วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 11:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q1.jpg
q1.jpg [ 30.13 KiB | เปิดดู 2432 ครั้ง ]

ท่วงเที่ยวไปตามบอร์ดต่างๆ ได้พบเห็นอะไรมาก็อดนำมาให้ดูกันไม่ได้
เห็นเขาถาม-ตอบกันเรื่องทำกรรมฐาน หรือ จะเรียกว่านั่งสมาธิก็เรียกไป แต่ก็ไม่พึงเข้าใจผิดคิดว่า
อิริยาบถนั่งเป็นสมาธิก็แล้วกัน





ถาม: กำลังนั่งสมาธิอยู่มีวิญญาณมารออยู่นอกหน้าต่าง แผ่อุทิศส่วนกุศลให้แล้วก็ไป แล้วนั่งสักพักหนึ่งหลวงพ่อท่านมา
ผมก็ไม่ได้คิดถึงหลวงพ่อนะครับ หลวงพ่อมาองค์ใหญ่มากเลยมานั่งอยู่ต้นห้อง ผมก็หันไปมองท่าน
ทีแรกผมจำไม่ได้ท่านก็ขยับแว่น แล้วท่านก็บอกว่าจำฉันไม่ได้เหรอ ฝึกมาก ๆ นะ เดี๋ยวเจอกัน
โอกาสเป็นนิมิตหรือเปล่าครับ กราบท่านแล้วผมก็ร้องไห้ด้วย โอกาสเป็นนิมิตไหมครับ ?

ตอบ: โอกาสอย่างนั้นหายาก ครูบาอาจารย์ที่ท่านจะมาสงเคราะห์เราจริง ๆ งานของท่านเยอะ เวลาของเราเองถ้าหากไม่ตรงกัน ท่านก็สงเคราะห์ไม่ได้
มีอยู่เที่ยวหลัง จากที่หลวงพ่อท่านมรณภาพไปแล้ว อาตมาเองก็ไปอยู่ทองผาภูมิโน่น...ตอนเช้า ๆ ก็ว่า จะขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ปรากฏว่าไปเจอหลวงพ่อไล่เคาะประตูบ้านนั้นบ้านนี้ป๊อก ๆ ไล่เคาะไปเรื่อยเดินเหงื่อท่วมเลย ก็เลยไปกราบ ท่านขำก็ขำ
ถามว่า หลวงพ่อครับ ตายแล้วมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยหรือครับ?
ท่านบอกว่า ตายนี่มันแย่กว่าเดิมหลายเท่าเลย เพราะว่าก่อนหน้านี้มันเรียกทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้ แต่ตายแล้วมันเรียกได้ยินทุกทีเลย
คราวนี้หลังจากลักษณะนั้น ก็แสดงว่าถ้าหากว่าใครที่มีกำลังใจส่งถึงท่าน คิดถึงท่าน ในช่วงนั้นจะสามารถพบท่านได้ไม่วิธีใดวิธีหนึ่ง อาจจะฝันเห็นหรือว่านิมิตเห็นในขณะทำกรรมฐาน หรือ อาจจะเห็นมาทั้งตัวเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามคุณพลศักดิ์หน่อยครับว่า นิพพานนี้ใช่ไหมครับที่คุณว่าพระพุทธเจ้าแจวเรือนำคุณไปส่ง แต่คุณโดดลงสะก่อน เพราะมีภาระกิจที่ต้องจัดการชำระศาสนาให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยเดินไปเองก็ได้

หากไปอยู่ในนิพพานแล้วต้องทำงานหนักอย่างนั้น ที่ว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ก็ผิด
ขอฟังความเห็นคุณขอรับ :b1: :b38:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ กรัชกาย ครับ



ความสุขในนิพพาน มันหาได้เป็นสิ่งที่คุณสามารถคาดเดาได้ ผมเคยเข้าไปในพระนิพพานครั้งหนึ่งแล้ว และก็ยังอยากเข้าไปใหม่ แต่ภาระหน้าที่ทางโลกมันเยอะมาก แต่ละวันมีทั้งเหล่าสรรพวิญญาณในทุกอบายภูมิ รอรับกุศลจากกรรมฐานของผม และคนในโลก ก็มีคนเดือดร้อน ร้องขอความช่วยเหลือจากผมเต็มไปหมด นอกจากนี้ ผมก็วิ่งรอกตอบปัญหาทางธรรม ขัดใจกับเว็บต่างๆอีกหลายเว็บ แต่ผมไม่รู้สึกเบื่อแต่อย่างใด พระพุทธเจ้าใช่ให้ผมทำงานทางศาสนา ผมก็ทำไป

ผมเคยบอกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชวนผมไปเที่ยว และไปดูบ้านใหม่ของเขา ที่เกิดจากการแผ่เมตตาจากกรรมฐานของผม แต่ผมรู้ว่าตอนนั้นเข้าแล้ว และเวลาในโลมนุษย์กับปรโลกก็ต่างกันมาก ผมก็เลยบอกเด็กคนนั้นไปว่า

" ลุงไปไม่ได้ เดี๋ยวตาย " เด็กก็ตอบว่า

" กลัวอะไรกับความตาย " ผมก็ตอบเด็กไปว่า

" ลุงเลิกกลัวความตายนานแล้ว แต่ถ้าลุงตาย จะมีวิญญาณมากมายเต็มไปหมดที่จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากลุง เหมือนที่หนูได้รับ "

เด็กคนนั้นเข้าใจ และผมก็เอากายทิพย์ของผมกลับเข้าร่าง

ส่วนเรื่องราวของพระอรหันต์ในนิพพาน ผมขอไม่วิจารณ์หรือตอบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 05:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานที่คุณพลศักดิ์กล่าวถึงไม่ทราบว่าใช่ อย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงรึเปล่า

ผมเคยอ่านเจอมาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่ก็ยังพอจำได้ลางเลือน
ขอมอบเป็นพิเศษสุดแก่คุณพลศักดิ์ครับ



ภิกษุทั้งหลาย สิ่งๆนั้นมีอยู่ เป็นสิ่งที่ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีลม

ไม่ใช่อากาศานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญานัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ
ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตน ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น และไม่ใช่ระหว่างโลกทั้งสอง
ไม่ใช่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์

ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีย์อันเดียวกันของสิ่งๆนี้ เราไม่กล่าวว่ามีการมา
ไม่กล่าวว่ามีการไป ไม่กล่าวว่ามีการจุติ ไม่กล่าวว่ามีการอุบัติ ไม่กล่าวว่ามีการเกิดขึ้น
สิ่งนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ สิ่งนั้นไม่ได้เป็นไป และสิ่งนั้นไม่ใช่อารมณ์

นั่นหละ คือที่สุดทุกข์หละ



อีกสักบทนะครับ............

สิ่งๆหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งซึ่งไม่มีปรากฏการณ์
ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้าถึงได้โดยรอบ

สิ่งนั้นหละเรากล่าวว่า ดินน้ำไฟลมไม่หยั่งลงได้
สิ่งนั้นแหละ ความยาวความกว้าง ความเล็ก ความใหญ่
ความงามความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้

สิ่งนั้นหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีส่วนเหลือ
นามรูปดับสนิทในสิ่งนั้น.....เพราะการดับสนิทของวิญญาณ


วิญญาณ ก็คือสภาพรู้ หรือตัวรู้
คำว่าดับสนิท ก็คือต้องสนิทจริงๆ

ถ้าสภาพรู้ดับสนิท นึกสภาพดูว่า จะเอาอะไรไปรู้ต่อนิพพาน

แลท่านได้กล่าวไว้มากมาย ว่านิพพานไม่ใช่รูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม
ไม่ใช่อารมณ์ คำว่าไม่ใช่อารมณ์ ก็คือไม่ใช่สิ่งที่จิตจะเกาะกำหนด
หรือตั้งอาศัยได้ นิพพานจึงไม่ใช่จิต และไม่ใช่ที่ตั้งของจิต


เสนอนิพพานเบาๆยามเช้าเท่านี้ก่อน ขอเชิญครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดียามเช้าค่ะคุณบัวศกล :b8:

รบกวนช่วยหาข้อมูลมากกว่านี้ได้ไม๊คะ แบบว่า ... น่าจะมีรายละเอียดมากกว่านี้น่ะค่ะ :b1:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมเคยเข้าไปในพระนิพพานครั้งหนึ่งแล้ว และก็ยังอยากเข้าไปใหม่

ฯลฯ

เวลาในโลมนุษย์กับปรโลกก็ต่างกันมาก ผมก็เลยบอกเด็กคนนั้นไปว่า
" ลุงไปไม่ได้ เดี๋ยวตาย " เด็กก็ตอบว่า
" กลัวอะไรกับความตาย " ผมก็ตอบเด็กไปว่า
" ลุงเลิกกลัวความตายนานแล้ว แต่ถ้าลุงตาย จะมีวิญญาณมากมายเต็มไปหมดที่จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากลุง เหมือนที่หนูได้รับ "
เด็กคนนั้นเข้าใจ และผมก็เอากายทิพย์ของผมกลับเข้าร่าง



ดูคุณพลศักดิ์ตั้งอกตั้งใจพิมพ์ๆ ด้วยความมุ่งมั่น ไม่มีผิด หรือ หายหกตกหล่นแต่อย่างใด
ขอนี้ให้คะแนนเต็ม 10 :b4:


ครับ เมื่อคุณพลศักดิ์ได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้ามาแล้ว ก็ทำหน้าที่ต่อนะขอรับ :b8:

จากการปะติดปะต่อข้อความที่คุณเล่ามา นิพพานในความหมายของคุณต้องตายแหง๋แก๋แผ่หลาก่อนจึงไปได้ไปถึง นี่ประเด็นแรก หรือไม่ก็ต้องถอดกายทิพย์ก่อนจึงไปได้ สมมุติว่าถอดเข้าถึงเมืองนิพพานแล้ว
เกิดติดใจหลงอยู่ในนั้น ก็กลับเข้าร่างไม่ได้ก็ตาย เพราะกาลเวลาไม่ตรงกับโลกมนุษย์ เข้าใจถูกไหม
ครับ :b10:

คือ เช่นว่า นั่งทำกรรมฐานอยู่ พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ อยู่ หรือ พุทโธๆๆ อยู่ แล้วก็ถอดกายทิพย์ไป
นิพพาน ทีนี้เกิดกลับไม่ได้ก็ติดอยู่ในเมืองนิพพานนั้น ร่างกายที่อยู่ในเมืองมนุษย์ก็นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนอาสนะ กรัชกายเข้าใจถูกไหมขอรับ ช่วยขยายต่ออีกหน่อยดิ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณวลัยพรค่ะ เนื่องจากบัวศกลเป็นคนเกียจคร้าน

และไม่ค่อยอยากกล่าวพาทพิงเรื่องนิพพานให้มากเกินไปนัก เพราะกลัวสายตาจับจ้อง
แต่เพราะเห็นคุณพลศักดิ์ กล่าวถึงนิพพานอยู่ฝ่ายเดียว และแง่เดียวตามแบบของเขา
ก็เลยกลัวว่า ผู้ผ่านมาจะได้รับทราบข้อมูลแง่เดียว

เพราะเหตุดังนี้ จึงฝืนใจสลัดความเกียจคร้าน ขุดคุ้ยสัญญาเก่าๆเกี่ยวกับนิพพาน
เอามาเพิ่มเติมให้คุณพลศักดิ์ เพื่อจะได้มีนิพพานสองลัษณะมาวางไว้ให้เลือกดู
สำหรับใครจะเลือกเชื่ออย่างไร ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของผู้รับไปเชื่อเอง .....ตามสบาย

หากคุณวลัยพร ต้องการทราบเนื้อความเกี่ยวกับนิพพานชนิดแท้จริง
ก็จงไปฟังจากพระโอษฐ์ของ พระพุทธเจ้าจะดีกว่า

พระพุทธองค์ตรัสไว้มาก หากต้องการหาอ่านง่ายๆไม่ต้องไปนั่งค้นจนยุ่งยาก
ขอแนะนำให้คุณ ไปอ่านใน หนังสือ อริยสัจจจากพระโอษฐ์ หมวด นิโรธ
ที่นี่กล่าวถึงนิพพาน ที่แท้จริง และมากพอสำหรับจะคิด และมองให้เห็น
นิพพานตามเป็นจริงได้ ไม่มากก็น้อย

สำหรับที่บอกกล่าวให้ผมนำมาแจกแจง เพิ่มเติม ผมขอตอบว่า....ผมเป็นคนเกียจคร้าน
การจะกล่าวถึงนิพพานให้ใครสักคนเข้าใจได้ ไม่สามารถจะอธิบายสั้นๆและง่ายๆได้
และผมก็ ไม่มีใจอยากจะกล่าวถึงนิพพานในที่สาธารณะเลยครับ

ผมกลัวว่าใครต่อใครจะพากันเข้าใจว่า.........ท่านบัวศกลหลุดโลกไปแล้วรือหนอ

สวัสดีครับ :b16: :b16: :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย บัวศกล เมื่อ 25 พ.ค. 2009, 18:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ บัวศกล และคุณ กรัชกาย ครับ


ความสุขในนิพพานเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายเปรียบเทียบจริงๆ ขนาดพระสารีบุตรเมื่อโดนถามว่า "ดูก่อนอาวุโสสารีบุตร นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็น สุขได้อย่างไร"

พระสารีบุตรก็เพียงแค่ตอบว่า " ดูก่อนอาวุโส นิพพานนี้ไม่มี เวทนานั่นแหละเป็นสุข "

ผมขออธิบายดังนี้:

1. ความสุขทางโลก พระพุทธเจ้าตรัสว่า:

" สุขโสมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยกามคุณ ๕ ประการนี้ นี้เรียกว่ากามสุข(ทุกข์)"

นอกจากนี้ พระผู้มีพระภาคยังตรัสเรียก ความสุขจากฌานในทุกฌานว่า "อาพาธ" (ทุกข์น้อย แล้วแต่ว่าจะอยู่ในฌานไหน)

แล้วก็มีความสุขจากการให้ นอกเหนือจากความสุขจากการรับข้างต้น

2. ความสุขในนิพพาน เป็นความสุขจากการละสิ่งที่เป็นความสุขในข้อ 1 ทั้งหมด พอสามารถละหรือไม่เอาความสุขในข้อ 1 ทั้งหมด มันกลับปรากฏว่า คนผู้นั้นกลับได้ความสุขอันประเสริฐสูงสุดมา

3. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมต่างที่พระองค์ตรัสรู้

"ธรรมนั้นลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่หยั่งลงได้ด้วยความตรึก ละเอียด"

ถึงกลับตอนแรกพระองค์จะไม่สอนเพราะอะไรคุณรู้ไหม????

ผมคิดว่า เพราะว่าคนทั้งโลกหาความสุขจากการรับความสุขจากการได้
1. กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
2. ฌาน
3. การให้ แต่นี่พระพุทธองค์กลับบอกให้พวกเขาละความสุขทางโลกทั้งหมด แล้วบอกว่า การละความสุขทางโลกทั้งหมด เขาจะได้ความสุขอันประเสริฐสูงสุด หลักฐานอะไรสักอย่างของความสุขอันนั้นก็ไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ บัวศกล และคุณ กรัชกาย ครับ



ผมเคยเขียนไว้ในหลายเว็บแล้วว่า ผมเคยเข้าถึงความสุขของนิพพานมาครั้งหนึ่ง

" วันนั้นผมเดินจงกลมและนั่งสมาธิเกือบชั่วโมงครึ่ง แต่มีความรู้สึกว่า มันหนักๆในหัวของวิญญาณ ไม่รู้หนักอะไร ตอนหลังเหมือนมีใครมาบอกว่าหนักผลบุญยังไง ผมเลยคิดว่าเป็นไม่ได้ว่ะ เพราะผมเป็นคนรู้เรื่องโลกวิญญาณ รู้เรื่องผลบุญ ผลบาป เพราะเจอกับเทวดา นางฟ้า เปรต ผีนรก พรหม เจอมานับครั้งไม่ถ้วน ผมจึงทำแต่ความดี ทำบุญกุศลเต็มไปหมด แม้แต่ทำสมาธิ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบุญทั้งนั้น

แต่เมื่อมันหนักบุญ แล้วผมจะแบกและถือบุญเอาไว้ทำไม ก็ยกให้คนอื่นไปให้หมดซิ ผมเลยนั่งสมาธิต่อ กำหนดยกผลบุญที่มีอยู่ในชีวิตผม ให้กับบรรดาดวงวิญญาณญาติ เพื่อน มิตรสหาย และให้กับสรรพวิญญาณต่างๆไป

ผมให้ด้วยความเต็มใจ และให้ทั้งหมดจริงๆ หลังจากนั้น จิตผมก็ว่าง แต่ในความว่างนั้น มีความสุขอันประหลาด เหนือกว่าความสุขใดๆที่ผมเคยได้รับในชีวิต ความสุขนี้ยากจะอธิบายได้ มันไม่ใช่ความสุขจากฌานด้วย

ตอนนั้น ผมจึงรู้ว่านี่คือนิพพาน มิน่าล่ะ...พระพุทธองค์จึงย่อท้อในตอนแรก ไม่อยากสอนธรรมอันนี้แก่ใคร เพราะใครเขาจะไปเชื่อว่า มีความสุขประเสริฐอันนี้อยู่จริงๆ ขนาดผมยังไม่เชื่อเลย จนมาเข้าถึงนิพพานโดยบังเอิญ ผมจึงรู้ว่าความสุขประเสริฐในนิพพานมีอยู่จริงๆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ฌาณ เขียน:
พุทธสุภาษิต วันละนิดจิตแจ่มใส :b12: :b12:

แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำฉันใด
คนเขลาสั่งสมบาปแม้ทีละน้อย ๆ ก็เต็มด้วยบาปฉันนั้น


ผู้ทำบาป ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ ละไปแล้วก็เศร้าโศก ชื่อว่าเศร้าโศกในโลกทั้งสองเขาเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน จึงเศร้าโศกและเดือดร้อน

ถ้าฝ่ามือไม่มีแผล ก็พึงนำยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้
ยาพิษซึมเข้าฝ่ามือไม่มีแผลไม่ได้ฉันใด บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำฉันนั้น


ควรงดเว้นบาปเสีย เหมือนพ่อค้ามีพวกน้อยมีทรัพย์มาก
เว้นหนทางที่มีภัย และเหมือนผู้รักชีวิตเว้นยาพิษเสียฉะนั้น


:b51: :b52: :b53:

พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

เรื่องของบาปนี่ถ้าเราดูกันเผิน ๆ ก็ไม่มีอะไรที่จะน่าเป็นบาปคำสอนของพระพุทธเจ้านี่บางทีเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นบาป มากก็เป็นบาป ความจริงมันก็บาปจริง ๆ ทำน้อยก็บาปน้อย ทำมากก็บาปมาก เช่นอย่างเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างในเรื่องสามาวดี มีพระเถรีท่านหนึ่งชื่อนางขุชุชตรา เป็นสาวกของพุทธเจ้าพระสมณโคดม เป็นผู้แตกฉานในพระไตรปิฏก ในบรรดาสาวิกาทั้งหลาย ก็มีท่านผู้นี้แหละเก่งที่สุด แต่ท่านผู้นี้มีบาปติดตัว เป็นคนหลังค่อม สาเหตุเนื่องจากท่านไปนึกตำหนิพระปัจเจกพุทธเจ้า ในสมัยหนึ่งท่านเป็นนางสนมในพระราชวังเมืองหนึ่งที่ประเทศอินเดีย ในสมัยของพระเจ้าพรหมทัต ซึ่งนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ไปรับบิณฑบาตที่ในวังทุกวัน ทีนี้อยู่มาวันหนึ่งนางสนมคนนั้น เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหลังค่อม ไปบิณฑบาต บางทีเวลาเล่นกัน ก็ลากเอาผ้ากำพลมาห่ม เอาขันมาอุ้ม ทำทีเป็นพระบิณฑบาตแล้วก็ทำหลังค่อม เลียนแบบพระปัจเจกพุทธเจ้า

ทีนี้หลังจากนั้น พอนางตายแล้ว เกิดในชาติใดภพใดก็เกิดเป็นคนหลังค่อม จนกระทั่งมาถึงศาสนาของพระพุทธเจ้าเรานี้ ก็ยังเป็นคนหลังค่อมอยู่ นอกจากนั้นก็ยังเป็นคนใช้เขาทุกภพทุกชาติ เพราะสาเหตุที่ได้ไปใช้นางภิกษุณีซึ่งเป็นพระอรหันต์ หยิบของส่งให้นิดเดียวเท่านั้นแหละ บาปกรรมอันนั้นทำให้นางต้องไปเป็นคนใช้เขาทุกภพทุกชาติ แต่อานิสงส์ที่ทำให้นางได้เป็นผู้แตกฉาน ในพระไตรปิฏก ก็พระปัจเจกพุทธเจ้าจำนวนนั้นอีกนั้นแหละไปบิณฑบาต ชาวบ้านใส่ของให้เป็นของร้อน ท่านก็จับถือบาตรของท่าน เดี๋ยวเปลี่ยนมือเปลี่ยนไม้อยู่บ่อย ๆ นางมีกำไลแขนงอยู่ ๘ อัน ก็เลยเอาเข้าไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าเพื่อให้ท่านได้รองมือกันร้อน พระอานิสงส์อันนี้ ทำให้นางเกิดมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แตกฉานในพระไตรปิฏก ในเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว

ในเมื่อพูดถึงเรื่องบาปมันก็บาปมาก พูดถึงเรื่องบุญ มันก็บุญมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้น บุญเล็ก ๆ น้อย ๆ บาปเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้ที่มุ่งที่จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงไม่ควรประมาท ควรสังวรระวัง โอ่งซึ่งเขาตั้งเปิดปากไว้ในกลางแจ้ง ย่อมไม่เต็มด้วยน้ำฝน ที่ตกลงมาทีละหยดทีละหยาดฉันใด บุญกุศลที่เราทำ หรือบาปที่เราทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ย่อมไม่เต็ม แต่เมื่อฝนตกลงมาบ่อย ๆ ตุ่มก็เต็มไปด้วยน้ำ บุญที่เราทำบาปที่เราทำบ่อย ๆ ก็ทำให้จิตใจของเราเต็มไปด้วยบุญด้วยบาปเช่นเดียวกัน


เพราะฉะนั้น

บัณฑิตผู้มีความฉลาดย่อมไม่ดูหมิ่นบาปบุญแม้เพียงเล็กน้อย บาปนิดหน่อยก็ไม่ทำ บุญนิดหน่อยก็ย่อมทำ …..ทำสะสมไว้ทีละน้อย ๆ คนเรานี้ทำดีได้กันทุกคน ถ้ารักดี แต่ถ้าเราไม่รักดี เราจะทำดีไม่ได้ คนชั่วทำความชั่วได้ง่าย แต่คนชั่วทำดีได้ยาก คนดีก็ทำดีได้ง่ายเหมือนกัน แต่คนดีทำชั่วได้ยาก นี่เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ อันนี้ขอฝากทุกท่านไว้พิจารณา

อย่าดูหมิ่น บุญ บาป ประมาณน้อย
ว่าจะไม่ตามต้องสนองผล
แม้ตุ่มน้ำที่ รอง รับสายชล
ยังเปี่ยมล้นด้วยหยาดน้ำที่ตกมา

๛ Nirvana ๛

:b8:




สาธุ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 141 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร