นกรรม ก็สิ้นทุกข์

เพราะสิ้นทุกข์ ก็สิ้นเวทนา

ก็จักเป็นอันสลัดทุกข์ได้หมดสิ้น

ภิกษุทั้งหลาย

พวกนิครนถ์ก็มีวาทะอย่างนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะที่พุทธะตรัสรู้เห็นยากเข้าใจยากครับ คุณ mes เพราะอยู่ใกล้ตัวเกินไป :b32: จึงมองไม่เห็น เหมือนขนตาครับ :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


“ดูกรสิวกะ

เวทนาบางอย่างเกิดขึ้น

มีดีเป็นสมุฎฐานก็ดีฯลฯ

เกิดจากความแปรปรวนแห่งอุตุก็มี....

เกิดจากการบริหารตนไม่สม่ำเสมอก็มี....

เกิดจากถูกทำร้ายก็มี....

เกิดจากผลกรรมก็มีฯลฯ

สมณพราหมณ์เหล่าใด

มีวาทะมีความเห็นอย่างนี้ว่า

“บุคคลได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง

เป็สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี

เวทนานั้นเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อน”ฯลฯ

เรากล่าวว่า

เป็นความผิดของสมณพราหมณ์เหล่านั้นเอง”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

อตฺตนาว กตํ ปาป อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ

อตฺตนา อกตํ ปาป อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย.

ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง

ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตัว คนอื่นทำคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่



บาปเมื่อทำแล้ว ย่อมตกเป็นนมรดกแก่ผู้ทำนั่นเอง จะไปยื่นโยนโอนมอบให้แก่ผู้อื่นหาได้ไม่

หรือจะปัดเป่าชำระล้างโดยวิธีใดๆ ย่อมทำให้หมดไปไม่ได้เช่นเดียวกัน

เพราะบาปไม่ใช่มลทินของร่างกายหรือสิ่งโสโครก จะได้ชำระล้างให้หมดจดไปได้

เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถถูปมํ

ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ

สูเจ้าทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ อันตระการตาดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่


คำว่า " โลก " ในอรรถกถาหมายถึง อัตตภาพร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งขันธ์ ๕ คือ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันวิจิตร งดงามด้วยเครื่องประดับมีผ้านุ่งห่มเป็นต้น

ส่วนพระมติของสมเด็จพระพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส หทรงอธิบายว่า โลก ในที่นี้

โดยตรงได้แก่แผ่นดินเป็นที่อาศัย โดยอ้อมได้แก่หมู่สัตว์ผู้อาศัย คนเขลาผู้ไม่รู้สัจธรรม

ย่อมหมกมุ่นอยู่กับโลก โดยหลงใหลว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นต้น

ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดรู้เท่าทันในคติของธรรมดาแล้ว จึงไม่ข้องอยู่ในโลก

คลายความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนเสียได้


เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.

ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร

อาการสำรวมจิตมี ๓ อย่าง


๑. สำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ มิให้ความยินดีครอบงำในเมื่อเห็นรูป

ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะอันน่าปรารถนา

๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ ..

อสุภะ และกายคตาสติ หรืออันยังใจให้สลดคือ มรณสติ

๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจรณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์

สันนิษฐานให้เห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

กิเลสกาม คือ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ กล่าวคือ ตัณหา ความทะยานอยาก

ราคะ ความกำหนัด อรติ ความขึ้งเคียดเป็นอาทิ จัดว่าเป็นมาร

เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน

วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดเป็นบ่วงแห่งมาร ..

เพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติดแห่งมาร

บ่วงแห่งมารนี้ ผู้ที่สำรวมระวังจิตด้วยวิธีทั้ง ๓ วิธีดังกล่าวแล้ว

จึงจะสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของมันได้


คำว่า พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่ นั้นมีลักษณะอาการ และคุณโทษต่างกันอย่างไร?


พวกคนเขลาไม่เพียรพยายามพิจรณาให้เห็นจริงโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ

ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดอยู่ในสิ่งอันเป็นอุปการะทั้งภายใน ภายนอก

เช่นนี้ชื่อว่า หมกอยู่ในโลกมีโทษคือ ย่อมเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามสิ่งนั้นๆจะพึงอำนวย

เหมือนปลาที่หลงกินเหยื่อที่เกียวติดอยู่กับเบ็ด ย่อมหาอิสระมิได้

ฝ่ายผู้รู้พิจรณารู้เห็นตามความเป็นจริงแห่งสิ่งนั้นๆ ว่าฉันใดแล้ว

ไม่ข้องไม่พอใจหรือพัวพันในสิ่งอันล่อใจ อันใครๆและอะไรๆ

ไม่อาจยั่วให้ติดด้วยประการใดๆ มีคุณ คือ ย่อมมีอิสระแก่ตนเอง ย่อมได้สุขที่ประณีต

สุขภายในอันยั่งยืน ไม่ต้องทุกข์เพราะเหตุไรๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 09:21
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้เขาสองคนคงยังมีกรรมดีอยู่ เมื่อไรที่กรรมดีลดน้อยลง เมื่อนั้นกรรมชั่วก็จะปรากฏ ที่พูดเช่นนี้เพราะขณะนี้เขาสองคนอยู่กันอย่างมีความสุขมาก(ไม่ได้คิดเอง แต่ดูจากหน้าตาสดใสของผู้ชาย) สำหรับเราก็ได้แต่สวดมนต์ ทำบุญ ใส่บาตร อุทิศส่วนกุศล ให้เจ้ากรรมนายเวร ให้สามีมีความสุข ขออโหสิกรรมกับเขาทั้งสองคน ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน ขอให้หมดเวรหมดกรรมกันแต่เพียงเท่านี้ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ทุกข์ใจ เขียน:
ตอนนี้เขาสองคนคงยังมีกรรมดีอยู่ เมื่อไรที่กรรมดีลดน้อยลง เมื่อนั้นกรรมชั่วก็จะปรากฏ ที่พูดเช่นนี้เพราะขณะนี้เขาสองคนอยู่กันอย่างมีความสุขมาก(ไม่ได้คิดเอง แต่ดูจากหน้าตาสดใสของผู้ชาย) สำหรับเราก็ได้แต่สวดมนต์ ทำบุญ ใส่บาตร อุทิศส่วนกุศล ให้เจ้ากรรมนายเวร ให้สามีมีความสุข ขออโหสิกรรมกับเขาทั้งสองคน ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน ขอให้หมดเวรหมดกรรมกันแต่เพียงเท่านี้ :b8:


ไม่มีใครที่จะสุขอย่างเดียว หรือทุกข์อย่างเดียวหรอกค่ะ ยามใดที่เรามีทุกข์มัก
เห็นคนอื่นมีแต่ความสุข ตอนนี้คุณมีความทุกข์ก็เลยเห็นเขาสองคนมีความสุข ทำใจให้สบายอย่าไปมอง
อย่าไปรับรู้เรื่องของพวกเขาซิค่ะ ส่งกำลังใจมาให้ขอให้คุณหมดทุกข์มีแต่ความสุขนะค่ะ

เจริญในธรรม

:b41: :b41: :b41: :b43: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 15:01
โพสต์: 408

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโทษนะค่ะคุณทุกข์ใจ ที่เพิ่งเข้ามาให้กำลังใจคุณวันนี้ แต่คิดว่า ณ เวลานี้คุณคงมีกำลังใจดีขึ้นเยอะแล้ว เวลาที่ผ่านมาจะทำให้เราดีขึ้น ดิฉันเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เก็บบทเรียนไว้เป็นข้อคิดและหาหนทางปฏิบัติให้ถูกต้อง กฎแห่งกรรมที่ทุกๆ คนกระทำ ใครทำกรรมอะไรย่อมได้รับผลกรรมนั้น ไม่มีใครรอดผลของการกระทำของตนได้
"เวลา....เป็นสิ่งเดียวในโลก
ที่ทุกคนได้รับเสมอกัน
ไม่มีใครได้เปรียบ
หรือเสียเปรียบกันแลแม้แต่คนเดียว
แต่ ใครจะใช้เวลาในแต่ละวินาที
อย่างมีค่า และคุ้มค่ากว่ากัน
นี่แหละ เป็นเรื่องน่าคิด"

เป็นบทความของ หล่องพ่อจรัญ ฐิติธมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี

ขอให้คุณผ่านพ้นความทุกข์ใจ ไปให้ได้นะค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 24 ก.ย. 2009, 05:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 14:32
โพสต์: 874

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b28: ดิฉันก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ประสบปัญหานี้เช่นกัน ยอมรับว่าทำใจไม่ได้ และตอนนี้ก็กำลังใช้ความพยายามอย่างมากเช่นกัน แต่อยากบอกคุณว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน วันนี้ เวลานี้ หาความสุขให้ตัวเองให้ได้ ชีวิตเราถูทำร้ายจากคนอื่น ฉนั้นเราต้องไม่ทำร้ายตนเองนะคะ แล้วอโหสิกรรมให้อย่าอาฆาต เพราะจะเป็นการต่อกรรมกันไม่สิ้นสุด คิดซะว่าดีแล้วที่เราได้ชดใช้กรรมแล้ว จะได้จบกันในชาตินี้ อย่างน้อยคุณก็มีบุญที่ได้เกิดในพุทธศาสนา ก่อนนอนสวดมนต์ ขออโหสิกรม แผ่ส่วนกุศลและอุทิศส่วนกุศลให้กับสามีและเขาซะ ใจเราเย็นสิ่งอื่น ๆ จะเย็นลงตามมาคะ
ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ :b41:
หากคุณเชื่อเรื่องกรรมเวร ลองโทร 0894220883 ท่านอาจมีข้อแนะนำดี ๆ ให้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 09:21
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอถามต่ออีกนิด หลายท่านรวมทั้งตัวเราเอง บอกว่าใครทำกรรมชั่วไว้ คนนั้นก็รับไป อย่างกรณีเขาสองคน ถ้าพวกเขาพากันไปทำบุญบ่อยๆ อย่างล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์นี้ ฝ่ายชายเป็นประธานจัดงานทอดผ้าป่า ซึ่งเราเองก็คิดว่าคงได้บุญเยอะพอสมควร อย่างกรณีนี้กว่ากรรมจะตามสนองเขาสองคนก็คงจะอีกนาน(คิดเอาเอง) ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไรบ้าง ขอบคุณมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 09:21
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในส่วนของตัวเราเอง เราทำตามที่คุณ นนนน บอกมาตั้งนานแล้ว ไม่ได้ทำเฉพาะก่อนนอน ตอนกลางวันพอว่างก็สวดมนต์ สรุปแล้ววันละหลายรอบ เพื่อไม่ให้จิตมันฟุ้งซ่านน่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 14:32
โพสต์: 874

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาในการตั้งใจสวดมนต์ของ คุณทุกข์ใจ นะคะ อย่างน้อยการสวดมนต์จะทำให้ใจเราสงบในขณะสวด นะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ทุกข์ใจ เขียน:
ขอถามต่ออีกนิด หลายท่านรวมทั้งตัวเราเอง บอกว่าใครทำกรรมชั่วไว้ คนนั้นก็รับไป อย่างกรณีเขาสองคน ถ้าพวกเขาพากันไปทำบุญบ่อยๆ อย่างล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์นี้ ฝ่ายชายเป็นประธานจัดงานทอดผ้าป่า ซึ่งเราเองก็คิดว่าคงได้บุญเยอะพอสมควร อย่างกรณีนี้กว่ากรรมจะตามสนองเขาสองคนก็คงจะอีกนาน(คิดเอาเอง) ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไรบ้าง ขอบคุณมาก


บุญก็คือบุญ บาปก็คือบาป เอามาหักล้างกันไม่ได้ คุณทำทั้งสองอย่าง คุณก็จะไดัรับผลทั้งสองอย่าง
เพียงแต่ว่ากรรมไหนจะแรง และเร็วกว่า ก็ส่งผลก่อน เขาเป็นประธานจัดงานทอดผ้าป่า
ถ้าเจตนาที่ทำบริสุทธิ์จริง เขาก็ได้บุญกันเต็มๆ แต่คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าที่เขาทำกันนั้นไม่ได้หวัง
ผลอะไร ดิฉันไม่เชื่อในความบริสุทธิใจในการทำบุญของพวกเขาหรอกค่ะ ขนาดศิลห้า พวกเขายัง
รักษาไม่ได้เลย อย่าคิดเอง เออเองซิค่ะ กรรมไม่ว่าดีหรือชั่ว ยุติธรรมและเที่ยงตรงที่สุด ไม่มีใคร
หลีกหนีหรือลดหย่อนได้แน่นอนค่ะ อย่าไปอยากเห็น และรอคอย ความหายนะของพวกเขา เพราะ
นั่นคุณก็กำลังถูก อกุศลจิตครอบงำอยู่ คุณถึงได้ร้อนรน เพราะไฟมันเผาใจคุณแทนพวกเขาไงค่ะ
ดับไฟในใจของเราเสีย แล้วมองดูพวกเขาเฉยๆ ลองดูนะค่ะ เจริญในธรรมค่ะ

:b41: :b41: :b41: :b39: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2009, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะฉันประมาท ทุกข์อันไม่น่ายินดี
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ายินดี

เพราะฉันประมาท ทุกข์อันไม่น่ารัก
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ารัก

เพราะฉันประมาท ทุกข์อันเร่าร้อน
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นสุข



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2009, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 02:56
โพสต์: 290

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b4: :b4: :b4: อีกหน่อยคุณทุกข์ใจ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นคุณสุขใจแล้วอ่ะจิค่ะ... :b16: :b16: :b16: ดีจังเลยยยยยยยย...

:b19: :b19: :b19: นู๋เอค่ะ

.....................................................
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระธรรม
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระมารดาพระบิดา
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง...สาธุ สาธุ สาธุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 157 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร