ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ไฟมากจากไหน ? http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=21943 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | punchii_4 [ 26 เม.ย. 2009, 15:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | ไฟมากจากไหน ? |
รบกวนถามผู้รู้หน่อยน่ะครับ พอดีผมเรียนวิชาพระพุทธศาสนา แล้วอาจารย์เค้ามีคำถามให้มาทำอ่ะครับ ประมาณ take home exam อ่ะครับ คำถามมีอยู่ว่า.... เมื่อเรา จุดไม้ขีดไฟขึ้น แล้วนำไฟจากไม้ขีดไปจุดที่เทียนต่อ แล้วไฟของทั้งไม่ขีด และเทียนก็ดับลง 1.ไฟมาจากไหน 2.ไฟที่ไม้ขีด กับ ไฟที่เที่ยน เป็นไฟเดียวกันหรือไม่ 3.ทำไมไฟถึงดับ 4.ไฟดับแล้วไปไหน รบกวนผู้รู้ด้วยน่ะครับ ขอบคุณครับ ![]() |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 26 เม.ย. 2009, 15:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
ถ้าเป็นการบ้าน ก็ต้องออกกำลังนิดนึงนะ ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีเหตุ มีปัจจัย แล้วจึงมีผล ยกตัวอย่างกองไฟ ปัจจัย คือมีออกซิเจน มีเชื้อไฟ มีความร้อน เื่มื่อปัจจัยของการกำเนิดไฟมันพร้อม .. ปัจจัยมันประชุมกันในเงื่อนไขที่เหมาะสม เช่น ฟืนแห้งได้ที่ + อุณหภูมิได้ที่ + มี oxygen... ไฟจึงลุก ตราบเท่าที่องค์ประกอบของมันยังอยู่ครบ ไฟจะยังไหม้ต่อไป ที่ไฟดับ เพราะเหตุที่ทำให้มีไฟมันดับ - เชื้อไฟมันหมดไป ฟืนมอดหมด หรือมีใครเอาฟืนออกไป - เชื้อไฟเสื่อมสภาพ เช่นฟืนโดยน้ำสาด ทำให้เปียก - อากาศหมด ออกซิเจนหมด - อุณหภูมิไม่ร้อนพอ อากาศชื้นเกินไป ไม่ใช่ว่าไฟไปไหน แต่มันดับ เพราะเหตุของมันดับ หากปัจจัยมันพร้อมอีก ไฟก็ไหม้อีก ความสัมพันธ์ในลักษณะที่ว่า สิ่งหนึ่งเป้นปัจจัยให้เกิดอีกสิ่งหนึ่ง ต่อๆ ทอดๆ กันไปนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า อิทัปปัจจยตา Quote Tipitaka: อิมสฺมํ สติ อิทฺ โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสฺสมํ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี อิมสฺส นโรชา อิทํ นิรุชฌติ เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย) (สํ. นิ. 16/64) |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 26 เม.ย. 2009, 15:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
ตัวอย่างเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจ เช่น อิทัปปัจจยตา ของการมองเห็นของคนเรานี่ก็มีปัจจัยดังนี้ 1. มีดวงตาที่สมบูรณ์ (พูดถึงแค่ดวงตาพอนะ ไม่ลงยิบย่อยไปว่ามีเซลโคน เซลรับแสง เรตินา ฯลฯ เอาแค่ว่า ตาปกติ) 2. มีแสง 3. มีวัตถุ - ลำพังเพียงแค่แสงตกกระทบที่วัตถุ ....... แต่ถ้ามันไม่เข้าตาเรา เราบอด หรือเราหลับตา ภาพก้ไม่เกิดใช่ไหมครับ แปลว่า แสงกระทบวัตถุ ยังไม่สามารถทำให้เรามองเห็นได้ ยังไม่เพียงพอสำหรับการมองเห็น ต่อมาแสงที่กระทบวัตถุนั้นหักเหวิ่งมาเข้าตาเรา...เราจึงเห็นภาพ นี่เรียกว่า ปัจจัยที่จำเป้นต้องใช้ในการมองเห็นครบถ้วนแล้ว มันมาประชุมกันพร้อมเพรียงกันในเงื่อนไขที่เหมาะสมกัน มันก้เกิดภาพ หากอยู่ดีแสงหมด ภาพก็หาย วัตถุไม่อยู่ในสายตาจะมองเห้น ภาพก็หาย ตาบอด ภาพก็หาย ........................ ทีนี้ ภาพที่เห้นมันจะเริ่มพัฒนาการ ต่อไปเป็นทอดๆ ยกตัวอย่างภาพคนที่เราชอบมากๆ ถูกเสป๊ก พอเราเห็นภาพ ก้จำขึ้นได้ว่า เป็นภาพเรือนร่างคน เพราะมันคือ ภาพที่เห็น+ความทรงจำ ว่าเป็นเรือนสรีระของคน แล้วก็ไปบวกกับ ค่านิยมรสนิยมส่วนตัวของเรา จึงกลายมาเป็น คน+ที่เราชอบ ต่อมาคนที่เราชอบ + แต่งงานกับเรา กลายมาเป้นคู่ชีวิตเรา คู่ชีวิตที่แต่งงานกัน + ลูก กลายเป้นครอบครัว ก็ต่อๆกันไปไม่สิ้นสุด เช่นเดียวกับจุดเริ่มที่หาที่สุดไม่ได้เหมือนกัน |
เจ้าของ: | -dd- [ 26 เม.ย. 2009, 16:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
อ้างคำพูด: เมื่อเรา จุดไม้ขีดไฟขึ้น แล้วนำไฟจากไม้ขีดไปจุดที่เทียนต่อ แล้วไฟของทั้งไม่ขีด และเทียนก็ดับลง 1.ไฟมาจากไหน 2.ไฟที่ไม้ขีด กับ ไฟที่เที่ยน เป็นไฟเดียวกันหรือไม่ 3.ทำไมไฟถึงดับ 4.ไฟดับแล้วไปไหน ตอบว่า 1.ไฟมาจากไหน "ไฟ" เป็น"ผล" ที่เกิด หรือ มาจาก "เหตุ" คือการขัดสีกันระหว่าง "ไม้ขีด" กับกล่อง เป็นข้ออุปมาเพื่อให้เข้าใจว่า สรรพสิ่งจะเกิดได้ด้วยการประชุมกันของเหตุปัจจัยเสมอ ไม่มีสิ่งใดเกิดเองลอยๆโดยปราศจากเหตุหรือไม่สามารถเกิดด้วยการสร้างขึ้นของพระเจ้าแต่อย่างใด 2.ไฟที่ไม้ขีด กับ ไฟที่เที่ยน เป็นไฟเดียวกันหรือไม่ ไฟทั้งสองไม่ใช่อันเดียวกัน แต่สืบต่อเนื่องกันอยู่เพราะ ไฟที่เทียนเกิดจากการต่อไฟจากไม้ขีด ท่านอุปมาให้เข้าใจหลักการทำงานของการเกิดตอภพชาติของสัตว์ว่าเพราะตัณหาอุปาทานที่เป็นเชื้อไฟจึงเกิดการสืบต่อภพชาติได้ในทำนองเดียวกับการต่อไฟจากไม้ขีดไปยังเทียน 3.ทำไมไฟถึงดับ เมื่อเชื้อเพลิงอันเป็นที่ตั้งของไม้ขีดหรือเทียนดับ ไฟย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ฉันใด เมื่อพระโยคาวจรปฏิบัติจนสามารถทำลายตัณหาอุปาทาน(อันเป็นเชื้อแห่งการเกิดใหม่)แล้ว การประชุมแห่งสังขารขันธ์๕ ย่อมมีไม่ได้ จึงเข้าถึงความดับ การสืบต่อแห่งภพชาติ จึงสิ้นสุดลง 4.ไฟดับแล้วไปไหน เมื่อไฟไม่มีที่ตั้ง อันเป็น"เหตุ"เเล้ว "ผล"คือการดับไปของไฟ ไม่มีที่ไปหรือมา เเต่ดับเพราะขาดการประชุมกันแห่งเหตุปัจจัย.. ท่านใ้ช้อุปมานี้เพื่ออธิบายการดับไปของพระอรหันต์ว่าเมื่ิอตายแล้วไปใหน จึงตอบได้ทำนองเดียวกันนี้ อุปมาเรื่องไฟนี้ท่านใช้เป็นการอธิบายการทำงานของหลักปฏิจจสมุปบาท อันเป็นหลักธรรมอธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน,การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกัน จึงเกิดมีขึ้น สรุปคือ การที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา มีองค์หรือหัวข้อ 12 ดังนี้ คือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา และเรื่องการอุปมาด้วยไฟนี้ปรากฏในเรื่อง อัคคิวัจฉโคตตสูตร เรื่องปริพาชกวัจฉโคตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ปัญหาว่าด้วยผู้หลุดพ้น [๒๔๘] ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้วอย่างนี้ จะเกิดในที่ไหน? ดูกรวัจฉะ คำว่าจะเกิดดังนี้ ไม่ควรเลย. ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้น จะไม่เกิดขึ้นหรือ? ดูกรวัจฉะ คำว่า ไม่เกิดดังนี้ ก็ไม่ควร. ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้น เกิดก็มี ไม่เกิดก็มีหรือ? ดูกรวัจฉะ คำว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ดังนี้ ก็ไม่ควร. ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้น เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่หรือ? ดูกรวัจฉะ คำว่าเกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่ ดังนี้ ก็ไม่ควร. [๒๔๙] พระองค์อันข้าพเจ้าทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว อย่างนี้ จะเกิดในที่ไหน ก็ตรัสตอบว่า ดูกรวัจฉะ คำว่าจะเกิด ดังนี้ ไม่ควร. ฯลฯ พระองค์ อันข้าพเจ้าทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้นเกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่หรือ ก็ตรัสตอบว่า ดูกรวัจฉะ คำว่า เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่ ดังนี้ ก็ไม่ควร. ข้าแต่ท่านพระโคดม ในข้อนี้ ข้าพเจ้าถึงความไม่รู้ ถึงความหลงแล้ว แม้เพียงความเลื่อมใสของข้าพเจ้าที่ได้มีแล้ว เพราะ พระวาจาที่ตรัสไว้ในเบื้องแรกของท่านพระโคดม บัดนี้ได้หายไปเสียแล้ว. [๒๕๐] ดูกรวัจฉะ ควรแล้วที่ท่านจะไม่รู้ ควรแล้วที่ท่านจะหลง เพราะว่าธรรมนี้ เป็นธรรมลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่จะรู้ สงบระงับ ประณีต ไม่ใช่ธรรมที่จะหยั่งถึงได้ด้วย ความตรึก ละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้ ธรรมนั้นอันท่านผู้มีความเห็นเป็นอย่างอื่น มีความพอใจ เป็นอย่างอื่น มีความชอบใจเป็นอย่างอื่น มีความเพียรในทางอื่น อยู่ในสำนักของอาจารย์อื่น รู้ได้โดยยาก ดูกรวัจฉะ ถ้าเช่นนั้น เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ท่านเห็นควรอย่างใด ก็พึง พยากรณ์อย่างนั้น ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าไฟลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะพึง รู้หรือว่า ไฟนี้ลุกโพลงต่อหน้าเรา. ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าไฟลุกโพลงต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพึงรู้ว่า ไฟนี้ลุกโพลงอยู่ ต่อหน้าเรา. ดูกรวัจฉะ ถ้าใครๆ พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่านนี้ อาศัยอะไร จึงลุกโพลง ท่านถูกถามอย่างนี้แล้วจะพึงพยากรณ์ว่าอย่างไร? ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าใครๆ ถามข้าพเจ้าอย่างนี้ว่า ไฟที่ลุกโพลงต่อหน้าท่านนี้ อาศัย อะไรจึงลุกโพลง ข้าพเจ้าถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าเรานี้ อาศัยเชื้อ คือหญ้าและไม้จึงลุกโพลงอยู่. ดูกรวัจฉะ ถ้าไฟนั้นพึงดับไปต่อหน้าท่าน ท่านพึงรู้หรือว่า ไฟนี้ดับไปต่อหน้าเราแล้ว? ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าไฟนั้นดับไปต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพึงรู้ว่าไฟนี้ดับไปต่อหน้า เราแล้ว. ดูกรวัจฉะ ถ้าใครๆ พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ไฟที่ดับไปแล้วต่อหน้าท่านนั้น ไปยังทิศ ไหนจากทิศนี้ คือทิศบูรพา ทิศปัจจิม ทิศอุดร หรือทิศทักษิณ ท่านถูกถามอย่างนี้แล้ว จะ พึงพยากรณ์ว่าอย่างไร? ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้อนั้นไม่สมควร เพราะไฟนั้นอาศัยเชื้อ คือหญ้าและไม้จึงลุก แต่เพราะเชื้อนั้นสิ้นไป และเพราะไม่มีของอื่นเป็นเชื้อ ไฟนั้นจึงถึงความนับว่าไม่มีเชื้อ ดับ ไปแล้ว... http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=13&A=4316&Z=4440&pagebreak=0 |
เจ้าของ: | punchii_4 [ 26 เม.ย. 2009, 17:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
ขอบคุณมาก ๆ น่ะครับ |
เจ้าของ: | อวบอั๋นขั้นสุดท้าย [ 26 เม.ย. 2009, 18:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | saentip1302 [ 26 เม.ย. 2009, 23:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
โห เอาการบ้าน มาทำงี้เลย ถ้าลอกไปแล้ว เหมือนกันคง ไม่ว่า นะ อิอิ Sec 0 1ค๊าบๆๆๆ |
เจ้าของ: | saentip1302 [ 26 เม.ย. 2009, 23:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
โทษที ยังไม่หมด ท่าน punchii_4 ไปโพสต์ที่ใด อีกไหมครับ ผมจะได้ตามไปอ่าน อิอิ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | -dd- [ 26 เม.ย. 2009, 23:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
น่าเห็นใจนักเรียนอยู่ เพราะไม่รู้ที่ไปที่มา(คิดดีไว้ก่อน)(คงไม่ใช่ขี้เกียจนะ-แว้งนิดๆ) ก็ควรสงเคราะห์กันครับ...เพราะมันไม่ง่ายนักที่จะรู้อะไรๆเกี่ยวกับคำสอนได้กว้างคลุม หากเขาจะได้ประโยชน์แม้ผ่านตาเล็กน้อยก็อาจเป็นปัจจัยที่ยิ่งใหญ่ได้ในภายหน้า เพราะจิตเขาจะสั่งสมอุปนิสัยให้รู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่หายไปใหน ใครจะรู้ว่า เขาอาจเกี่ยวข้อง กับคำถามนี้มาเมื่อชาติก่อนๆแล้ว จึงเป็นปัจจัยที่จะได้รู้เพิ่มเติมขึ้นในเวลานี้ ขออนุโมทนา จขกท และทุกท่านที่มีส่วนเป็น"นาบุญ"แก่ผมในกระทู้นี้ครับ ![]() |
เจ้าของ: | punchii_4 [ 26 เม.ย. 2009, 23:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
ตอบคุณ saentip1302 ครับ ผมโพสต์ถามที่นี่ที่เดียวอ่ะครับ ขอบคุณคุณทักษิณ และคุณ dd มากน่ะครับ ประทับใจจังเลย ![]() |
เจ้าของ: | อมิตาพุทธ [ 26 เม.ย. 2009, 23:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
อ่านกระทู้แล้วปลื้มใจแทนคุณ -dd- และคุณทัก...เอ่อ ไม่ใช่สิ ต้องเรียกคุณ 9492 ![]() ที่เจ้าของกระทู้ได้รับคำตอบ ความรู้และรู้สึกประทับใจต่อทั้ง2ท่าน ![]() ขออนุโมทนาด้วยครับ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 26 เม.ย. 2009, 23:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
ยินดีครับพี่น้อง ![]() |
เจ้าของ: | ariyachon [ 27 เม.ย. 2009, 00:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
1.ไฟมาจากไหน ตอบ เชื้อ (ถามต่อสิว่าเชื้อมาจากไหน) 2.ไฟที่ไม้ขีด กับ ไฟที่เที่ยน เป็นไฟเดียวกันหรือไม่ ตอบ ไฟเหมือนกันครับ จะอยู่ที่ไหนมันก็คือไฟ มันร้อนเหมือนกัน ......แค่มันคนละกลุ่มก้อนกันเท่านั้นครับ 3.ทำไมไฟถึงดับ ตอบ หมดเชื้อ 4.ไฟดับแล้วไปไหน ตอบ ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 27 เม.ย. 2009, 05:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
![]() ![]() ![]() ขออนุญาตตอบหน่อยหนึ่งนะครับ แบบว่า...เพื่อจะถูกบ้าง 1. ไฟผมว่ามันน่าจะมาก การสมมติมากกว่าครับ คุณสมมติให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไฟ มันก็เป็นไฟ ถ้าคุณสมมติให้มันเป็นน้ำ มันก็จะกลายเป็นนำไปในทันที 2 มันก็เป็นไฟกองเดียวกันนั่นแหละครับ กองที่คุณสมมติมันขึ้นมา ขอตอบสองข้อก่อนนะครับ มีธุระต้องรีบไปทำ ด่วนเลยครับ ![]() ![]() ![]() "จงคิดก่อนทำ" |
เจ้าของ: | O.wan [ 27 เม.ย. 2009, 14:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟมากจากไหน ? |
![]() เห็นด้วยกันน้องอวบนะคะ ดีนะเนี่ยที่หมดวัยเรียนแล้ว เลยไม่ต้องทำการบ้าน ![]() แค่คำว่า ไฟ มันดูเป็นเหตุ-ผล มากมายนะคะ ก็สุดแท้แต่ใครจะพิจารณาอย่างใจ ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |