วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 23:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2009, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง ระงับความทะเลาะแห่งพระญาติ

(ว่าด้วย ไม่มีเวร ย่อมอยู่เป็นสุข)


.


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในแคว้นของชาวสักกะ

ทรงปรารภหมู่พระญาติทั้งหลาย เพื่อเข้าไประงับความทะเลาะ


.


ได้ยินว่า พวกเจ้าศากยะ และ พวกเจ้าโกลิยะ

ให้กั้นแม่น้ำโรหิณี ด้วยทำนบเดียวกัน ทำข้าวกล้า...เมื่อข้าวกล้าเหี่ยว.


ชาวพระนครโกลิยะ กล่าวว่า

"ขอพวกท่าน จงให้น้ำแก่ข้าพเจ้าเถิด"


ฝ่ายพวกศากยะ...ก็กล่าวอย่างนั้น.


พวกโกลิยะ กล่าวว่า

"พวกข้าพเจ้าไม่ให้"


ฝ่ายพวกศากยะ กล่าวว่า

"แม้พวกข้าพเจ้า ก็ไม่ให้"


ความทะเลาะ เริ่มเจริญขึ้นแล้ว

ต่างก็แสดงกำลังของตน ๆ เตรียมการยุทธ์ ออกไปแล้ว.


.


พระศาสดา ทรงตรวจดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง

ทอดพระเนตรเห็นหมู่พระญาติแล้ว ดำริว่า

"เมื่อเราไม่ไป พระญาติเหล่านี้ จักฉิบหาย"

จึงเสด็จไปทางอากาศ พระองค์เดียว ประทับนั่งโดยบัลลังก์

ในอากาศ ท่ามกลางแม่น้ำโรหิณี.


พระญาติทั้งหลาย เห็นพระศาสดาแล้ว

ทิ้งอาวุธ...ถวายบังคม.


พระศาสดาตรัสว่า

"มหาบพิตร นี้ชื่อว่า ทะเลาะอะไรกัน"


ครั้นทรงทราบแล้ว ตรัสว่า

"น้ำ มีค่าเท่าไร มหาบพิตร"


พระญาติทูลว่า

"มีค่าน้อย พระเจ้าข้า"


พระศาสดา ตรัสว่า

"การที่พวกท่าน ยังกษัตริย์ทั้งหลาย หาค่ามิได้ ให้ฉิบหาย

เพราะอาศัยน้ำ ซึ่งมีค่าน้อย ควรแล้วหรือ"


แล้วทรงเตือนว่า

"มหาบพิตร เพราะเหตุไร จึงทำกรรม เห็นปานนี้

เมื่อเราไม่มีอยู่ในวันนี้ แม่น้ำ คือโลหิตจักไหลนอง

พวกท่าน ทำกรรมไม่ควร"


แล้วตรัสว่า

"ท่านทั้งหลาย เป็นผู้มีเวร ๕...อยู่.

เรา ไม่มีเวร...อยู่"


เป็นต้นแล้ว

ตรัสพระคาถานี้ ว่า



สุสุขํ วต ชีวาม เวริเนสุ อเวริโน

เวริเนสุ มนุสฺเสสุ วิหราม อเวริโน.

สุสุขํ วต ชีวาม อาตุเรสุ อนาตุรา

อาตุเรสุ มนุสฺเสสุ วิหราม อนาตุรา.

สุสุขํ วต ชีวาม อสฺสุเกสุ อนุสฺสุกา

อุสฺสุเกสุ มนุสฺเสสุ วิหราม อนุสฺสุกา.



แปลว่า


ในพวกมนุษย์ ผู้มีเวรกัน

พวกเรา ไม่มีเวร เป็นอยู่สบายดีหนอ,


ในพวกมนุษย์ ผู้มีเวรกัน

พวกเรา ไม่มีเวรอยู่.


ในพวกมนุษย์ ผู้กระสับกระส่ายกัน

พวกเรา ไม่มีความกระสับกระส่าย

เป็นอยู่สบายดีหนอ,


ในพวกมนุษย์ ผู้มีความกระสับกระส่ายกัน

พวกเรา ไม่มีความกระสับกระส่ายอยู่,


ในพวกมนุษย์ ผู้มีความขวนขวายกัน

พวกเรา ไม่มีความขวนขวาย เป็นอยู่สบายดีหนอ,


ในพวกมนุษย์ ผู้มีความขวนขวายกัน

พวกเรา ไม่มีความขวนขวายอยู่ ดังนี้ ฯ



อธิบาย ในบทเหล่านั้น

บทว่า "สุสุขํ" ได้แก่ สบายดี.

คำนี้ ตรัสอธิบายไว้ว่า



คฤหัสถ์ เหล่าใด ยังความเป็นอยู่แห่งชีวิต ให้เกิดขึ้น

ด้วยความสามารถแห่งกรรม มีการตัดที่ต่อ เป็นต้น.


ก็หรือ บรรพชิตทั้งหลาย

มีความเป็นไปแห่งชีวิต ให้เกิดขึ้น

ด้วยความสามารถแห่งกรรม มี เวชชกรรม เป็นต้น.

ย่อมกล่าวว่า "พวกเรา ย่อมเป็นอยู่สบาย" ดังนี้.


ในพวกมนุษย์ ผู้มีเวรกัน ด้วยเวร ๕

พวกเรา เป็นผู้ไม่มีเวร.


ในพวกมนุษย์ ผู้มีความกระสับกระส่าย ด้วยกิเลส

พวกเรา ไม่มีความกระสับกระส่าย เพราะไม่มีกิเลส.


พวกมนุษย์ ขวนขวายในการแสวงหากามคุณ

พวกเรา ไม่มีการขวนขวาย

เพราะไม่มีการแสวงหาเบญจกามคุณนั้น,


เรา เท่านั้น ย่อมอยู่เป็นสุข ดีหนอ

กว่าคฤหัสถ์ และบรรพชิตเหล่านั้น"



ดังนี้ ฯ ......คำที่เหลือ มีอรรถตื้นทั้งนั้น ฯ

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นต้น

ดังนี้แล ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ระหว่าง
เมืองกบิลพัสดุ์
กับ
เมืองโกลิยะ
ทั้งสองเมืองนี้ มีแม่น้ำชื่อว่า โรหิณี สายเดียวเท่านั้นไหลผ่านลงมา
.......
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=296
........

[ฝ่ายเหล่ากษัตริย์สากิยะชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ..]


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 13 เม.ย. 2009, 17:35, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา กุณาลชาดก
ว่าด้วย นางนกดุเหว่า

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ ริมสระชื่อกุณาละ ทรงพระปรารภภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งถูกความเบื่อหน่ายอยากจะสึกบีบคั้นแล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอวมกฺขายติ ดังนี้.

ลำดับเรื่องในกุณาลชาดกนั้นดังนี้

ดังได้สดับมาว่า ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ กับเมืองโกลิยะทั้งสองเมืองนี้ มีแม่น้ำชื่อว่า โรหิณี สายเดียวเท่านั้นไหลผ่านลงมา

ชนชาวสากิยะและชนชาวโกลิยะ จึงทำทำนบกั้นน้ำนั้นร่วมอันเดียวกันแล้วจึงตกกล้า. ครั้งหนึ่ง ในต้นเดือน ๗ ข้าวกล้าเฉาลง พวกกรรมกรของชนชาวนครทั้งสองนั้นจึงประชุมกัน บรรดากรรมกรทั้งสองเมืองนั้น พวกกรรมกรชาวเมืองโกลิยะกล่าวขึ้นก่อนว่า น้ำที่ปิดกั้นไว้นี้ ถ้าจะไขเข้านาทั้งสองฝ่าย ก็ไม่พอเลี้ยงต้นข้าวของพวกเราและพวกท่าน ก็ข้าวกล้าของพวกเราจักสำเร็จเพราะน้ำคราวเดียวเท่านั้น พวกท่านจงให้น้ำนี้แก่พวกเราเถิด แม้พวกกรรมกรชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ก็พูดขึ้นว่า เมื่อพวกท่านได้ข้าวกล้าเอาบรรจุไว้ในฉางจนเต็มแล้วตั้งปึ่งอยู่ พวกเราไม่อาจที่จะถือเอากหาปณะทองคำ เงิน นิล มณี สัมฤทธิ์ แบกกระเช้ากระสอบเป็นต้น เที่ยวไปขอซื้อตามประตูเรือนของท่านได้ แม้ข้าวกล้าของพวกเรา ก็จักสำเร็จได้ เพราะน้ำคราวเดียวเท่านั้นเหมือนกัน ขอพวกท่านจงให้น้ำนี้แก่พวกเราเถิด ทั้งสองฝ่ายต่างก็ขึ้นเสียงเถียงกันว่า พวกเราจักไม่ให้ แม้พวกเราก็จักไม่ยอมให้เหมือนกัน ...
..
เรื่องที่วิวาทกันนี้บางอาจารย์กล่าวว่า พวกทาสีของชาวสากิยะและชาวโกลิยะไปสู่แม่น้ำเพื่อตักน้ำ ต่างปลดเอาเทริดลงวางไว้ที่พื้นดินแล้ว นั่งพักผ่อนสนทนากันอยู่อย่างสบาย ทาสีคนหนึ่งหยิบเอาเทริดของคนหนึ่งไปด้วยเข้าใจว่า เป็นของตน อาศัยเทริดนั้นเป็นเหตุ จึงเกิดทะเลาะกันขึ้นว่า เทริดของกู เทริดของมึง ดังนี้ ครั้นแล้วชนชาวนครทั้งสอง เริ่มแต่ทาสกรรมกรโดยลำดับ มาจนถึงเสวกนายบ้าน อำมาตย์อุปราชและพระราชาทั้งหมดต่างฝ่ายต่างก็เตรียมออกไปทำสงครามกัน แต่นัยก่อนจากนัยนี้มีมาในอรรถกถามากแห่งด้วยกัน และรูปเครื่องก็เหมาะสม เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึงควรถือเอาเรื่องที่วิวาทกัน เพราะแย่งน้ำนั้นแล ก็กษัตริย์สากิยะและโกลิยะทั้งสองฝ่ายนั้น ครั้นเตรียมรบพร้อมแล้ว ก็ยกออกไปในเวลาเย็น ด้วยประการฉะนี้แล.


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 13 เม.ย. 2009, 17:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ เมืองสาวัตถี



ทรงทอดพระเนตรดูสัตวโลก ในเวลาใกล้รุ่งทีเดียว ได้ทอดพระเนตรเห็นกษัตริย์ทั้งสองพระนครเหล่านี้ มีการตระเตรียมรบ แล้วยกกองทัพออกไปอย่างนี้ เมื่อทอดพระเนตรเห็นแล้ว จึงทรงใคร่ครวญต่อไปว่า

เมื่อเราไปห้ามการทะเลาะนี้จักระงับหรือไม่หนอ

ก็ทรงเห็นว่า เราไปในที่นั้นแล้ว จักแสดงชาดก ๓ เรื่องเพื่อระงับการทะเลาะวิวาท


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 13 เม.ย. 2009, 17:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้นแล้วเราจักแสดงชาดกอีก ๒ เรื่องเพื่อต้องการจะให้แสดงความสามัคคีนั้น

แล้วจักแสดงอัตตทัณฑสูตรต่อไป กษัตริย์ผู้อยู่ในพระนครทั้งสอง เมื่อได้ฟังเทศนาของเราแล้ว ก็จักให้พระราชกุมารฝ่ายละ ๒๕๐ พระองค์ เราจักให้พระราชกุมารเหล่านี้บรรพชา สมาคมใหญ่จักมีด้วยประการฉะนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้นตกลงพระหฤทัยดังนี้แล้ว พอรุ่งเช้า ก็ทรงกระทำการชำระพระสรีระ เสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ถึงเวลาเย็น ก็เสด็จออกจากพระคันธกุฎี มิได้ตรัสบอกแก่ใครๆ เลย

ทรงถือเอาบาตรแลจีวรด้วยพระองค์เอง ทรงคู้บัลลังก์ประทับนั่ง ในอากาศระหว่างเสนาทั้งสองฝ่าย


ทรงเปล่งพระรัศมีออกจากพระเกศ ทำให้เกิดความมืดในเวลากลางวัน เพื่อให้เกิดความท้อใจแก่พวกนักรบเหล่านั้น ลำดับนั้น เมื่อพวกนักรบเหล่านั้นเกิดความท้อใจแล้ว พระองค์จึงทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏ ทรงเปล่งพระพุทธรัศมีมีพรรณ ๖ ประการ ฝ่ายเหล่ากษัตริย์สากิยะชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ครั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงดำริว่า ญาติผู้ประเสริฐของพวกเราเสด็จมาแล้ว ชะรอยพระองค์คงจะได้ทรงทราบว่า พวกเรากระทำการทะเลาะวิวาทกัน จึงพากันวางเครื่องอาวุธเสียด้วยตกลงใจว่า ก็เมื่อพระศาสดาเสด็จมาแล้ว พวกเราไม่อาจที่จะให้อาวุธตกต้องร่างกายของผู้อื่นได้

พวกชาวเมืองโกลิยะจะฆ่าจะแกงพวกเราเสียก็ตามทีเถิด แม้พวกกษัตริย์ชาวเมืองโกลิยะ ก็คิดและกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเสด็จลงมาประทับนั่ง ณ พุทธอาสน์อันประเสริฐ ซึ่งพวกกษัตริย์จัดถวายบนเนินทรายในประเทศอันรื่นรมย์ ทรงรุ่งเรืองอยู่ด้วยพระพุทธสิริ อันงดงามหาสิ่งเปรียบมิได้ แม้พระราชาทั้งสองฝ่ายนั้น ก็พากันถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่งอยู่.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ลำดับนั้น พระศาสดา แม้ทรงทราบเรื่องอยู่ แต่ก็ได้ตรัสถามพวกกษัตริย์เหล่านั้นอีกว่า ดูก่อนมหาราชทั้งหลาย พวกท่านมา ณ ที่นี้ทำไมกษัตริย์เหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันทั้งปวงมา ณ ที่นี้ เพื่อต้องการจะดูแม่น้ำก็หามิได้ เพื่อต้องการจะเที่ยวเล่นก็หามิได้ เพื่อต้องการจะดูภาพอันน่ารื่นรมย์ในป่าดงก็หามิได้ ก็แต่ว่าหม่อมฉันมา ณ ที่นี้ เพราะการเริ่มสงครามกันขึ้น. ดูก่อนมหาราช พวกเธอเกิดทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องอะไรเล่า. เพราะเรื่องน้ำ พระเจ้าข้า. ดูก่อนมหาราช น้ำมีราคาเท่าไร. น้ำราคาเล็กน้อย พระเจ้าข้า. ดูก่อนมหาราช ก็แผ่นดินราคาเท่าไร. แผ่นดินมีราคาประมาณมิได้ พระเจ้าข้า. ดูก่อนมหาราช ก็กษัตริย์เล่ามีราคาเท่าไร. กษัตริย์ก็มีราคาประมาณมิได้เหมือนกัน พระเจ้าข้า. พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนมหาราชทั้งหลาย ไฉนพวกท่านจึงจะยังกษัตริย์ทั้งหลายซึ่งหาค่ามิได้ให้พินาศไป เพราะอาศัยน้ำซึ่งมีราคาเพียงเล็กน้อยเล่า

ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงตรัสเทศนาผันทนชาดก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/jataka.php?i=271738
ความว่า ดูก่อนมหาราชทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการหายใจคล่อง เพราะเหตุทะเลาะวิวาทกันนั้นไม่มีเลย ด้วยว่า รุกขเทวดาตนหนึ่งกับหมีตัวอาฆาตกัน เพราะเหตุทะเลาะวิวาทกัน เวรนั้นก็ตกตามอยู่ตลอดกัปนี้ทั้งสิ้น. ลำดับต่อนั้นไป ได้ตรัสเทศนาทุททุภายชาดก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/jataka.php?i=270586
ความว่า ดูก่อนมหาราชทั้งหลาย เกิดมาเป็นคนไม่ควรหันไปตามเหตุที่ถึงของบุคคลอื่น (คือไม่ควรเก็บเอาเรื่องของคนอื่นมาคิด) จะเล่าให้ฟัง พวกสัตว์จตุบทในประเทศหิมวันต์ซึ่งกว้างประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ ยึดถือเรื่องของคนอื่น พากันวิ่งจะไปลงทะเล เพราะฟังคำของกระต่ายตัวหนึ่ง เพราะฉะนั้น บุคคลจึงไม่ควรยึดถือเอาเรื่องของคนอื่น.
ต่อจากนั้น พระองค์ตรัสเทศนาลฏุกิกชาดก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/jataka.php?i=270732
ความว่า ดูก่อนมหาราชทั้งหลาย บางคราว ผู้ที่มีกำลังน้อยก็หาช่องทำลายผู้มีกำลังมากได้ บางคราวผู้มีกำลังมากก็ได้ช่องทำแก่ผู้มีกำลังน้อย แม้แต่นางนกไซ้ยังฆ่าพญาช้างตัวประเสริฐได้
สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเทศนาชาดก ๓ เรื่อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b30:

กษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์

พระนางสิริมหามายาซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

เทวทหะ หรือรามคาม นครของแคว้นโกลิยะ มีกษัตริย์โกลิยวงศ์ปกครอง พระนางสิริมมหามายาพุทธมารดา เป็นเจ้าหญิงแห่งเทวทหนคร เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าอัญชนะ นครเทวทหะ หรือรามคามเป็นที่ประดิษฐานสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแห่งหนึ่ง บัดนี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล


พระสิวลี เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 13 เม.ย. 2009, 23:47, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 161.32 KiB | เปิดดู 4385 ครั้ง ]
:b41:
แม่น้ำโรหิณี

แม่น้ำโรหิณีเป็นแม่น้ำสายสำคัญของทั้งสองเมือง คือกบิลพัสดุ์และเทวทหะ ปัจจุบันแม่น้ำโรหิณียังคงรักษาชื่อเดิมไว้ เมื่อไปถึงกรุงกาฏมัณฑุ จะมีสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งบอกว่า Rohini Khola นั่นคือสะพานข้ามแม่น้ำโรหิณี ซึ่งไหลมาจาก หิมาลัย เช่นเดียวกับแม่น้ำสายสำคัญอื่นๆ เช่น อโนมานที คงคา


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 13 เม.ย. 2009, 23:31, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41:
แม่น้ำโรหิณี

ในคราวที่พระอานนท์กำลังจะนิพพาน เมื่อท่านรู้ว่าได้เวลาอายุขัยของท่านแล้ว ท่านเกรงปัญหาว่าจะเกิดเรื่องการแย่งพระธาตุของท่าน หลังจากปรินิพพาน จึงได้ไปนิพพานที่บริเวณแม่น้ำโรหิณี เมื่อถึงแล้วได้เข้าเตโชธาตุ อธิษฐานให้สรีระ ไหม้ และพระธาตุแตกออกเป็นสองส่วน เมื่อท่านนิพพานแล้วพระธาตุแตกออกเป็นสองส่วนเหนือน้ำโรหิณี และตกไปยังทั้งสองฝั่งเมืองพระญาติของแต่ละฝ่ายจึงได้นำเอาไปสักการะบูชา

..
พระอานนท์ ก่อนจะผนวชนั้น ทรงเป็นเจ้าชายแห่งศากยวงศ์ โดยท่านเป็นพระโอรสของพระเจ้าอมิโตทนศากยราช ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระพุทธบิดา พระมารดาของท่านทรงพระนามว่า (มฤคี??)
พระอานนท์ พระราชโอรสของพระสุกโกทนะ ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดา พระนามว่า พระนางกีสาโคตมี


@#$%
ภายหลังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระอานนท์ได้เที่ยวจาริกสั่งสอนเวไนยสัตว์แทนองค์พระศาสดา จนชนมายุของท่านล่วงเข้า 120 ปี ท่านจึงได้พิจารณาอายุสังขารของท่านพบว่า อายุสังขารของท่านนั้นยังอีก 7 วันก็จะสูญสิ้นเข้าสู่พระนิพพาน ท่านจึงพิจารณาว่าท่านจะเข้านิพพาน ณ ที่ใด ก็เห็นว่าท่านจะเข้านิพพานที่ปลายแม่น้ำโรหิณี ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ กับเมืองโกลิยะ ซึ่งมีพระประยูรญาติอยู่ทั้ง 2 ฝ่าย จากนั้นท่านจึงได้ลาภิกษุสงฆ์ และชนทั้งหลาย จนครบ 7 วันแล้ว ท่านจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์นานาประการ แล้วตั้งจิตอธิษฐานให้กายของท่านแตกออกเป็น 2 ภาค ภาคหนึ่งให้ตกที่ฝั่งกรุงกบิลพัสดุ์ อีกภาคหนึ่งตกที่โกลิย แล้วท่านได้เจริญเตโชกสิณ ทำให้เปลวเพลิงบังเกิดในร่างกาย เผาผลาญมังสะและโลหิตให้สูญสิ้น ยังเหลือแต่พระอัฐิธาตุสีขาวดังสีเงิน พระอัฐิธาตุที่เหลือจึงแตกออกป็น 2 ภาค ด้วยกำลังอธิษฐานของท่าน บรรดาพระประยูรญาติและชนที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นั้นต่างก็รองรับพระธาตุไว้ แล้วสร้างพระเจดีย์บรรจุไว้ทั้ง 2 ฟากของแม่น้ำโรหิณี



---------------
ตำนานศากยวงศ์
มีตำนานเล่าเรื่องย่อว่า พระเจ้าโอกกากราชครองราชสมบัติใน
พระนครแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสักกชนบท มีพระมเหสี ๕ องค์
พระนางหัตถา ซึ่งเป็นอัครมเหสีนั้น ทรงเป็นพระภคินี(น้องสาว)
ของพระโอกกากราช มีพระโอรสธิดาด้วยกัน ๙ พระองค์ คือ
พระโอรส ๔ พระองค์ พระธิดา ๕ พระองค์

ครั้นพระอัครมเหสีสวรรคตแล้ว พระเจ้าโอกกากราชได้ทรงแต่ง
ตั้งพระอัครมเหสีองค์ใหม่ที่ทรงพระสิริโฉมและเยาว์วัย กระทั่งมี
พระราชโอรส ทำให้พระเจ้าโอกกากราชยิ่งโปรดอัครมเหสีมาก
ถึงกับตรัสว่ายินดีให้ทุกอย่างที่พระนางทูลขอ พระอัครมเหสีจึง
ปรึกษากับพระญาติทูลขอพระราชสมบัติให้กับพระโอรส ครั้งแรก
ไม่พอพระทัยที่อัครมเหสีรังแกพระโอรสธิดาทั้ง ๙ พระองค์ที่
ประสูติแต่พระมเหสีองค์เก่า ได้ตรัสห้าม แต่พระนางไม่ยินยอม
ทูลอ้อนวอนร้องขอ พระองค์ทรงกลัวจะเสียสัตย์ จึงตัดสินใจ
พระราชทานสมบัติให้แก่ พระราชองค์เล็กนั้น

สอง - สักกชนบท
พระเจ้าโอกกากราชทรงมีพระราชดำรัสให้พระราชโอรสธิดาทั้ง
๙ พระองค์ ออกไปสร้างเมืองอยู่ใหม่ และทรงอนุญาตให้นำช้าง
ม้า วัว ควาย โดยมีอำมาตย์ ๘ คนตามเสด็จไปด้วย ชาวเมืองที่
จงรักภักดีตามเสด็จไปด้วยมากมาย

เมืองใหม่นี้อยู่ทางทิศเหนือของเมืองพระบิดา อยู่ในดินแดน
หิมพานต์ ซึ่งมีฤาษีตนหนึ่งชื่อกบิลดาบสตั้งอาศรมอยู่ในดงไม้
สักกะ เมืองที่สร้างใหม่จึงได้ชื่อว่า แคว้นสักกะ มีเมืองหลวงชื่อ
กบิลพัสดุ์ ตามชื่อฤาษี

อำมาตย์ทั้ง ๘ คน ได้ปรึกษาหารือเรื่องการอภิเษกสมรส ก็ไม่เห็น
ผู้ใดคู่ควร เหล่าพระโอรสจึงตัดสินพระทัยอภิเษกสมรสกันเองใน
หมู่พี่น้อง ยกเว้นพระภคินีองค์โต ให้อยู่ในฐานะพระมารดา

เมื่อพระเจ้าโอกกากราชทราบว่าเหล่าพระราชโอรสธิดาได้สร้างเมือง
ใหม่ขึ้นแล้วก็ทรงยินดีพระทัยถึงกับตรัสสรรเสริญว่าเป็นผู้สามารถ
และอาจหาญ ตั้งแต่นั้นมาพระโอรสและพระธิดาก็ถูกเรียกว่า
"พวกศากยะ" และนี่คือต้นกำเนิดของ ศากยวงศ์

ต่อมาภายหลังพระภคินีองค์โตประชวรเป็นโรคเรื้อน ทำให้บรรดา
พระภาดา(น้องชาย) หาที่อยู่ใหม่ให้ โดยขุดหลุมขนาดใหญ่ มี
อาหารเตรียมไว้ให้พร้อม ปูไม้กระดานปิดปากหลุมไว้ ใกล้หลุม
ขุดสระน้ำไว้ใกล้ ๆ ไม่มีใครกล้าไปติดต่ออีก

สาม - ตำนานโกลิยวงศ์
ในระยะเวลาใกล้กันที่เมืองพาราณสี ก็มีเรื่องพระเจ้ารามพระราชา
แห่งเมืองพาราณสีทรงประชวรด้วยโรคเรื้อน พระองคืถูกนางสนม
และนางระบำในราชสำนักแสดงความรังเกียจ จึงตัดสินใจยก
พระราชสมบัติให้พระราชโอรสองค์โต แล้วเสด็จหนีออกไปอยู่ป่า
ตามลำพัง เก็บผลไม้และรากไม้ในป่าเป็นอาหารประทังชีวิต ไม่
นานก็หายจากโรคร้าย

พระองค์เสด็จระเหเร่รอนไปในป่า จนไปพบต้นโกละ(กระเบา)
ใหญ่ต้นหนึ่ง มีโพรงกว้าง จึงได้อาศัยอยู่ โดยทำบันไดขึ้น เวลา
กลางคืนก็ก่อไฟไว้ที่โคนต้นไม้

มีครั้งหนึ่งพระองค์ได้เสียงผู้หญิงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวจึง
เดินตามไปทางต้นเสียง จนเห็นรอยเท้าเสือคุ้ยดินใกล้ไม้กระดาน
บนปากหลุม มองลงไปในหลุมจึงได้เห็นพระธิดาคนโตของพระเจ้า
โอกกากราช จึงได้เข้าช่วยเหลือและช่วยรักษาจนหายจากโรคเรื้อน

ต่อมาพระโอรสองค์โตของพระเจ้าราม ได้ทราบข่าวพระบิดาหาย
ประชวร จึงไปอัญเชิญให้พระองค์กลับเมือง แต่พระเจ้าทรงปฏิเสธ
โดยขอให้พระโอรสของพระองค์นำเอาต้นโกละที่ประทับอยู่ มา
สร้างเมืองให้พระองค์อยู่กับครอบครัวใหม่

พระเจ้าพาราณสีทรงทำตามที่พระบิดาขอร้อง เมื่อสร้างเมืองใหม่
เสร็จแล้วก็ตั้งชื่อเมืองนั้นว่า เมืองโกละ ต่อมาเมืองโกละ เปลี่ยนชื่อ
เป็นเมือง เทวทหะ ส่วนคำว่าโกละ ได้กลายมาเป็นชื่อวงศ์ตระกูล
คือ โกลิยวงศ์

พระเชฏฐภคินี ที่ได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้ากรุงเทวทหะ ซึ่งจัด
เป็นต้นวงศ์ โกลิยะ นั้น ทำให้สองตระกูลนี้ผูกสัมพันธ์กันในระยะ
ต่อมา เริ่มด้วยพระโอรสของ โกลิวงศ์ ไปขอความรักจากเจ้าหญิง
วงศ์ศากยะ ฝ่ายหญิงไม่ปฏิเสธ จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายก็อภิเษกสมรส
ด้วยประเพณีง่าย ๆ แล้วพัฒนาขึ้นไปจนมีพิธีรีตองเต็มยศในระยะ
ต่อมา

สี่ - ศากยวงศ์ กับ โกลิยวงศ์ สืบเชื้อสายลงมาโดยลำดับ เท่าที่

ปรากฏอยู่ มีดังนี้

ที่มา
..........
http://www.dhammajak.net/forums/posting.php?mode=edit&f=1&p=102834

แนบไฟล์:
.jpg
.jpg [ 57.43 KiB | เปิดดู 4377 ครั้ง ]


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 14 เม.ย. 2009, 00:12, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41:
แนบไฟล์:
ในพระวิหารทิศตะวันออกวัดโพธิ์.jpg
ในพระวิหารทิศตะวันออกวัดโพธิ์.jpg [ 64.63 KiB | เปิดดู 4374 ครั้ง ]


พระพุทธโลกนาถ ในพระวิหารทิศตะวันออกวัดโพธิ์

ที่ "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม" หรือวัดโพธิ์ท่าเตียน ซึ่งมีพระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่ในพระวิหารทิศตะวันออก หรือบริเวณด้านหน้าพระอุโบสถของวัดโพธิ์ พระพุทธรูปองค์นี้มีนามว่า "พระพุทธโลกนาถ ราชมหาสมมตวงศ องคอนันตญาณสัพพัญญู สยัมภูพุทธบพิตร" หรือเรียกกันสั้นๆว่า "พระพุทธโลกนาถ"

พระพุทธโลกนาถซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาตินี้มีขนาดสูง 20 ศอก เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ในกรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อกรุงแตก วัดต่างๆ ถูกเผาทำลายรวมถึงวัดพระศรีสรรเพชญ์ด้วย ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนาวัดพระเชตุพนฯ ขึ้น จึงโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญพระพุทธโลกนาถจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารทิศตะวันออกจนปัจจุบัน

ในวัดโพธิ์นี้ยังมีพระยืนอีกองค์หนึ่ง แต่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เพราะเป็นพระพุทธรูปยืนที่ประดิษฐานอยู่ใน พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชรดาญาณ เจดีย์กระเบื้องเคลือบสีเขียวซึ่งเป็นพระเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 พระศรีสรรเพชญ์ นั้นเป็นพระพุทธรูปยืนขนาดสูง 16 เมตร เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ กรุงศรีอยุธยาเช่นเดียวกับพระพุทธโลกนาถ และได้ถูกข้าศึกทำลายในคราวกรุงแตกเช่นเดียวกัน อีกทั้งข้าศึกยังได้เอาไฟเผาเพื่อหลอมทองที่หุ้มองค์พระออกไปด้วย องค์พระศรีสรรเพชญ์จึงมีความเสียหายอย่างหนัก


[ผู้โพสต์ อุปมาว่า ถ้าคนในบ้าน เมือง ทะเลาะกันแล้ว ก็จะเกิด ความเสียหายอย่างหนัก ไม่เว้นกระทบ แม้ พระพุทธรูป.เช่นในสมัยอยุธยานั้นแล .,สังเวชหนอ สลดใจ หนอ]


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 14 เม.ย. 2009, 00:30, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41:
แนบไฟล์:
.jpg
.jpg [ 110.72 KiB | เปิดดู 4371 ครั้ง ]


พระประธานในพระอุโบสถวัดเครือวัลย์

"วัดเครือวัลย์วรวิหาร" วัดซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับกรมอู่ทหารเรือ ก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีพระพุทธรูปยืนเป็นพระประธานในพระอุโบสถ วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาพระยาอภัยภูธรและเจ้าจอมเครือวัลย์ในรัชกาลที่ 3 ผู้เป็นธิดาได้ปฏิสังขรณ์วัดขึ้นใหม่แล้วถวายเป็นพระอารามหลวง วัดนี้จึงได้รับพระราชทานนามว่า "วัดเครือวัลย์" โดยหน้าบันของพระอุโบสถนั้นประดับลายปูนปั้นลายเครือเถา บานประตูและหน้าต่างมีลายปูนปั้นงดงาม จิตรกรรมฝาผนังเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้า 500 ชาติ ฝีมือช่างในรัชกาลที่ 3 ส่วนพระประธานในพระอุโบสถนั้น เป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติอันงดงามไม่แพ้วัดไหน


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 14 เม.ย. 2009, 00:33, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41:


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 13 เม.ย. 2009, 23:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41:


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 13 เม.ย. 2009, 23:13, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41:


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 13 เม.ย. 2009, 22:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 156 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร