วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 01:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2009, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


สภาพธรรมทุกอย่าง....ไม่เว้นเลย.!


.


เราได้ยิน "เรื่องเห็น" "เรื่องได้ยิน"

"เรื่องกรรม" "เรื่องกิเลส"

เรื่อง อะไร ๆ ก็ ตามแต่.........


.


ต้อง "เข้าใจ" จริง ๆ ว่า

"สภาพธรรมจริง ๆ"......ไม่ได้อยู่ในตำรา

แต่ อยู่ใน ชีวิตประจำวันของเรา นั้เอง.!


ถ้าเป็น "วิบาก" เป็น ผลของกรรม

ก็คือ "ขณะนี้"

ทางกาย กำลังกระทบ.....?

ทางหู กำลังได้ยิน...........?

หลังจากนั้น....เป็น "กิเลส"

แต่ เรา ไม่รู้ เลย...............?


เพราะว่า

เรามีความเข้าใจ ขั้นการฟัง.


.


การเห็น ขณะนี้......ไม่ใช่เห็นเปล่า ๆ

เพราะหลังจากเห็นแล้ว...มีคิดนึกต่อ.


.


"ขณะที่คิดนึก".......เราก็รู้ด้วย ว่า

"คิดนึกเป็นกุศล"........ก็อย่างหนึ่ง

"คิดนึกเป็นอกุศล" ก็อีกอย่างหนึ่ง.


.


นามธรรม และ รูปธรรม ที่ปรากฏ ในชีวิตประจำวัน

มีมากมาย หลายประเภท.

เพราะฉะนั้น

จึงต้องค่อย ๆ ระลึก จริง ๆ

จนกว่า จะ ทั่ว.!


.


ขณะที่กำลังระลึก เป็น สภาพนามธรรม ที่ระลึก

และ เข้าใจ "ลักษณะ" ที่ระลึก ว่า....ไม่ใช่เรา.!


.


ไม่ใช่เรา

เพราะเป็นเพียง "นามธรรมประเภทหนึ่ง"

ซึ่ง เป็น "ความคิดนึก"


.


ขณะที่คิด ก็คือ ขณะที่คิด

คิด คือ การรู้คำ

ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่เห็น ฯ

ขณะที่เห็น ก็คือ ขณะที่เห็น ฯ


.


แม้ว่า ดูเสมือน ว่า ง่าย ๆ อย่างนี้

แต่จะต้องรู้ด้วย ว่า ไม่ใช่ตัวตน.!


.


ถ้าจะว่าโดยนัยของ "ขันธ์ ๕"

ก็คือ "วิญญาณขันธ์"

ซึ่ง ก็คือ "จิต"


.


"วิญญาณขันธ์"

ซึ่งต้องประกอบด้วย "สังขารขันธ์"

(เจตสิก ๕๐ ประเภท เว้น สัญญาเจตสิก และ เวทนาเจตสิก)


.


นอกจาก "รูปขันธ์" ซึ่ง เป็น "รูปธรรม"

ทีไม่ใช่ สภาพรู้.


ขันธ์ทั้ง ๔ ที่เหลือ นั้น

คือ "นามธรรม" ซึ่งเป็น สภาพรู้.


ได้แก่

เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์.


นามธรรมทั้ง ๔ นี้....จะไม่แยกจากกันเลย.!


.


ถ้าจะพูดถึง "กรรม"

ซึ่งเป็น "สภาพที่กระทำ"

หมายความถึง

"ลักษณะที่จงใจที่จะกระทำ"


กรรม คือ เจตนาเจตสิก ที่เกิดกับจิต.


หมายความว่า

จิตเกิดขึ้น ทำกิจของจิต

คือ เป็นใหญ่ เป็นประธาน

ในการรู้อารมณ์หนึ่ง อารมณ์ใด.


.


ส่วน เจตสิก แต่ละประเภท

ที่เกิดร่วมด้วยกับจิต

ก็ทำกิจ เฉพาะ ของตน ๆ


.


และถ้าจะกล่าวเน้นลงไป

กรรม ที่จะให้ผล นั้น

จะต้องมุ่งหมาย ถึง เจตนาเจตสิก.


.


ถ้าจะกล่าวโดยนัยของ เจตนาในวิบากจิต ซึ่งเป็น ผล

(ไม่ใช่ เจตนาที่เป็นเหตุ....คือ กุศลเจตนา และ อกุศลเจตนา)

จะต้องกล่าวโดยนัย คือ ชาติของจิต


(ชาติวิบาก ชาติกุศล ชาติอกุศล ชาติกิริยา)



เจตนา ที่เป็น วิบาก ก็มี (เป็นผลของกรรม)

เจตนา ที่เป็น กุศล ก็มี (เป็นเหตุของกรรม)

เจตนา ที่เป็น อกุศล ก็มี (เป็นเหตุของกรรม)


เจตนา ที่เป็น กิริยา ก็มี

(เจตนาที่เป็นกิริยา...ไม่เป็นผลของกรรม และ ไม่เป็นเหตุของกรรม)


.


นามธรรม คือ สภาพรู้ แต่ละประเภท ๆ

ทำกิจ เฉพาะตน ๆ เท่านั้น.........เช่น


ทำกิจ ของวิบาก

ทำกิจ ของกิริยา

ทำกิจ ของกุศล

ทำกิจ ของอกุศล


สภาพธรรม ต้องกิดขึ้น ทำกิจการงาน

"ขณะนี้"

ก็กำลังทำกิจการงานของตน ๆ อยู่.!




.


สภาพธรรม จึงเป็น อนัตตา

เพราะเป็น นามธรรม และ รูปธรรม.


ไม่ใช่ เรา.!


ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

และ เป็นปกติ เป็นธรรมดา

ตามความเป็นจริง.


.


แต่ ถ้า มี "ความเป็นเรา"

เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อไหร่

ก็ไม่ ธรรมดา.


เช่น เวลาที่คนอื่นล้มตาย เราไม่เดือดร้อน

เพราะ "ตัวเรา" ไม่ได้เกี่ยวข้อง

แต่ถ้ามาเกี่ยวข้องกับ "ตัวเรา"

ก็ไม่ ธรรมดา.


เพราะเกิดความติดข้องบ้าง

เกิดความไม่พอใจบ้าง ฯลฯ

เพราะ "ความเป็นเรา"


.


นี่คือ "หนทาง"

ที่จะ รู้ "ลักษณะ" ของ นามธรรม.


เพราะ สภาพของ "รูปธรรม" นั้น

หากมีการพิจารณาจริง ๆ แล้ว....

"รูปธรรม"ทั้งหมด ไม่ใช่ "สภาพรู้"


เพราะฉะนั้น

ไม่ว่าจะเป็น "รูปที่กาย" หรือ "รูปที่อื่น"

รูปที่ไหน ๆ ก็ไม่รู้อะไร ทั้งสิ้น.!


.


เมื่อมี "ความเข้าใจ" อย่างนี้

ก็สามารถที่จะแยก "ลักษณะ" ที่เป็นนามธรรม และ รูปธรรม" ได้.


.


ตลอดชีวิต

ตั้งแต่เกิด จนตาย ในชาติหนึ่ง ๆ

เป็นนามธรรม และ รูปธรรม ทั้งหมดเลย.


(ในภูมิที่มีขันธ์ ๕)


.


เป็น นามธรรม และ รูปธรรม

ที่กำลังเกิดดับ สืบต่อ อย่างรวดเร็ว

เป็น "ธาตุ"

ซึ่งไม่มีใครสามารถไปดับได้

เพราะมี "ปัจจัย" ก็ต้องเกิด.


.


เปรียบเหมือนกับ การจุดไม้ขีดไฟ

เมื่อมี "ปัจจัย" คือ ไม้ขีด กับ ข้างกล่องไม้ขีด

ซึ่ง กระทบกันเมื่อไหร๋

ไฟ ก็ต้องเกิด...ฉันใด ก็ ฉันนั้น.!


.


เพราะฉะนั้น

ขณะที่เกิดการเห็น ไม่มีการเตรียม.


หมายความว่า

เมื่อ "จักขุวิญญาณจิต" เกิด

ก็ไม่ต้องไปรอที่ไหนเลย.


เพียงแต่อาศัย "ปัจจัย"

คือ จักขุปสาทรูป ซึ่ง กรรมทำให้เกิด โดย "กัมมปัจจัย"

หมายถึง รูป ที่กระทบ แล้วยังไม่ดับ เท่านั้น.


.


เพราะฉะนั้น

ชีวิตนี้....กำลังแตกดับอยู่ทุกขณะ.!


เกิดแล้ว ตามเหตุ ตามปัจจัย

แล้วดับไปทันที....ไม่เหลือเลย.!


ความเป็นเรา...จึงไม่มี.!


แต่มี "สัญญา" คือ "ความทรงจำ"

ซึ่งประกอบด้วย "ความเห็นผิด" คือ "สักกายทิฏฐิ"


"สักกายทิฏฐิ"

ที่ไปจำไว้ ว่า เป็นตัวเป็นตน.


.



แล้วก็จำได้ แต่ชาตินี้

ชาติเดียว เท่านั้น.



ชาติก่อน........ก็ลืมหมดแล้ว

ชาตินี้....ก็จำได้ เพียงชาตินี้

ชาติหน้า.....ก็ลืมชาตินี้หมด.



ต้องไป "ติดข้อง" ใหม่

ในความเป็น บุคคลใหม่

ในชาติหน้า........ต่อไป.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 144 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร