วันเวลาปัจจุบัน 16 พ.ค. 2025, 00:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2009, 14:18
โพสต์: 12

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีเพื่อนที่รู้จัก เขาเป็นคนเชื่อเรื่องกรรม ตอนนี้เขาป่วยอาการไข้ก็ไม่มี คือไอมาเป็นเดือนแล้วยังไม่หายเคยไปรพ.มาครั้งเดียว นอกนั้นก็ซื้อยามากินเองก็ยังไม่หาย จนเคยพูดให้ไปรพ.อีกแต่ก็ไม่ยอมไปจนทะเลาะกันเลยค่ะ เขาบอกว่าเขารู้ว่าเป็นอะไร รักษาโดยกินยาแบบนี้เขาไม่มีทางหายหรอก ถ้าเจ้ากรรมนายเวรเขาปล่อยเขาก็จะหาย แล้วช่วงที่เขาไปหาอาจารย์ที่เขานับถือ ก็บอกว่าน่าจะเป็นเรื่องกรรมของเขาเอง คือเราก็เข้าใจในเรื่องของกรรมนะและก็เชื่อเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร แต่ว่าถ้าไม่สบายอาการแบบนี้มันแค่ป่วยธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นโรคอะไรนะ อย่างนี้ถ้าเราป่วยนิด ๆ หน่อย ก็คิดว่าเป็นเรื่องของกรรม หรือเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรหรืออย่างไร ท่านใดมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างคะ บางทีก็เชื่อค่ะแต่บางครั้งมันมากไปหรือเปล่านะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




sr050.gif
sr050.gif [ 65.14 KiB | เปิดดู 2582 ครั้ง ]
เป็นคำถามที่ได้ใจกรัชกายมากๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มีเพื่อนที่รู้จัก เขาเป็นคนเชื่อเรื่องกรรม


ดีๆๆมีสัมมาทิฏฐิอยู่ สาธุ

อ้างคำพูด:
ตอนนี้เขาป่วยอาการไข้ก็ไม่มี คือไอมาเป็นเดือนแล้วยังไม่หายเคยไปรพ.มาครั้งเดียว นอกนั้นก็ซื้อยามากินเองก็ยังไม่หาย จนเคยพูดให้ไปรพ.อีกแต่ก็ไม่ยอมไปจนทะเลาะกันเลยค่ะ เขาบอกว่าเขารู้ว่าเป็นอะไร รักษาโดยกินยาแบบนี้เขาไม่มีทางหายหรอก


เอ รู้ว่ากินยาแล้วไม่หาย แต่ยังเสียเงินไปซื้อยามานี่ หวังฟลุคมังครับ :b10:
ถ้ารู้จริงคงไม่ไปซื้อยาหรอกครับ หรือมารู้ทีหลัง :b10: :b6:

อ้างคำพูด:
ถ้าเจ้ากรรมนายเวรเขาปล่อยเขาก็จะหาย

อือม์ รู้ว่ามีเจ้ากรรมนายเวรมากำกับโรคอยู่ แล้วทำไมไม่จัดการกับเขาล่ะครับ ปล่อยให้มาเกะกะระรานกันแบบนี้คงไม่ถูกเรื่องแน่ๆ ยังไงก็ไปเตืิอนเจ้ากรรมฯด้วยว่่ทำบาปไม่ดี เด๋วได้ตกนรกกันยาวววเลย น่ากลัวนา..

อะนะ เพื่อนผู้ห่วงเพื่อน พึงทราบไว้ดังนี้ว่า โรค มีสมุฏฐานหรือสาเหตุที่เกิดอยู่ ๔ประการคือ
๑.เกิดจากกรรม คือการล่วงศีล โดยเฉพาะข้อที่ ๑ มาก่อนจึงได้เป็นเหตุให้ได้รับวิบากคือเป็นผู้มีอาพาธมาก ในกรณีที่กรรมนั้นหนักมากเช่นไปทำร้ายพระอริยะบุคคลหรือผู้มีคุณมีศีล โรคนั้นจะหนักและถึงขั้นเยียวยาไม่ได้ก็เป็นได้

๒.เกิดจากจิต คือคิดมาก จนเครียดพาลเป็นโรคจิต กระเพาะและสารพัดโรคที่ทราบกันทั่วไป หรือโทสะพยาบาทกลุ้มรุมจนเกิดความดันสูงหัวใจวายตาย ที่เรียกว่าช็อคอะครับ

๓. อุตุ นี่คืออุณหภูมิบรรยากาศสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน ความร้อนหนาวชื้นแห้งทั้งหลายก็มีบทบาทกำกับการเกิดโรคได้หรือพี่แกอยู่ที่มีฝุ่น เลยแพ้ฝุ่นทำให้ไอไม่หยุด ถามดูซิว่าอาศัยใกล้โรงเลื่อยหรือโรงโม่หินละป่าวถ้าย้ายไปซะ อาจหยุดไอได้

๔. อาหาร เรื่องนี่เห็นชัด กินอาหารพิษ อาหารสกปรกติดเชื้อโรค ก็เข้าถึงความอาพาธได้เช่นกัน

เอานะ ลองให้เพื่อนพิจารณาวิเคราะห์ดูสมุฏฐานแห่งโรคของตน รักษาให้ตรงเหตุ ไม่ต้องรอเจ้ากรรมฯ(ซึ่งคงว่างมากไม่มีงานทำเลยมานั่งกำกับโรคให้คนอื่นเช่นนี้ ท่าทางคงสนุกนะ! :b10: )มาปลดปล่อยดอก เกิดมาเป็นคนทั้งที จะแพ้อะไรๆแบบนี้มันไม่คุ้มบุญที่ทำไว้ให้เกิดเป็น"คน"เลย...

เอ้า! นี่ยาละลายเจ้ากรรม เอาไปแบ่งเพื่อนด้วยนะ
เจ้ากรรมนายเวร มีอยู่จริง? (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=21463


สาธุอนุโมทนาเพื่อนผู้มีเมตตาเช่นคุณครับ :b35:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มีเพื่อนที่รู้จัก เขาเป็นคนเชื่อเรื่องกรรม ตอนนี้เขาป่วยอาการไข้ก็ไม่มี คือไอมาเป็นเดือนแล้วยังไม่หายเคยไป รพ. มาครั้งเดียว นอกนั้นก็ซื้อยามากินเองก็ยังไม่หาย จนเคยพูดให้ไป รพ. อีกแต่ก็ไม่ยอมไป จนทะเลาะกันเลยค่ะ
เขาบอกว่าเขารู้ว่าเป็นอะไร รักษาโดยกินยาแบบนี้เขาไม่มีทางหายหรอก ถ้าเจ้ากรรมนายเวรเขาปล่อยเขาก็จะหาย
แล้วช่วงที่เขาไปหาอาจารย์ที่เขานับถือ ก็บอกว่า น่าจะเป็นเรื่องกรรมของเขาเอง คือเราก็เข้าใจในเรื่องของกรรมนะ และก็เชื่อเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร
แต่ว่าถ้าไม่สบายอาการแบบนี้มันแค่ป่วยธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นโรคอะไรนะ อย่างนี้ถ้าเราป่วยนิด ๆ หน่อย ก็คิดว่าเป็นเรื่องของกรรม หรือเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรหรืออย่างไร
ท่านใดมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างคะ
บางทีก็เชื่อค่ะ แต่บางครั้งมันมากไปหรือเปล่านะ


บางทีก็เชื่อค่ะ แต่บางครั้งมันมากไปหรือเปล่านะ

ย่อมเป็นเช่นนั้น จขกท. พูดถูก มากเกินไปจนกลายเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิต ณ ปัจจุบัน
อะไรๆเกิดขึ้นหน่อยก็ซัดให้กรรมเก่าหมด จนปล่อยปละละเลยไม่คิดแก้ไขในปัจจุบันเดี๋ยวนี้
เป็นจุดบกพร่องของผู้นั้นเอง

เมื่อตนคิดปลงใจว่าเป็นเช่นนั้น คือ เป็นกรรมเก่า อุปาทานก็เกิดยึดติดถือมั่นอาการนั้น ความรู้สึกนึกคิดนั้นไว้อย่างเหนี่ยวแน่น ไม่เป็นอะไรก็เหมือนเป็นเพราะจิตมันยึด เป็นน้อยเหมือนเป็นมาก เป็นมากพานหมดแรงใจหมดกำลังใจจะสู้ต่อ จิตใจอ่อนเปลี้ยสิ้นพลัง ร่างกายจึงพลอยอ่อนเปลี้ยไปด้วย


นำพุทธพจน์มาให้พิจารณาสักบทหนึ่ง

“ดูกรสิวกะ เวทนาบางอย่างเกิดขึ้น มีดีเป็นสมุฏฐานก็มี ฯลฯ เกิดจากความแปรปรวนแห่งอุตุก็มี...
เกิดจากการบริหารตนไม่สม่ำเสมอก็มี...เกิดจากถูกทำร้ายก็มี...เกิดจากผลกรรมก็มี ฯลฯ ชนเหล่าใด
มีวาทะมีความเห็นอย่างนี้ว่า “บุคคลได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี
เวทนานั้น เป็นเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้ในปางก่อน“ ฯลฯ เรากล่าวว่าเป็นความผิดของชนเหล่านั้นเอง”
(สํ. สฬ. 18/427/284)

เรามองความหมายของกรรมแต่ในแง่กรรมเก่า จนกลายเป็นคนนั่งนอนรอคอยผลกรรมเก่า สุดแต่จะบันดาล
ให้เป็นไป ไม่คิดแก้ไขปรับปรุงตนเอง กลายเป็นความเห็นผิดอย่างร้ายแรง
ฯลฯ



หากมีเวลาศึกษาเกี่ยวกับพุทธศาสนากว้างๆที่ลิงค์ก่อนครับ

viewtopic.php?f=2&t=19015

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 09 มิ.ย. 2009, 18:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านบทความธรรมะที่ท่านพระพรหมคุณาภรณ์เขียนไว้ ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งประจำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
มีข้อฉุกคิดเกี่ยวกับความเข้าใจธรรมะหรือจะพูดว่า ตีความธรรมะก็น่าจะได้
ท่านใช้ชื่อหัวข้อ "มองธรรมถูกทางมีสุขทุกที่"



มองธรรมถูกทางมีสุขทุกที่

ท่าน(ศาสนา) สอนว่า เมื่อสิ่งทั้งหลายเป็นอนิจจังตามธรรมดาของมัน มีอะไรที่ควรทำ เราจะต้องเร่งรัดจัดการ จะรีรอปล่อยเรื่อยเปื่อยไปไม่ได้

ของเรา (เราเอง) โยงอนิจจัง กับความรู้เท่าทันธรรมดา แล้วปล่อยวาง

ของท่าน โยงอนิจจัง กับความรู้เท่าทันธรรมดา แล้วไม่ประมาท


แล้วจะเอาอย่างไร เราปฏิบัติผิดใช่ไหม ?

ถ้าตอบแบบปลอบใจก็ว่า ไม่ถึงกับผิด แต่ไม่พอ (ไม่ผิดเต็มที่ ยังถูกน้อยไป จึงต้องแก้ไขปรับปรุง)

เราถูกไม่เต็มที่ตรงไหน จะรู้ได้อย่างไร ? ควรจะมองกันใช้ชัดเจน

เอาแค่ “ธรรมดา” ที่เราเข้าใจ ก็ไม่ตรงกับที่ท่านสอนไว้

“ธรรมดา” แบบของเรา คือ สิ่งทั้งหลายเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะเป็นอย่างไรก็เป็นของมันเอง เราจะทำอย่างไรได้ ก็ต้องปล่อยมันไป
(นี่หมิ่นเหม่จะเข้าลัทธิอเหตุวาท ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ)

“ธรรมดา” แบบของท่าน คือ สิ่งทั้งหลายเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของมันเอง เราจะปล่อยเรื่อยเปื่อยไม่ได้ ต้องรู้เท่าทันและจัดการที่เหตุปัจจัย

พอจับจุดนี้ได้ ก็มองเห็นปัญหา รู้ว่าทำไมและเห็นทางแก้ไข

ของเรา เมื่อเป็นอนิจจังตามธรรมดาของมัน มันจะต้องเป็นของมันอย่างนั้น เราทำอะไรไม่ได้ เราก็ปล่อยวาง แล้วก็ไม่ต้องทำอะไร (กลายเป็นปล่อยปละละเลย)

ของท่าน เมื่อเป็นอนิจจังตามธรรมดาของมัน มันจะต้องเป็นของอย่างนั้น ตามเหตุปัจจัยของมัน เราจะให้เป็นอย่างที่ใจเราไปอยากไปยึดไม่ได้ ใจเราก็ปล่อยวาง แล้วก็ไปศึกษาไปทำที่เหตุปัจจัย (ไม่ปล่อยปละละเลย)


นี่ก็คือของเรา ปล่อยวาง แล้วก็ปล่อยปละละเลย

ส่วน ของท่าน ปล่อยวาง แต่ไม่ปล่อยปละละเลย


“ปล่อยวาง” คือมีปัญญารู้เท่าทันความจริง จึงมีใจเป็นอิสระ ไม่เอาอะไรมาผูกรัดมัดตัวคั่งค้างบีบคั้นใจที่จะให้มันเป็นไปตามที่อยากที่ยึด

แต่ “ปล่อยปละละเลย” คือตกอยู่ในความประมาท

เราปฏิบัติไม่พอ คือ ปลงอนิจจัง ปล่อยวาง แล้วหยุด จบแค่นั้น พอหยุด ก็กลายเป็นปล่อยปละละเลย จึงพลาด ไปตกหลุมความประมาท (ปล่อยปละละเลย คือประมาท) เรื่องก็แค่นี้เอง


เมื่อรู้ตัวว่าปฏิบัติไม่พอ ทำไม่เต็มตามหลัก ก็แก้ไขปรับปรุงตัวใหม่

ถึงตอนนี้ ก็สรุปลงท้ายได้แล้วว่า การเห็นความจริงแห่งอนิจจัง เร่งเร้าเราให้ไม่ประมาท โดยมีแง่ด้านการพิจารณาและปฏิบัติ ดังนี้

ก) เพราะทุกสิ่ง ทั้งในตัว และรอบตัวเรา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปต่างๆ
อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันคาดหมาย จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ มีอะไรควรทำ ก็ใส่ใจเร่งจัดทำให้เสร็จหรือเตรียมไว้
ไม่ผัดเพี้ยน ไม่รีรอ

ข) เพราะสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทุกขณะ ไม่รอใคร เวลาผ่านไปๆ แม้กระทั่งมหาบุรุษ และอารยธรรมยิ่งใหญ่ รุ่งแล้วก็ล่วงลับดับหาย
ชีวิตเราก็สั้นลงๆ เวลาก็เหลือน้อยลงๆ ควรเร่งทำชีวิตนี้ให้ดีมีคุณค่า พัฒนากุศล ใช้เวลาทำประโยชน์
ให้มากที่สุด
ถ้ามัวหลงระเริงหรือทำชั่วอะไรอยู่ก็ควรฉุกใจได้คิด แล้วหยุดละเลิกเสีย และตื่นตัวขึ้นมารีบขวนขวายทำสิ่ง
ที่ควรทำ

ค) เพราะคนที่รัก ที่เคารพ คนใน คนใกล้ คนร่วมองค์กรหรือชุมชน ไม่นานนักก็จะจาก จะพรากกันไป ควรสามัคคีทำดีต่อกันไว้ ความดีงาม ความเอื้ออาทร การดูแลปฏิบัติ
การบูชาคุณอะไรที่ควรทำต่อท่าน หรือต่อกัน ควรทำเลยทีเดียว ไม่รอช้า อย่าให้ต้องเสียใจหรือเสียดาย
ภายหลังว่าเราไม่น่าจะช้าไป

ง) เพราะสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ไม่ใช่เป็นไปตามใจของเรา มันไม่ขึ้นต่อความ
อยาก ความยึดถือของเรา จึงไม่ควรเอาใจอยากใจยึดของเราเข้าไปกำหนดบังคับสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเป็นไป
ไม่ได้ไร้เหตุผล มีแต่จะทำให้จิตใจของตนถูกบีบคั้นกระทั้นกระแทกทวีทุกข์ แต่ควรหันไปทำการด้วย
ปัญญา ที่รู้เข้าใจเหตุปัจจัย โดยมีใจคงอยู่ปกติเป็นอิสระ (นี่คือปล่อยวางที่ถูกต้อง)

จ) เพราะสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป และมิใช่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเลื่อนลอย แต่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยของมัน เราจึงต้องศึกษาให้รู้เข้าใจ แล้วป้องกันแก้ไขเหตุปัจจัยแห่งความเสื่อม และส่งเสริมสร้าง
สรรค์เหตุปัจจัยแห่งความเจริญ เพื่อจะได้ไม่เสื่อม แต่ให้เจริญและเจริญยิ่งขึ้นไป


พูดให้สั้นว่า เพราะสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง เราจึงต้องไม่ประมาท ที่จะใช้ปัญญาจัดการกับเหตุปัจจัย โดยมี
จิตใจเป็นอิสระ (= เอาประโยชน์จากอนิจจังได้)

พูดอีกอย่างว่า มีปัญญารู้เท่าทันอนิจจัง ทำจิตเป็นอิสระได้ และด้วยปัญญารู้ทั่วถึงเหตุปัจจัยก็ทำกิจให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาท

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร