วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 04:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2009, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ม.ค. 2009, 21:03
โพสต์: 26


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อจากกระทู้ที่แล้วนะขอรับ สรุปว่าต้องเห็นทุกข์ก่อนเสมอ แล้วจึงเห็นธรรม

ที่นี้ผมสงสัยว่าเมื่อเห็นธรรมแล้ว เราจะเห็นพระพุทธเจ้า อันนี้เห็นพระองค์จริงๆหรือว่าท่านมานิมิตเห็นครับ หรือเป็นคำเปรียบเปรยเฉยๆขอรับ

ขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งขอรับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2009, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b16: เมื่อก่อนคนไร้สาระ น่ะคิดไว้ว่า
ทำอย่างไรจะได้เจอะพระพุทธเจ้า
มีจริงไหม อะไรทำนองนี้

วันหนึ่ง....

ได้ไปอ่านเจอะคำว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"
ก็สงสัยคำนี้มาตลอดน่ะ (น่าจะเป็นประมาณเดียวกับ
หัวข้อกระทู้ของคุณสมพล)

และวันนี้...

เมื่อเริ่มศึกษา มาโดยลำดับ
ก็พอจะเข้าใจ บ้างว่า

คำว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา

คำว่าเรา คือ พระพุทธเจ้า
พุทธเจ้า คือ พุทธะ คือ ใจตัวเอง
เพราะคำว่าพุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เมื่อเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็จะมอง
สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าดี หรือเลว ก็เป็นเพียงชั่วคราว
เป็น ธ ร ร ม ะ คือ ธรรมชาติ
มันเป็นเช่นนั้น อย่างนั้น เอง
ตามกฏไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นขณะ ๆ

เห็นบ่อย ๆ....


จนจิตยอมรับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียง
สิ่งที่ผ่านมา ผ่านไป ไม่ควรยึด ไม่ควรถือ
มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่หลงคิดไปในอดีต
ไม่ฝันไปในอนาคต เท่านี้ก็พอจะทำให้
มีความสุข แบบไม่ต้องมีเหยื่อล่อ เพราะ
รู้ว่า เมื่อกินเหยื่อเมื่อไหร่ ทุกข์จะตามมา
ทันที มีความสุขสงบ อยู่กับปัจจุบัน

ดังนั้น

คำว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
เห็นธรรม คือ เห็นธรรมชาติ ของสรรพสิ่ง
เห็นเรา คือเห็น ใจ ตัวเอง ที่วิ่ง กระสับกระส่าย
ตามแรงดึงดูดของกิเลส ตามสภาวะ
ที่เกิดจากผัสสะ อันกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ
หลังจากนั้น จิตจะให้ค่าทันที
ชอบ ไม่ชอบ เฉย ๆ เมื่อให้ค่าแล้ว
จากนั้นจิตจะก่อพฤติกรรมทางจิตทันที
นั่นหมายถึงเจตนา ก่อกรรมทางจิตไปแล้ว
ถ้าตรงนี้เห็นทัน (สติเกิด) โทสะ โลภะ โมหะ
จะยังไม่ ผลิดอกออกผล จะดับวูบให้เห็นทันที
จะไม่หลุดออกไปทาง กาย กับวาจา

อันนี้ มาเล่า สู่กันฟัง
ถ้าผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ
เพราะคนไร้สาระ ศึกษาธรรมะจาก
สถานปฏิบัติธรรมเคลื่อนที่ ที่มีอยู่ในตัว
คือ ก า ย กับ ใ จ ไม่มีอะไรมาอ้างอิง
แต่มีอาจารย์คอยสั่งสอน
ที่หาอ่านจากหนังสือ ฟังจากเน็ต
ไม่เคยเข้าครอส์ ปฏิบัติธรรมหรอกค่ะ
แต่เป็นคนที่มี อิทธิบาทสี่ พอประมาณ
โมทนากับเจ้าของกระทู้ค่ะ
:b41: :b41: :b41:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2009, 06:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สมัยก่อน ในช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์ชีพอยู่
มีผู้คนมากมายเห็นพระพุทธเจ้า ตัวเป็นๆ ... แต่ไม่เห็นธรรม

บางคนยิ่งได้คุยกับพระพุทธเจ้าโดยตรง
แต่ไม่เห็นธรรม...ก็มีมากมายในยุคนั้น

บางคนต้องโดนพระพุทธเจ้าทรมานอยู่นานสองนาน จึงจะเห็นธรรม

พระเทวทัตยิ่งได้บวชอยู่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่เห็นธรรม
ยังไปแอบทำร้ายพระพุทธเจ้า

แม้พระองค์ดับขันธ์์ไปแล้ว พวกกษัตริย์ผู้ครองพระสรีรังคาร
ก็ไม่ใช่ว่าได้ครองอัฐฐิพระพุทธเจ้าแล้วจะเห้นธรรม

คำว่าเห็นธรรม จึงไม่ใช่การพบเห็น "รูปหรือฉายาของพระพุทธเจ้า"
เช่นการพบในนิมิต การพบในฝัน การได้ครองพระบรมสารีริกธาตุ


คำว่าเห็นธรรม ซึ่งปรากฏในสำนวนที่ว่า"ดวงตาเห็นธรรม"
หมายถึง "ได้รู้และแจ้งในอริยสัจ" ศัพท์เทคนิคนี้ หมายถึงสำเร้จโสดาบัน

สำนวนหลวงปู่ดูลย์ท่านใช้คำว่า "ฉลาดในพฤติแห่งจิต"
คือรู้ว่าพฤติอย่างไรคือทุกข์ พฤติอย่างไรคือสมุทัย
พฤติอย่างไรเป้นจิตเหตุ พฤติอย่างไรเป็นจิตที่เป้นผลลัพธ์
ซึ่งก็คืออริยสัจ

และคำว่าเห็นนี้ก็ไม่ได้หมายถึงตาเห็น
แต่หมายถึงการ "ทราบอยู่แก่ใจ รู้อยู่ที่ใจ"
เช่น กำลังมีความหิว ใจเราทราบ แต่ไม่ใช่ว่าตาเราได้เห็นความหิว เพราะความหิวไม่มีตัวอยู่
แต่เราก็รับรู้ได้ถึงความหิวได้ ชัดเจนพอๆกับตาที่เห็นสิ่งต่างๆ

หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนว่า "นิมิตที่เห็นนั้น...เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น..ไม่จริง"
"จริง" คำแรกหมายถึง "เห็นจริงๆ" อาจจะเห้นด้วยใจ ด้วยตา เห็นเป็นเสียง เป้นภาพ
"จริง" คำสุดท้ายหมายถึงตัวธรรมะ สัจจธรรม อริยสัจ
รวมความว่า ถ้าหากสิ่งที่เห้นนั้นไม่ใช่สัจจธรรม ไม่ใช่อริยสัจ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเห็น

ถ้าเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา
ก็ให้สังเกตุว่า"ใครเป็นผู้เห็น" แล้วพระพุทธเจ้าจะตายลงตรงหน้า

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2009, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากรู้ก็ต้องเห็นธรรมก่อนครับ...จึงจะรู้ว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร สิ่งนึงคือเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าย่อมต้องเป็นเรื่องจริงแน่นอน :b13: :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2009, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2009, 09:06
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดว่าน่าจะเป็นคำเปรียบเปรยนะครับ กล่าวคือ
เมื่อบุคคลใดได้ศึกษาธรรมะและเข้าใจอย่างท่องแท้จนนำไปปฏิบัติและเป็นคนดีของสังคมได้ บุคคลนั้นก็จะเห็น(พระพุทธเจ้า) คือ เห็นถึงพระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณและพระบริสุทธิคุณ ของพระพุทธองค์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2009, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อันนี้ มาเล่า สู่กันฟัง
ถ้าผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ
เพราะคนไร้สาระ ศึกษาธรรมะจาก
สถานปฏิบัติธรรมเคลื่อนที่ ที่มีอยู่ในตัว
คือ ก า ย กับ ใ จ ไม่มีอะไรมาอ้างอิง


ขอแนะนำให้ "คนไร้สาระ" เปลี่ยนชื่อเป็น "คนมีสาระมากมาย" ได้แล้วครับ

ธรรมะหรือธรรมชาติ ได้แก่ กายกับใจของตนๆนี่เอง นี่แหละคือธรรมะ เมื่อใดเห็นตามนั้นละเอียดขึ้นๆๆๆ
ก็จะเกิดญาณ หรือ ปัญญา ได้ดวงตาเห็นธรรม หรือเห็นธรรมชาติ ผู้นั้นก็เห็นพุทธะ คือผู้รู้ พุทธะแปลว่าผู้รู้ คือรู้จักตนเอง รู้จักธรรมชาติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2009, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2009, 02:45
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะข้อแก้แบบผู้ที่ปฎิบัตินะครับ การที่จะเห็นพระพุทธเจ้าผู้นั้นจะต้องได้โสตทิพย์และจักษุทิพย์ ซึ่งผู้ที่ปฎิบัติอย่างจริงจังและก้าวหน้าจะทราบว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปไหนและอยู่ตลอด เพราะว่าสภาวะของนิพพานเป็นวิมุตติ แต่ผู้ที่ไปพระนิพพานจะสามารถกลับมาโลกนี้ได้อีก และใช้ในสมมุติได้แต่ไม่ยึดในสมมมุติจึงสามารถมาได้อีกและแสดงธรรมได้สนทนาธรรมได้แต่ผู้ที่ทำได้จะต้องมีจิตที่อยู่ในปัจมฌาณในทางพระอภิธรรมแล้วจะได้จักษุและโสตอันเป็นทิพย์มีตัวอย่างนะครับ หลวงปู่มั้น เมื่อท่านบรรลุแล้วพระพุทธเจ้ายังมาอนุโมทนากับท่านเลยหลวงปู่มั้นก็เลยถามพระพุทธเจ้าพระพุทธองค์ก็ทรงตอบแบบผมละครับสรุปไม่ต้องสงสัยแล้วนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2009, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คนไร้สาระ :
เห็นบ่อย ๆ....

จนจิตยอมรับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียง
สิ่งที่ผ่านมา ผ่านไป ไม่ควรยึด ไม่ควรถือ
มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่หลงคิดไปในอดีต
ไม่ฝันไปในอนาคต เท่านี้ก็พอจะทำให้
มีความสุข แบบไม่ต้องมีเหยื่อล่อ เพราะ
รู้ว่า เมื่อกินเหยื่อเมื่อไหร่ ทุกข์จะตามมา
ทันที มีความสุขสงบ อยู่กับปัจจุบัน

ดังนั้น

คำว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
เห็นธรรม คือ เห็นธรรมชาติ ของสรรพสิ่ง
เห็นเรา คือเห็น ใจ ตัวเอง ที่วิ่ง กระสับกระส่าย
ตามแรงดึงดูดของกิเลส ตามสภาวะ
ที่เกิดจากผัสสะ อันกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ
หลังจากนั้น จิตจะให้ค่าทันที
ชอบ ไม่ชอบ เฉย ๆ เมื่อให้ค่าแล้ว
จากนั้นจิตจะก่อพฤติกรรมทางจิตทันที
นั่นหมายถึงเจตนา ก่อกรรมทางจิตไปแล้ว
ถ้าตรงนี้เห็นทัน (สติเกิด) โทสะ โลภะ โมหะ
จะยังไม่ ผลิดอกออกผล จะดับวูบให้เห็นทันที
จะไม่หลุดออกไปทาง กาย กับวาจา


เราควรเห็นเรา คือเห็นในกาย และใจ ของเรานี่แหละว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็นโดยความรู้สึกว่าเป็นไปเช่นนั้นเอง...
เราไม่มี เขาไม่มี สัตว์ บุคคลต่างๆ ล้วนไม่มี ไม่น่ายึดถือ ควบคุม ล้วนเป็นทุกข์ ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา

เมื่อเราเห็นเราปานฉะนี้...เท่ากับเราเห็นธรรม...ได้เห็นพระพุทธะโดยแท้


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2009, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ไปอ่านเจอะคำว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"


:b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

เราเคยสงสัยเรื่องนี้เช่นกันค่ะ
แต่เราก็ได้คำตอบแล้วแต่เราก็ยังสงสัยอีกค่ะ
คำตอบที่เราได้คือ ที่สิงคโปร์ค่ะ
มีผู้ชายคนหนึ่งแต่งงานแล้ว ลูกอายุ1ปีกว่าๆ

ผู้ชายคนนี้ ไปเช็คร่างกาย หมอบอกว่าเค้าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
อายุของเค้าคิดว่าไม่ถึง30ค่ะ
ญาติของเค้าก็แนะนำให้เค้านั่งสมาธิ-สวดมนต์ สวดคำว่า"อา-มิ-โธ-โพ"เหมือนในcd
ที่เราฟังนะค่ะ เค้าก็สวดมนต์นั่งสมาธิ เค้าก็เริ่มเชื่อเรื่องธรรม
เค้ายอมรับเรื่องเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เค้าบอกว่าพอเค้าเริ่มนั่งสมาธิ อาการของเค้าที่เจ็บมากๆก็เจ็บน้อยลง
ทุกๆวันพ่อ-แม่-ภรรยา-ญาติ ก็จะร่วมสวดกับเค้าด้วย

ทุกๆคนเลิกกินเนื้อสัตว์
แต่มีตอนดึกอยู่วันหนึ่งเค้าฝัน หรือเค้านั่งสมาธิแล้วเห็นเราก็จำไม่ได้
เค้าบอกกับภรรยาของเค้าว่าเค้าเห็น"อา-มิ-โธ-โพ"(ภาษาจีนคือพระพุทธเจ้า)
มาบอกว่าพรุ่งนี้เวลา...(คือเราก็ลืม จำได้ แต่ว่าเป็นช่วงบ่าย) จะมารับเค้าไป

ภรรยาเค้าก็โทรบอกญาตพี่น้องทั้งหมด ให้มาดูสามีเค้าเ็ป็นครั้งสุดท้าย
ญาติๆของเค้าก็ไปอยู่ที่บ้านเค้า เวลาที่ญาติๆถามว่าเค้ากลัวไม๊
เค้าบอกเค้าไม่กลัว คือเค้า+ภรรยาทำใจได้แล้ว
ญาติเค้าถ่ายวีดีโอวันสุดท้ายของเค้าไว้ดู
ให้เค้าพูด เพื่อรุ่นหลานๆของเค้าจะได้ชื่อเรื่องธรรม
พอช่วงเที่ยงเค้าทานข้าวเสร็จ
เค้าก็สั่งลาลูกเค้า แล้วก็สอนลูกเค้า แล้วเค้าก็ขอตัวไปนั่งสวดมนต์
ญาติๆของเค้าทุกคนก็สวดด้วย
พอใกล้ถึงเวลาที่"อา-มิ-โธ-โพ"บอก
แม่เค้าก็ถามว่าเห็น "อามิโธโพ-หรือยัง 'เค้าก็นั่งนิ่งๆ (คือตอนที่พวกเค้าสวด
เค้ามีรูปพระบานใหญ่ตั้งไว้ที่ตรงข้างหน้าของเค้าด้วย)
แล้วสิ่งที่พวกญาติๆเค้าเห็น คือเป็นแสงรัศมีเป็นสีเหลืองๆออกมาจากรูปภาพนั้น
ผู้ชายคนที่เป็นมะเร็งเค้าก็พูดว่า"ทุกๆคนเค้าลาก่อนมีดอกบัวมารับเค้าแล้ว"
แล้วเค้าก็ไป ญาติเค้าก็สวดอีกซักพักหนึ่ง ก็ไปจับที่ตัวเค้า
คือเค้าไปตรงกับเวลาที่เค้าบอกกับภรรยาของเค้า
เค้าไปในท่าที่เค้านั่งสมาธิตัวเค้าก็ไม่แข็ง
แล้วคุณๆคิดว่าคำว่า"ผู้ใดเห็นธรรม-ผู้นั้นเห็นเรา"เป็นจริงหรือเปล่าค่ะ
เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ2-3ปี
ญาติๆเค้าตอนนี้ทุกๆคน กินเจค่ะเราแปลกใจมากๆ เลยที่มีแสงรัศมีออกมาจากรูปภาพ
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ มีทั้งภาพแล้วก็ทั้งเสียงที่ญาติๆเค้าถ่ายVCDไว้
แล้วทุกๆท่านละค่ะ มีความเห็นว่ายังไงบ้าง!ขอความคิดเห็นบ้างนะค่ะ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2009, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1855

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"

:b20: เป็นคำเปรียบเปรย อย่าง ข้าพเจ้า อยากเข้าเฝ้า"พุทธองค์"
จึงหันมาปฏิบัติธรรม อยู่นี่ไง แต่สงสัยดวงตายังมัวอยู่
จึงยังไม่เห็น "พุทธองค์" แต่ก็ไม่ย่อท้อ สู้ๆ...ต่อไป

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2009, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


" เห็นธรรมแล้วจะเห็นพระพุทธเจ้าจริงหรือเป็นคำเปรียบเปรย "


ไม่เห็นต้องถามเลย พวกที่บอกว่าเป็นคำเปรียบเปรย เป็นใครล่ะ - สมมุติสงฆ์และคนธรรมดา ผู้มีมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น

พวกที่บอกว่า เห็นธรรมแล้วจะเห็นพระพุทธเจ้าจริง เป็นใครล่ะ - พระอริยะสงฆ์และพระอรหันต์ทั้งนั้น เช่น หลวงปู่มั่น หลวงพ่อคง หลวงตามหาบัว หลวงพ่อสด หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่ปาน ฯลฯ คนพวกนี้ล้วนเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ

แล้วคุณจะเลือกเชื่อผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิ หรือ เชื่อผู้มีสัมมาทิฏฐิ ล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2009, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบเจ้าของกระทู้ครับ (หลังจากที่ไม่ได้เข้ามาตอบทีเว็ปนี้นานพอควร ยังมีหลายๆ อย่างเหมือนเดิมจริงๆ ครับ)

การจะรู้ว่าคำว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" นี้แท้จริงเป็นอย่างไร จะต้องไปศึกษาพระสูตรในพระไตรปิฏก และไม่ใช่ศึกษาเพียงพระสูตรเดียวเท่านั้น จะต้องศึกษาหลายๆ พระสูตรประกอบกันถึงจะทำให้เข้าใจกระจ่างแจ้งได้ครับ เพราะแต่ละพระสูตรจะมีที่มาที่ไป และจะมีเหตุมีผลและพระประสงค์ในการตรัสอยู่ บางทีหากเราไม่ศึกษาแล้ว เพียงจำเพียงพุทธพจน์มาเท่านั้นจะทำให้เข้าใจ หรือตีความคลาดเคลื่อนไป นำไปใช้ผิดต่อไปได้

ทั้งนี้ที่ศึกษามา คำๆ นี้จะมีที่มาคือ พระวักกลิที่กำลังอาพาธอยู่ และพระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จไปเยี่ยม และได้ทรงรู้ถึงจริตนิสัยว่าพระวักกลินี้เป็นผู้หลงในพระรูปอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าเป็นยิ่งนัก พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสปรามว่าอย่าได้หลงรูปกายนี้เลย และทรงแสดงสิ่งที่น่าจะสนใจมากกว่า คือ พระธรรมนั่นเอง จึงได้ตรัสว่า

"วักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์ เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย ฯลฯ"

ด้วยเหตุนี้คำดังกล่าวจึงเกิดขึ้น เป็นเหตุให้พระวักกลิจึงได้เข้าใจและได้ปฏิบัติจนสำเร็จในเวลาต่อมา

ดังนั้นประโยคดังกล่าวเป็นการตรัสปราม เพื่อปรับทิฐิด้วยอุปมา เพื่อไม่ให้ไปหลงในพระรูปของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ประโยคที่จะให้พระวักกลิปฏิบัติไปเพื่อให้เห็นพระรูปของพระพุทธเจ้าซ้ำอีกแต่อย่างใดเลย การปฏิบัติไปเพื่อให้เห็นพระรูปของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอันผิดพระประสงค์ที่ตรัสกับพระวักกลิตั้งแต่แรกแล้วครับ

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ :

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 680&Z=2799
และ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 767&Z=2841

ขอให้เจริญในธรรมครับ

____________________________________
"เอาเถิด ท่านทั้งหลาย พวกเราจงสังคายนา พระธรรมและพระวินัยเถิด ในภายหน้าสภาวะมิใช่ธรรมจักรุ่งเรือง ธรรมจักเสื่อม ถอย สภาวะมิใช่วินัยจักรุ่งเรือง วินัยจักเสื่อมถอย ภายหน้าอธรรมวาทีบุคคลจะมีกำลัง ธรรมวาทีบุคคลจักเสื่อมกำลัง อวินยวาทีบุคคลจักมีกำลัง วินยวาทีบุคคล จักเสื่อมกำลัง ฯ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2009, 00:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: หายไปนานเลยนะ...K ศิรัสพล หายไปไหนมา แสดงว่างานเยอะหรอครับเลยหายไป...ไม่ได้มาตอบคำถาม ณ ลานแห่งนี้เลย ดีใจนะครับ ที่ K. กลับมาอีกครั้ง....จะได้ช่วยไขข้อข้องใจของคนที่ถามในนี้ได้ เพราะทุกครั้งทีคุณโพสท์อ่านแล้วได้ข้อคิดดี เอาเป็นว่าผมชมเท่านี้ก็แล้วกัน.... :b1: :b40:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2009, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


จากพรหมชาลสูตร


" ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ "

แล้วตรัสต่ออีกว่า

"เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต."

.......................................

ผมย้ำท่อนนี้อีกที เพราะมารมันบังตาพวกเราไว้ให้ผ่านท่อนนี้ไป

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

คราวนี้เน้นเลย เอาอำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต ยังดำรงอยู่ = ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต คือ เห็น กายนี้ซึ่งเป็น กายธรรม หรือ ธรรมกาย ครับ

มนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต=นี่ไม่ใช่กายแท้จริงของพระพุทธเจ้าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2009, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับอินทรีย์5 และกัลยาณมิตรทุกๆ ท่าน และขอบคุณสำหรับคำชมครับ :b8:

ผมเองที่ผ่านมาก็มีงานเยอะเหมือนกัน แต่ยังพอไปเวะเวียนตามเว็ปไซต์ต่างๆ บ้างครับ
อย่างช่วงไม่กี่วันนี้ก็เหนื่อยนิดหน่อยครับ ไปช่วยตอบเรื่อง เชื่อกฏแห่งกรรมดีกว่าเชื่อดวงในเว็บ
พันธ์ทิพย์ และก็มีไปตอบแก้เรื่องการมีอรหันตโพธิสัตว์ (ผู้บรรลุอรหันต์แล้วแต่ถอนกลับมา
เพื่อไม่ไปนิพพานก็ได้) ในเว็ปพลังจิตครับ..เล่าให้อ่านน่ะครับ คิดว่าเพื่ออัพเดตข้อมูลให้แล้วกัน

มีได้เจอกับบางท่านในกระทู้เหล่านั้นบ้างเหมือนกัน..ตามประสาครับ

ปล. ความเห็นต่างๆ ของคุณอินทรีย์5 และหลายๆ ท่านในเว็ปนี้ได้ตอบไป ผมได้เข้าไปอ่านแล้วก็ได้รับความรู้ และแง่คิดดีๆ เพิ่มเติมเช่นเดียวกันครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ

สวัสดีครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 104 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร