วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 10:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


“ศีล” ไม่ได้มีไว้ให้ “เพ่ง” หรือ “จดจ่อ” ศีลมีไว้ให้ศึกษา ให้ประพฤติปฏิบัติ ให้รักษา

ในกรรมฐาน ๔๐ กอง อนุสติ ๑๐ ไม่มีคำว่า “เพ่งศีล” หรือ “สติจดจ่ออยู่กับศีล”
มีแต่ “สีลนุสติ” การระลึกนึกถึงศีล ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้

คำว่า “สติจดจ่ออยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด” กับ “สติระลึกนึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด” ต่างกัน ไม่เหมือนกัน

คำว่า “สติจดจ่ออยู่กับ...” คือ การทำให้นิ่ง ไม่ส่ายแส่ จ้องมอง ไม่นึก ไม่คิด ไม่ระลึกถึง ใช้ในความหมายของการ ทำสมถภาวนา หรือ การทำสมาธิ เช่น สติจดจ่ออยู่กับลมหายใจ เข้า - ออก สติจดจ่ออยู่กับคำบริกรรม พุทโธ ธรรมโม ฯลฯ

“สติระลึกนึกถึง...” ใช้ในความหมายของ การคิด การนึก การระลึกถึง พร้อมประกอบไปด้วยเหตุผล เช่น การระลึกนึกถึง ทาน ศีล ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมา ท่านก็เรียก จาคานุสติ สีลนุสติ ฯลฯ

ในอนุสติ ๑๐ ประการ ที่พระองค์ตรัสไว้ ต้องคิด ต้องนึก ต้องระลึกถึง คือ

๑. พุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระองค์
๒. ธัมมานุสติ ระลึกถึงพระธรรม คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระธรรม
๓. สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ์

๔. สีลานุสติ ระลึกถึงศีล คือ น้อมจิตรำลึกพิจารณาศีลของตนที่ได้ประพฤติปฏิบัติว่า บริสุทธิ์ ไม่ขาด ไม่ด่าง ไม่พร้อย

๕. จาคานุสติ ระลึกถึงการบริจาค คือ น้อมจิตระลึกถึงทานที่ตนได้บริจาคแล้ว และพิจารณาเห็นคุณธรรมคือความเผื่อแผ่เสียสละนี้ที่มีใน
๖. เทวตานุสติ ระลึกถึงเทวดา คือ น้อมจิตระลึกถึงเทวดาทั้งหลายที่ตนเคยรู้และพิจารณาเห็นคุณธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดานั้นๆ ตามที่มีอยู่ในตน
๗. มรณสติ ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีมาถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาที่จะให้เกิดความไม่ประมาท

๘. กายคตาสติ สติอันไปในกาย คือ กำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าประกอบด้วยส่วนต่างๆ อันไม่สะอาด ไม่งาม น่ารังเกียจ เป็นทางรู้เท่าทันสภาวะของกายนี้ มิให้หลงใหลมัวเมา
๙. อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจ เข้า - ออก
๑๐. อุปสมานุสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบ คือ ระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระนิพพาน อันเป็นที่ระงับกิเลสและความทุกข์

สิ่งที่คุณ natdanai อธิบายมาว่า “พิจารณาแล้วก็เห็นว่า...” นี้ก็คือ การคิด การนึก การเอาสติระลึกถึง แม้คุณจะเข้าใจว่าเป็นการ “เพ่ง” ก็ตาม

“ศีล” ไม่บริสุทธิ์ขึ้นมาได้เพราะการ “เพ่ง” หรือเอา “สติไปจดจ่อกับศีล” ศีลจะบริสุทธิ์ได้ ก็ด้วย “การศึกษาศีล การประพฤติปฏิบัติในศีลและการรักษาศีล”

หากยังคิดว่า "เพ่งศีล" หรือเอา "สติจดจ่อกับศีล" ทำให้ศีลบริสุทธิ์ได้ คุณก็กำลัง "บัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่"

เจริญธรรม

:b8: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาษา-พา-งง
:b8:
ถูกของคุณมิตรตัวน้อยว่าไว้นะครับ

เพ่ง กับ เผลอ มันสุดโต่งทั้งสองข้างขั้ว
สติจะไม่เกิดพร้อมเพ่ง ไม่เกิดพร้อมเผลอ
เมื่อมีสติย่อมไม่เพ่ง ไม่เผลอ


แต่อาการที่เข้าข่าย "เพ่งศีล" ก็มีจริงนะครับ เยอะแยะเลย
อย่างการไม่ยอมปฏิบัติถ้าไม่นุ่งขาวห่มขาวก่อน
หรือการไม่ยอมปฏิบัติเวลาเข้าส้วมเพราะเชื่อว่าบาป ฯลฯ อะไรทำนองนี้
นี่ก็น่าจะเรียกว่าเพ่งศีลได้นะครับ

หรืออาจจะใช้คำว่า "ขาดสติ" ใน "ศีล"
เลยกลายเป็นศีลของคนบ้า เที่ยวฆ่าอะไรต่อมิอะไรแล้วไม่บาป (อุ๊ย-พาดพิงใครหรือเปล่า)

เข้าใจว่าคุณพี่ natdanai แกคงจะหมายถึงว่า "เคร่งศีล"
แต่ไปใช้คำว่า "เพ่งศีล" ซึ่งคำว่า "เพ่ง" เป้นศัพท์เทคนิค

กระมังครับ
อนุโมทนาสาธุทุกท่าน

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องขออภัยนะครับกับท่านที่ศึกษา(เรียนมาเยอะ)ในตำรา ฯ เนื่องจากกระผมเองนั้นอ่านน้อย เรียนน้อย คำอธิบายของกระผมหากจะเอามาเทียบกับสิ่งที่ตำหรับตำราเขียนไว้อาจจะไม่ตรงกัน แต่ก็เป็นเรื่องของพยันชนะครับ สิ่งที่อธิบายไปนั้นมาจากความเข้าใจส่วนตัวและก็พยายามสื่อสารให้เข้าใจง่ายที่สุดตามสติปัญญาของกระผมเองที่มีอยู่...หากท่านใดอ่านแล้วทำให้กระทบจิตใจให้ขุ่นมัวก็ต้องกราบขออภัยครับ.... :b13: :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะพี่
:b8:

ไม่เห็นบอกเล่าให้น้ำฟังบ้างเลย ว่าไปลองทำแบบที่น้ำบอกหรือยัง แล้วเป็นอย่างไรบ้างคะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b40: อ่านที่ K.Owan โพสท์ล่าสุด รู้สึกว่าน่าจะไปตั้งกระทู้ใหม่ได้เลยครับ ปัญหาที่ K owan เจอคือหนึ่งปัญหาที่เกิดจากการศึกษาวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด สองคือปัญหาชีวิตที่มีหลายเรื่องที่หนักหัว และเข้ามาให้ขบคิดวุ่นวายใจไม่พัก ไม่รู้จักจบสิ้น

ปัญหาที่อ่านอยู่ที่คนที่มีลูกเรียนวิดวะ แล้วไม่ยอมคืนเงิน จนต้องฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลกัน ผมว่าถ้าจะทำความดีเพื่อชนะใจคนพวกนี้อย่าเลยจะดีกว่า เพราะคนประเภทนี้คิดกันคนละแบบ ถึงแผ่เมตตาไปเขาก้ไม่เปิดคลื่นความถี่รับกระแสบุญที่แผ่หรอก และมีแนวโน้มจะไม่ได้เงินคืนอย่างที่เพื่อนได้ทักไว้จริงๆครับ ผมว่าไม่ทำเกินไปหรอกครับ มีอะไรพอทำได้ก็ทำไปเถอะ เพื่อเรียกสิทธิเราคืนกลับ บุญบาปก็อีกอย่าง การเรียกร้องถึงความยุติธรรมก็อีกส่วนหนึ่ง เพียงแต่หากจะเอาชนะคนประเภทนี้ หนึ่งต้องใจเย็น เก็บความโกรธไว้ก่อน สองปรึกษารอบด้านถึงความได้เปรียบเสียเปรียบ แล้วลองทำตามสิ่งที่คิดว่า
ถูกต้องที่สุด หากไม่ชนะ ก้ถือไว้ได้ทำเต็มที่แล้ว แต่หากชนะก้จะได้ภูมิใจว่าได้ชนะและเรียกสิทธิความชอบธรรมกลับคืนมา ไม่ให้เขาไปทำความไม่ดีหรือทำแย่กับคนอื่นต่อไป และอีกอย่างหากยังคิดถึงเรื่องพวกนี้ เมื่อคิดไปแล้วก้อย่าพยายามมาเก็บดองไว้ในใจหรือคิดบ่อยจนเกินไปนะครับ เพราะทำให้ใจมีความทุกข์ และโทสะ จนกลายเป็นความเครียดหากสิ่งเราคิดไว้มันไม่เป็นไปดั่งที่คิดไว้ ผมจะบอกว่าถึงจะทำโดยฟ้องร้องกันตามกฏหมายกับคนๆนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็ให้สวดมนต์แล้วทำใจเป็นสมาธิแล้วแผ่เมตตาให้คนผู้เห็นแก่ตัวผู้นี้ไปด้วยจะดีกว่าครับ.... :b41: ทำพร้อมๆกันไปทั้งสองวิธี :b39:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2009, 00:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


O.wan เขียน:
:b1: พี่ลองไปฝึกแบบที่คุณน้ำแบบเขียนน่ะค่ะ แต่ไม่ได้แน่ค่ะเพราะพอเราหยุดเขียน
พอจะกลับเข้ามาเหมือนมันไม่ต่อเนื่องน่ะค่ะ ต้องเริ่มใหม่ เพราะสมาธิเรายังไม่นิ่งค่ะ พี่เลยมานั่ง
แบบเดิม แต่ทำแบบหยดน้ำนะคะ ทีละเล็กละน้อยไปแบบค่อยๆ เดี๋ยวนี้พี่กะจะให้เพิ่มขึ้นอีกห้านาที
:b10: มีปัญหาพื้นๆมาถามอีกแล้วค่ะ
:b48: ร้านที่พี่เช่าอยู่น่ะคะ หมดสัญญาแต่ด้วยความใจดำ+เอาเปรียบเราสารพัด พี่ก็ทนจนอยู่ครบ
สัญญา และพี่ก็คุยว่าจะยกเลิกสัญญา โดยพี่จะเคลียร้านให้เหมือนเดิม เค้าก็บอกจะคืนเงิน36,000-
วันที่ 12นี้พี่ลงทุนปิดร้านก่อนหมดสัญญา 15 วันขาดทุนแล้ว 50,000- แกเก็บค่าเช่าพี่ 18,000-
เงินเดือนลูกน้องอีก แต่มันจำเป็น ถ้าหักลบกับเงินประกัน เราก็ขาดทุนนิดหน่อย
พี่ก็ต้องจ่ายเงินซ่อมแซมอีก 7,000-ให้ร้านเหมือนเดิม เพื่อนๆร้านข้างเคียงเตือนพี่นะคะว่า แกไม่คืน
เงินหรอก แต่พี่อยู่มาสามปีครึ่ง คิดว่าเราจะเอาความดีชนะแกให้ได้ พี่ยอมแกทุกอย่าง พี่ซ่อมแซมร้าน
ก็ไม่ถูกใจแกสักที จนพี่บอกให้แกหาช่างซ่อมเอง แล้วหักเงินประกันไป ทำใจว่า 25,000-ก็ยอมนะ
พี่ส่งร้านคืนวันที่ 2 พอวันที่ 4 พี่โทรไปถามถึงเงินที่จะเหลือคืนเค้าบอกไม่คืน เพราะร้านเค้าเสียหาย
พี่เปิดร้านหนังสือเช่า ติดแอร์ ใช้ระบบคอมฯ แบบร้านทิซึย่าเลย ร้านจะเสียหายอะไร เพราะทุกอย่าง
ระบบน๊อคดาวหมดเลย ถอดจากร้านนี้พี่ไปติดร้านใหม่ได้เลยนะ แล้วตึกนี้เค้าเซ้งมา หมดสัญญา
มิถุนายนนี้ โดยเจ้าของจริงบอกพี่ว่า เค้าไม่ต่อสัญญาแล้ว แต่ให้เวลา 10 เดือนจะทุบสร้างคอนโด
:b48:ชื่อไม๊พอเค้าบอกพี่ว่าไม่คืนเงิน มันปี๊ดขึ้นมาทันที เวลานี้เงินทองหายากที่สุด แล้วความดีที่
พี่ทำกับแกมันหายไปไหนเนี่ย ทุกครั้งที่พี่สวดมนต์นะจะแผ่เมตตาให้แก+ลูกแกตลอดนะ
เพราะตั้งแต่
วันแรกที่พี่เปิดร้าน มีคนเดินผ่านแล้วหยุดพูดกับพี่ว่า เจ๊งแน่ แล้วพี่ก็ได้ยินความเลวร้านในครอบครัว
แกมาตลอด แต่ก็ไหว้พระ ขอความดีช่วยให้เรารอดพ้นจากพวกเค้าให้เราอยู่ครบ
:b48: ครั้งแรกพี่ดีใจนะ เพราะแกนัดคืนเงินพี่ คิดความดีที่เราทำแกต้องรู้ แถมเชื่อไม๊วันที่แกบอกไม่
คืนเงินพี่แกยังบอกว่า ถ้าพี่จะเข้ามาทำร้านเองก็ได้นะ แต่คิดค่าปรับวันละ 1,000-เพราะร้านหมดสัญญา
แล้วพี่ไม่มีสิทธิเข้า มีใครเคยเจอคนใจร้ายแบบนี้บ้าง คิดได้ยังไง ใจเค้าทำด้วยอะไร ทั้งครอบครัว
ลูกชายจบปริญญาตรีวิศวะ เกษตรศาสตร์นะคะ เปิดร้านขายตั๋วเครื่องบินอยู่ปากซอยสุขุมวิท54
พี่ขอบอกเลยเผื่อใครอยากเห็นหน้าคนพวกนี้
:b48: ถามเลยนะคะ ตอนนี้พี่ให้ลูกน้องสามีฟ้องร้อง เรียกเงินคืน เพราะเรามีสำนักงานกฏหมายเอง
พี่อยากขึ้นศาลนะ อยากประจานคนพวกนี้ให้ทนายที่เค้าเอามาสู้คดีได้รู้ถึงความเลวของคนที่ไม่มี
ศีลธรรมเลย แบบนี้ถือว่าเราผิดเรียกว่า พยาบาทได้ไม๊คะ แล้วมันจะบาปไม๊ พี่คิดนะว่าเราจะชนะ
เพราะศาลจะรู้ได้เราไม่โกง แต่เค้าตั้งใจโกงเรา พี่เครียดเรื่องนี้มาเป็นเดือนๆนะคะ
:b48: แล้วพี่ก็แจ้งอ.ย.นะเพราะแกเปิดร้านขายยาที่เน่ามากๆเลย จัดยาเอง ยาก็หมดอายุยังขายอีก
แบบนี้พี่ผิดศีลข้อไหนไม๊คะ
:b48: แล้วพี่กำลังจะไปสรรพากร เอาไปร้องว่าแกหลบภาษี แกเก็บพี่18,000- แถมพี่ต้องออกค่า
ภาษีโรงเรือนให้แกอีกปีละ5,000- คุณว่าพี่ทำเกินไปไม๊ เพราะตอนนี้พี่ไม่คุยกับพวกแกแล้ว ให้คุยกับ
ทนายแทน ในทางโลกพี่คิดว่าพี่ต้องทำเพื่อความถูกต้อง 5,6,7 ปีพี่ก็จะรอแม้เงินจะน้อย แต่พี่ต้องเอา
ชนะแกให้ได้ แกทำคนอื่นมาหลายคนแล้ว ไม่มีใครกล้าต่อสู้ พี่จะสอนให้แกรู้บ้าง
:b48: แต่ในทางธรรมพี่ทำเกินไปไม๊คะ หรือควรปล่อยวางเรื่องนี้ (แต่ทนายพี่แจ้งแกไปแล้ว :b31: )
ใจเราพยาบาทหรือเปล่า อาฆาตไม๊คะเนี่ย จะมีธรรมะข้อไหนที่พี่ทำผิดบ้างคะ
คือรู้สึกสะใจที่ได้ให้บทเรียนกับคนเลวๆน่ะคะ รบกวนช่วยแนะนำด้วย เราก็รู้สึกไม่สบายใจน่ะค่ะ :b8:


สวัสดีค่ะพี่ :b8:

การเขียนบันทึกที่น้ำบอกพี่ไปนั้น ไม่ใช่การทำสมาธิค่ะ ไม่ใช้สมาธิเลย แต่เป็นเพียงเราระบายความคิดที่เกิดขึ้นขณะนั้นๆให้เป็นตัวหนังสืออกมา มันเป็นการฝึกดูจิตอีกแบบหนึ่ง แทนที่เราจะจดจ่ออยู่กับความคิดอย่างเดียว อันนั้นเราจะเก็บรายละเอียดของความคิดได้ยาก .. แต่ถ้าเราระบายความคิดออกมาเป็นตัวหนังสือได้ เราจะเห็นจิตของเราชัดเจน ... แล้วตัวเราเองเมื่อกลับมาอ่านความคิดต่างๆที่ผ่านมา เราจะได้แง่คิด ได้เห็นความจริงบางอย่างที่เราพลาดไปในสิ่งที่ควรทำ ... :b1:


อ่านเรื่องที่พี่ถามน้ำมานะคะ น้ำอ่านแล้วร้องเฮ้ออออ .... แบบว่า แล้วแต่พี่ค่ะ ... สำหรับตัวน้ำเองเคยเจอแบบนี้เสียเงินฟรี ก็หลายอยู่ .. น่าจะสองแสนกระมังคะ .. ซื้อบ้านน่ะค่ะ .. แล้วขาดรายละเอียด เรื่องมันนานมาแล้ว .. เมื่อก่อนเพื่อนชวนซื้อบ้าน กะไว้ให้คนเช่าค่ะ .. โดนเชิดเงินดาวน์ไปสองที่ คนในหมู่บ้านเขาก็ชวนๆกันฟ้องศาล แบบล่ารายชื่อน่ะค่ะ แต่น้ำไม่ได้ร่วมกับเขา น้ำมองว่า เงินแค่นี้ ไม่ตายก็หาใหม่ได้ ฟ้องกันไปก็เท่ากัน เสียเวลาทำมาหากิน .. ก็ปล่อยค่ะ น้ำเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรมาก ใครอยากได้ให้อะไรให้เขาไป เชื่อไหมคะ แม้แต่รองเท้าหนังที่น้ำใส่อยู่ คนมาขอลอง แล้วเขาถูกใจ เขาขอ น้ำยังให้เขาเลยค่ะ คือ คิดแค่ว่า ไม่เป็นไร เรายังมีอีกหลายคู่ ไม่มีคู่นี้ เราก็ยังมีคู่อื่นๆใส่ แต่ตัวเขาสิ เขาบอกว่า หาซื้อรองเท้าที่ใส่แล้วถูกใจยากมากเลย เขาบอกว่า ใส่คู่นี้แล้วนุ่มเท้า เดินแล้วเบาสบายมากๆๆ ...ยังไม่จบนะคะ อีกวันใส่คู่ใหม่ไป เขาเจออีก ขอลองอีก พร้อมทั้งบอกว่า ทรงสวยมากๆเลย ใส่แล้วเท้าสวย ขอเอาคู่เก่ามาเปลี่ยนได้ไหม ... น้ำให้นะคะ ... อื่มม .. น้ำถามกลับว่า ถ้าเป็นพี่ .. เจอแบบนี้ พี่ถอดให้เขาเลยไหมคะ ยกให้เขาเลยไหม .. แล้วไม่ใช่ครั้งเดียว อีกครั้งพี่ก็เจอเหตุการณ์แบบเดิมอีก ...

พี่ลองถามใจตัวเองดูนะคะ พี่ทำแบบนี้ พี่รู้สึกว่า เอ่อ .. พี่สะใจ แต่สุดท้ายพี่เองก็มีความไม่สบายใจผสมอยู่ ... ให้เขาไปเถอะค่ะ เงินแค่นั้น พี่ไปทำมาหากิน พี่จะมีเงินไหลมาเทมามากกว่านี้อีก .... ทำแล้วมานั่งทุกข์ใจ .. ไม่รู้นะคะ .. สมบัติผัสกันชม เงินทองของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ เราเคยสร้างเหตุไม่ดีในอดีตมาก่อน ผลมันจึงมี ไม่มีเหตุมาก่อน ผลจะมีได้อย่างไรคะ .... เราไม่อาจจะระลึกได้ถึงเรื่องราวต่างๆได้ทั้งหมด จริงไหมคะ ... พี่กำลังพูดด้วยอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นในชั่ววูบ จริงๆแล้วพี่เป็นคนจิตดี จิตสะอาด เท่าๆที่น้ำอ่านจากที่พี่โพสๆสนทนากับคนอื่นๆไม่ใช่เฉพาะกับน้ำคนเดียว .. กฏแห่งการกระทำ ( กรรม ) มันแสดงผลเองค่ะ เราไม่ต้องไปสร้างกรรมใหม่ให้เกิดดีกว่าค่ะ การพยาบาทเหมือนยาพิษ มันจะกรัดกร่อนจิตใจเราลงไปทุกๆวัน จากคนใจดี ก็จะกลายเป็นคนใจร้าย ขาดเมตตา มันจะค่อยๆซึมเหมือนเนื้อร้าย จากก้อนเล็กๆ กลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้น โดยที่เราไม่รู้ตัว พี่ลองไปถามคนที่โรคมะเร็งดูสิคะ ว่าเขารู้ตัวก่อนที่จะเป็นหรือเปล่า ... เกิดจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครทำให้เลย ... เพียงแค่เราหมั่นดูแลใจของเราให้ดี ให้อยู่แต่ในความคิดดีๆ คอยช่วยเหลือผู้อื่น ให้เขาเอาจากเราไปดีกว่าเราไปเอาของเขามา .. เพียงแค่เราคิดว่าเราให้ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนกลับมา พี่ก็ได้ละโดยที่ไม่คิดว่าจะได้ ความอิ่มใจ ความสุขใจไงคะ เห็นเขามีความสุข เราก็อิ่มอกอิ่มใจในสิ่งที่ทำให้เขา แล้วเขามีความสุข ...

ยิ้มนะคะพี่ รอยยิ้มทำให้เราดูสดใส ดูสวยอยู่เสมอ ... ให้เวลากับตัวเองนะคะ ถอนฟ้องเถอะค่ะ ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ทำไปแล้วมานั่งทุกข์ จะทำไปเพื่ออะไรคะ แค่ .. คำว่า สะใจ คำๆเดียว มีอิทธิพลต่อใจเราได้ขนาดนั้นเลยหรือคะ .. คิดเสียว่า เสียเงินค่าซื้อความรู้ ... คราวต่อไป พี่จะได้ระมัดระวังตัวมากกว่านี้ ในการทำสัญญาเช่าซื้อ ... ก่อนจากกันกับเขา พี่ก็พูดกับเขาธรรมดาๆนี่แหละค่ะ ไม่ต้องไปว่าเขาหรือไปตะโกนใส่เขา พี่เพียงให้พรเขาค่ะ บอกเขาว่า ขอให้เขาทำมาหากินเงินทองไหลนองเทมา เขาจะได้ไม่ต้องไปสร้างกรรมกับคนอื่นๆอีก เราและเขาเคยสร้างกรรมร่วมกันมา พี่อโหสิกรรมให้ .. ทำได้ไหมคะพี่ การให้อโหสิกรรมต่อผู้อื่น ... เป็นการไม่มีเวรต่อกันและกันค่ะ คือ มันจบลงแค่ตรงนี้ ...ส่วนเขาจะทำอย่างไรอันนี้ก็เรื่องของเขาค่ะ ... รักษาใจเราไว้ดีกว่าค่ะ ..

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2009, 04:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเห็นด้วยกับคุณวไลพรนะครับ
สละส่วนเล็กเพื่อรักษาสิ่งที่ใหญ่กว่า
"สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม"

ผมเองก็โดนไปทั้งหมด 4 - 5 แสนได้
เงินเก็บของครอบครัวผมทัง้นั้น ที่เขาฝากความหวังไว้กับเรา

เรื่องแค้นเหรอ
ลองนึกถึงคำพูดหนังจีนที่ว่า "สับเป็นหมื่นๆชิ้น"
พวกหนังจีนนี่เขาใช้คำแทงใจดีนะครับ สั้นๆได้ใจความ

แต่ตอนนั้นไม่รู้จักธรรมะหรอกครับ
เราก็ดิ้นๆไป ยิ่งดิ้นยิ่งรัดตัว ยิ่งเปลืองตัว เปลืองทุกๆอย่าง
โดยเฉพาะการ "เอาคืน" "แก้แค้น" "สู้มันไม่ได้ขอสะใจสักเล็กๆน้อยๆก้ยังดี"
ตามประสาเด็กๆหัดทำธุรกิจ

นึกถึงทีไร ร่างกายมันสั่น ในหน้าอกมันเดือดพล่านๆ เหมือนน้ำมันในกะทะตอนทอดเป็ดทอดไก่
คนไทยเรานี่เก่งนะครับ รู้จักใช้คำว่า "เดือดเนื้อ ร้อนใจ" มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
มันเดือดเร่าๆไปทั่วสรรพางกาย

ไปฟ้องศาลต่างๆนาๆ สุดท้ายทนายหลอกรับประทานเงินไปวันๆ
หมากัดกันสองตัว แต่หมาต้องไปจ้าง"โค้ช"กับ"ผู้ตัดสิน" มาช่วยให้การกัดกันมันเป้นระบบ
...สุดท้ายก็ได้กัดสมใจอยากจะกัด....
กัดจนสมใจแล้ว... ก็กลับมาเลียแผลเหมือนเดิม ....
นึกว่าเรื่องจะจบ หายอยากแล้ว ไม่อยากกัดแล้ว ที่ไหนได้ยังอยากกัดอยู่
ไม่ต่างอะไรจากกัดกันเองโดยไม่ต้องพึ่งกรรมการ

ในที่สุดก็หมดจนไม่มีอะไรจะหมด ถึงได้เกิดความสะอึกขึ้นในใจว่า
"เสียไปทั้งหมดนี้ แลกกับอะไร??"
กว่าจะรู้ว่า "อย่ากัดดีกว่า" ก็ไม่เหลือแรงจะไปกัด ฟันก็ไม่เหลือ แผลก็ต้องรักษา
ข้าวไม่มีจะกินยังอยากจะไปกัด


เป็นเื่รื่องยากนะ ที่ใครจะเข้าใจ เวลาเสียเปรียบเสียหายแล้วไม่เรียกร้อง ไม่รักษาสิทธิ์ ปล่อยให้เขาเอาเปรียบ
เขานึกว่าเราเนียะไม่รู้จักรักษาสิทธิ์ ไม่รู้จักต่อสู้ เป้นพวกพ่ายแพ้

ถ้ามีคนมาทำนาบนหลังเรา แล้วเราก้ทำใจ
ปล่อยมันเถอะ อยากจะขุดอยากจะไถก็ทำไป อันนี้ปล่อยวางแบบ "ควาย" (ขออภัยที่ใช้คำนี้ ผมนึกถึงสำนวนหลวงพ่อชาอยู่)

แต่ที่ผมหมายถึงคือ ยุติเรื่องเลวร้ายนี้ซะ เอามันออกไปจากหลัง ไม่ปล่อยให้มันขุดมันไถต่อไป
เราแค่หาทางให้มันจบดีที่สุด เจ็บน้อยที่สุด
แล้วก็รักษาแผล เดินหน้าต่อไป เสียแล้วเสียไป
ไม่ใช่ว่า "ตากูบ้าง"

ถึงวันนี้ผมกลับสงสารคนที่เคยแค้นสุดๆ
คนที่เคยคิดว่าชาตินี้ไม่มีวันให้อภัยได้ก็ยังรู้สึกว่าสงสารเขา ให้อภัยเขาหมด

เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าวัฏฏสงสารนี้มันน่ากลัวขนาดไหน
และพวกเขาไม่รู้ตัวว่ากำลังเล่นกับอะไรอยู่

กับเพื่อนหลายๆคน พอพูดเรื่องพวกนี้ ส่ายหัวนะ
ยิ่งบางคนเรียนสูง self จัด คิดว่าตัวฉลาดเลยประมาท ยิ่งไม่เป้นวิทยาศาสตร์ยิ่งเมินใส่
รู้สึกกลัวแทนพวกเขาอย่างมาก


สดๆร้อนๆ ผมเพิ่งกลับจากเที่ยวกลางคืน
ก็แค่คาราโอเกะโรงแรมมีเกรดนะ ไม่ได้เถื่อนอะไร
ผมไม่กินเหล้ากินแต่น้ำส้มกาแฟ แซวแล้วแซวอีกว่าเป้นนางเอกกินน้ำส้มบ้าง ล้าสมัยบ้าง
กลายเป้นว่าคนถือศีลเป้นของแปลกของชาวโลก
แต่นางเอกน้ำส้มนี่แหละ นั่งดูคนดีๆ ค่ิอยๆกลายเป็นอย่างอื่นในร่างมนุษย์
จิตคนเมานี่ไม่ทราบว่าภพอะไรนะ แต่ที่แน่ๆ ต่ำกว่ามนุษย์

ต่อมาเมาแล้วก็พากันไปต่อ เราก้เอออไป
ใจนึงก็กะว่า ไหนๆเขาก็เมากันหมด เหลือตาใสอยู่คนเดียว ไปช่วยดุเขาหน่อย
จะดูแลพวกเมาๆนี่ สงสารเขา โดนฉก โดนขโมย อะไรต่อมิอะไรจะได้ช่วยดูได้

มีอยู่คนนึง ไปติดเด็ก ดูแล้วไม่น่าวางใจ เด็กผู้ชายเถื่อนๆหน่อย
แล้วก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะยังมีชีวิตหรือเปล่านะ โชคดีหน่อยคงแค่ปลดทรัพย์
โชคร้ายหน่อยก็อาจจะเสียชีวิตเพราะเมาทั้งคนขับและคนโดยสาร
โชคร้ายที่สุดเป้นติดเอดส์ค่อยๆตาย

ผมก็กังวลนะ ทุกอย่างที่ควรทำก้ทำแล้ว ก็ต้องอุเบกขา
รู้สึกขนลุกว่าเขาล้อเล่นกับชีวิตในวัฏฏะสงสารกันอย่างนี้
เหตุมันเริ่มมาจากความอยากเล็กๆน้อยๆแค่นั้นเอง เล็กๆน้อยๆจริงๆ
แล้วค่อยๆพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

แอบพูดธรรมะใส่ทีไรก้แสบร้อนนะ พูดลำบากมาก
ฟังก็ฟังแบบเพื่อนกันเกรงใจ เลยฟังนิดๆหน่อยๆ
แนะของดีให้ เอาเพชรน้ำเอกให้ ก็มองไม่เห็นค่านะ มองเป้นกรวดไป
เรา"ปารถนาจะมอบสิ่งดีๆให้"เขานะ แต่เขาไม่รับ ก้"ต้องวางอุเบกขา"

ใครจะไปรู้ว่า "อยากมีความสุข"
"แค่อยากสะใจเล็กๆ"
มันจะทำให้เราล้อเล่นกับชีวิตในวัฏฏะสงสารได้ขนาดนี้

"อยาก" ใน "ทางร้าย" ไม่ต้องพูดถึง พวกโจร พวกคนเลวๆ เราไม่ต้องพูดถึง
ที่น่าคิดคือ "อยากในการทำดี" ก็มีผลเป็น "ร้าย" เหมือนกัน
ขึ้นชื่อว่า "อยาก" อันตรายทังนั้น


คนคิดไม่ทัน นึกว่าการเมตตาทำแล้วไม่มีพิษภัย
คิดว่า "อยากในความดี" แ้ลวไม่มีโทษ
ชาวนาช่วยงูเห่าไม่ให้แข็งตาย สุดท้ายงูกัดชาวนาตาย
"เมตตา" ไม่ถูกที่ อันตรายนะครับ
ขึ้นชื่อว่า "อยาก" อันตรายทังนั้น

พระท่านถึงให้มี "ศีล สมาธิ ปัญญา" เอามาแก้" ความอยาก"
เพราะสามสิ่งนี้เป็นเครื่องจะ"รักษา"จิต
ทั้ง"อารักษา"ไม่ให้ตกลงไปในที่ต่ำ และ"พัฒนา"ให้ชูช่อเบ่งบานขึ้นที่สูงกว่าเดิม


อย่าไปอยากแก้แค้นนะครับ "อยาก" มัน"พัฒนาการ"ไปได้ไร้ขีดจำกัด
เราคาดไม่ถึงหรอก จนถึงจุดนึงแล้วเอาไม่อยู่
แบบพี่เบิร์ดว่า .. "กลับตัวก็ไม่ได้ ให้ไปต่อไปก็ไปไม่ถึง"



:b8:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2009, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ย้ายไปตั้งกระทู้ใหม่ค่ะ ข้อถูกโกงแก้วิธีนี้ได้ไม๊ ช่วยแนะนำนะคะ :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2009, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องเอากรรมมาเป็นที่ตั้งครับ....จึงจะทำใจได้ง่ายหน่อย แต่ความจริงมันเป็นเรื่องของกรรมจริงๆครับ เขามาทวงก็ให้เขาไปครับอย่าไปเสียดาย เราเอาของเขามาแล้วยังไม่ได้ใช้เขา ถึงเวลาที่เรามีจะใช้ให้เขาก็มาทวง พอหมดหนี้ทีนี้ก็ไม่มีใครมาทวงแล้ว มีแต่มาขอ...เราก็ให้อีกนั่นแหละ เพราะเก็บไว้หวงไว้ก็เอาไปด้วยไม่ได้ นิดเดียวก็เอาไปไม่ได้ :b13: :b13:

แล้วไอ้เรื่องทำนองนี้กระผมเองก็เคยโดนนะครับ หนักกว่าท่านคามินหน่อยนึงตรงที่เป็นเงินที่ไปกู้มาทั้งนั้นเลย...แค่ส่งดอกก็เหนื่อยแล้วครับ (กู้มาให้เขาโกง)

เดี๋ยวจะมาบอกว่าไม่เจอกับตัวก็ไม่รู้สึก.... :b1:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 128 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร