วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 00:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 10:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 09:31
โพสต์: 292

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอความกรุณาถามถึงเรื่องการพิจารณาขันธ์ 5 ขอคำอธิบายและวิธีการพิจารณาแบบละเอียดหน่อยนะคะ
เคยได้อ่านไปบ้างแบบผ่านๆตาค่ะ พอตั้งใจจะพิจารณากลับหาไม่เจอแล้ว รบกวนสอบถามท่านผู้รู้ช่วยอธิบายด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ร่างการเรา แบ่งเป็น ๒ ส่วนง่ายๆ คือ กาย กับ ใจ แบ่งเป็น ๕ ส่วนโดยละเอียด คือ ร่างการส่วนที่เป็นเนื้อหนังมังสา (รูปขันธ์) ประกอบด้วยความรู้สึก (เวทนาขันธ์) ความจำ (สัญญาขันธ์) ความคิด (สังขารขันธ์) และความรู้ (วิญญาณขันธ์)

เมื่อเรารับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และเอาไปคิดต่อ ผลที่ออกมาก็คือ เกิดความรู้สึกตอบสนอง เป็นพอใจ ไม่พอใจ และหลง จากนั้นจิตก็จะเก็บไว้เป็นความจำ จากความจำที่สะสมเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะถูกพัฒนาเป็นความคิด และในที่สุด ก็จะมาเป็นความรู้ หรือเป็นนิสัย กลับมาสั่งตัวเราในที่สุด (เป็นการเกิดของกองทุกข์หรือกองอวิชชา)

การพิจารณาขันธ์ ๕ เพื่อดับทุกข์นั้น ต้องดับก่อนที่จะเกิดเป็นเวทนา เพราะเราสั่งให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หยุดทำงานไม่รับรู้ไม่คิดอะไรไม่ได้ ต่อเมื่อมันรับรูปแล้ว ให้พิจารณาสิ่งที่เข้ามากระทบสัมผัสตอนนั้นตามธรรมชาติที่มันเป็น ว่า มันมีลักษณะไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป หากพิจารณาทันทั้ง ๖ ทาง เวทนาก็จะไม่สามารถเกิดได้ เมื่อเวทนาไม่เกิด ตัณหา อุปทาน อวิชชาก็จะไม่เกิด

แต่เนื่องจากเรารับรู้ตลอดเวลา คิดตลอดเวลา จึงต้องพิจารณาเป็นประจำ หรือทำตลอดเป็นปกติในชีวิตประจำวัน นอกจากพิจารณาสิ่งที่เข้ามากระทบสัมผัสเพื่อดับเวทนาแล้ว ปกติให้ย้อนพิจรณาร่างกายเรา ว่า รูปขันธ์นี้ก็ไม่เที่ยง หนุ่ม แก่ เดี๋ยวก็ต้องตาย (ยังไม่ย้องแยกเป็นอวัยวะหรือโสโครก ๓๒ ให้พิจารณารวมๆ) ถ้าเกิดเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ก็พิจารณาว่าความทุกข์ ความพอใจ ไม่พอใจที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ไม่เที่ยง เกิดไปคิดนึกอดีตสัญญาอะไรขึ้นมา ก็ให้พิจารณาว่า ความนึกคิดนั้นก็ไม่เที่ยง

คำว่า ไม่เที่ยง จึงสามารถ ดับ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณได้ ด้วยประการเช่นนี้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 22 มิ.ย. 2010, 08:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านประสบการณ์ของหลายท่านแล้ว ถ้าไม่เล่าตอบแทนบ้างก็จะติดหนี้เกินไปประสบการณ์ในการพิจารณาขันธ์ 5 ของผมมีไม่มากหรอกครับแล้วก็ไม่เชิงว่า จะเป็นการพิจารณาขันธ์ 5 ด้วยซ้ำไป
คล้ายกับว่าจะทำสิ่งหนึ่ง แล้วมีการพิจารณาขันธ์ 5 เป็นทางผ่านเท่านั้น

คือเมื่อต้นปี 2525 ผมได้ไปกราบหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้ดูจิตกลับมากรุงเทพแล้วเกิดสงสัยมากว่า
จิตคืออะไร อยู่ที่ไหน จะเอาอะไรไปดูแล้วนึกขึ้นได้ว่าจิตคงอยู่ในขันธ์ 5 นี้เอง
จึงทำความสงบด้วยการบริกรรมพุทโธ + ลมหายใจพอสงบดีแล้วจึงเที่ยวพิจารณาหาจิตในร่างกายนี้
เริ่มแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปตามลำดับก็เห็นร่างกายทุกส่วนเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา
และไม่ใช่จิตจิตไม่มีอยู่ในส่วนของรูปกายนี้
ต่อมาพิจารณา เวทนา สัญญา และจิตสังขาร ไปตามลำดับในที่สุดก็จับได้ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จิต
จิตคือผู้รู้ ผู้ดู และบางทีก็เป็นผู้หลงด้วยจากนั้นก็เฝ้าสังเกตการณ์ เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมของจิตเรื่อย ๆ
มาจิตเข้าไปยึดขันธ์ก็รู้ ไม่ยึดก็รู้ จนจิตกับขันธ์ต่างคนต่างอยู่ไปชั่วขณะหนึ่ง

ผมเคยสงสัยว่า พระป่าส่วนมากท่านเน้นให้พิจารณากายผมเองกลับไม่ค่อยได้พิจารณากาย
จะใช้ได้หรือเปล่าก็ไม่ทราบเมื่อไปถามหลวงปู่ดูลย์ ท่านกลับบอกว่ากายเป็นของทิ้ง
เมื่อจิตทิ้งแล้วจะกลับไปเอามาทำไมอีก ผมจึงฝึกหัดด้วยการเฝ้ารู้พฤติกรรมของจิตเรื่อยมา
แล้วก็พบว่า การรู้อยู่ที่จิตนั้น ทำให้เรารู้ขันธ์ 5 ด้วยโดยอัตโนมัติเหมือนคนที่ขายลูกโป่งสวรรค์
เขากำเส้นเชือกไว้ด้วยกันด้วยมือข้างเดียวไม่ต้องมี 5 มือเพื่อถือลูกโป่ง 5 ลูก
ที่แปลกคือเมื่อเฝ้ารู้อยู่ที่จิตเท่านั้น ก็พบว่า จริง ๆ แล้วจิตเองราวกับเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้
เมื่อปล่อยวางขันธ์หยาบไปแล้ว ยังมีขันธ์ละเอียด ที่พร้อมจะงอกเป็นขันธ์หยาบ อยู่ในจิตอย่างบริบูรณ์หรือจะเปรียบว่า ในกำมือยังมีเชือกอยู่ 5 เส้นถ้ามองตามเส้นเชือกออกไปก็จะพบลูกโป่งทั้ง 5 ใบ
แต่ถ้ามองที่มือก็ไม่เห็นลูกโป่ง คิดว่าลูกโป่งไม่มีแล้วแท้ที่จริง มือยังไม่ปล่อยลูกโป่งทิ้งจริง ๆ
เพียงแต่มันไม่จับลูกโป่งให้เห็นจริง ๆ เท่านั้นอันนี้คืออุปมาว่า เราพิจารณาวางขันธ์แล้ว แต่ยังยึดถือจิตอยู่ว่าเป็นตัวเราไม่ช้า ขันธ์ก็จะงอกออกมาจากจิตอีกถ้าต้องการพ้นความเกิดให้เด็ดขาด
จึงมีทางเดียวเท่านั้นได้แก่การทำลายจิต หรือทำลายความยึดถือจิตว่าเป็นเรา นั่นเอง

เมื่อพิจารณาเห็นเช่นนั้น ผมทำความสงบมากขึ้นเพื่อสะสมกำลังแล้วย้อนเข้าพิจารณาจิตที่ว่างเปล่าผ่องใสอีกคราวหนึ่งก็ไม่สามารถทำลายเชื้อพันธุ์ของขันธ์ 5 ในจิตได้จนวันหนึ่งก็เกิดความเฉลียวใจขึ้นว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีใครทำจิตให้หลุดพ้นจากอุปาทานขันธ์ได้หรอก มีแต่จิตเขาหลุดพ้นของเขาเอง เพราะจิตเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใครตอนนั้นเอง จิตก็พลิกตัวออกไปอีกระนาบหนึ่งก้อนเบญจขันธ์ที่ประชุมกันอยู่ที่หทยวัตถุแตกกระจายออกจากกันจิตเข้าถึงความดับสั้น ๆ แล้วเกิดความเบิกบานของจิตที่ไม่เกาะเกี่ยวในขันธ์อยู่ประมาณ 7 วัน

ตรงนี้ได้ความรู้ว่า แม้จะพิจารณาจนปล่อยวางขันธ์ภายนอกแล้วยังต้องมาทำลายขันธ์ใน คือเชื้อพันธุ์ในจิตใจอีกทีหนึ่งมิฉะนั้นมันก็จะกลับงอกงามออกมาอีกไม่สิ้นสุดพาก่อเกิดไปได้เรื่อย ๆ เมื่อขันธ์หยาบนี้แตกดับตายลง
อีกคราวหนึ่งไปนั่งภาวนาที่วัดสนามในจิตรวมลงถึงฐานที่ว่างเปล่า หมดความคิดนึกจิตก็มอง/ระลึกรู้ความว่างเปล่านั้นอยู่ แล้วเห็นกระแสความคิดผุดขึ้นจากความว่างเปล่า ถัดจากนั้น เกิดแสงสว่างของมโนวิญญาณแผ่ขึ้นปิดบังความว่าง พอแสงนั้นกระทบเข้ากับรูป รูปก็ปรากฏ กระทบเข้ากับนาม
นามก็ปรากฏเหมือนการเปิดสวิทซ์ของขันธ์ 5 นั่นเอง ก็เลยรู้ว่า นามนั่นแหละเป็นปัจจัยของรูป และรูปก็เป็นปัจจัยของนาม ต่างก็เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน หาเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้
สังสารวัฏจึงหาที่สุดไม่ได้
ผมเขียนตอบกระทู้นี้ แล้วลังเลใจว่าควรโพสต์หรือไม่ เพราะมันเข้าใจยาก แต่คุณดังตฤณ เห็นว่าควรจะโพสต์ไว้ ก็เลยส่งมาฝากพวกเราไว้อ่านกันเล่นๆ ครับ
โดยคุณ :สันตินันท์ - [16 เม.ย. 2542 20:40:48]

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่ากันด้วยข้อธรรมเกี่ยวกับขันธ์ 5 เราต้องไม่มองเป็นภาพแบนสองมิติ ต้องให้เกิดเป็นสามมิติ
มีจริง ของจริง ที่ปรากฏเป็น "ตัวเรา" ในปัจจุบันนี่เลย เพราะฉะนั้นต้องสร้างจิตแบบนักปฏิบัติขึ้นมา
ไม่ใช่สักแต่เอาแค่จิตของนักวิชาการ
เพราะเรามีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือดับกิเลส เนื่องจากเห็นแล้วว่ากิเลสนี้เองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทุกข์
เป็นตัวบดบังปัญญา และ (ถ้าเชื่อได้ก็คือ) เป็นตัวพาไปเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อาจกระทั่งพาไปเป็นนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ที่สำคัญว่าตนรู้ ๆ ๆ เกี่ยวกับเรื่องชีวิตจิตใจดีมาก

เรื่องทานกับศีลนั้นเป็นตัวประพรมความชุ่มชื่นให้กับจิตใจอย่างดี ถ้ามองว่าไม่เกี่ยวกับขันธ์ 5
ก็ถูกในแง่ของสัมพันธภาพทางตรรกะ แต่ความจริงก็คือเกี่ยวนะครับ เพราะถ้าเล็งไปในแนวของนักปฏิบัติ หากจิตไม่มีพื้น ไม่มีตัวอุ้มประคองสมาธิเช่นทานและศีล ก็จะไม่เกิดตัวรู้ขันธ์ 5 ขึ้นได้เลย
อย่างมากทำได้อย่างมนุษย์ทั่วไปที่คิด จำ และเข้าใจข้อธรรมเรื่องขันธ์ 5 เท่านั้น

สมาธิเกี่ยวข้องกับขันธ์ 5 อย่างไร ขอยกตัวอย่างจากแนวการปฏิบัติจริง
เมื่อนั่งลงทำสมาธิ ก่อนอื่นผมสำรวจจิตใจก่อนว่าอยู่ในภาวะสบาย ปลอดโปร่ง
หมดห่วงหมดพะวงหรือยัง เมื่อเห็นว่าพร้อม จึงปิดตาลงโดยไม่ให้ความสบายใจนั้นเคลื่อนไป
แล้วเห็นกายนั่งหลังตรงของตัวเอง (เห็นแค่ไหนเอาแค่นั้น ขอให้รู้ว่ามีหลังตรงอยู่ ไม่เอนงอ
ไม่เคร่งเครียดเป็นใช้ได้)

จากนั้นเริ่มหายใจเข้าโดยการขยายหน้าท้องออกนิดหนึ่งเพื่อดึงลมให้ได้เป็นสายยาวตามความเคยชิน อันนี้เมื่อเริ่มฝึกเคยเครียดเพราะความไม่ชิน แต่พอชินแล้วก็รู้สึกสบายกับลมหายใจที่ยาวนั้น
จิตตั้งเป็นกลาง ๆ ในตำแหน่งที่เห็นสายลมหายใจได้ทั้งสาย สังเกตได้จากที่ตาเหลือบลง
และไม่กลอกวอกแว่ก (ถ้ากลอกตาแปลว่าวิ่งตามหัวลม ซึ่งแล่นไปเรื่อยวกเข้าวกออก)
ณ จุดนั้นถ้าจิตมีกำลัง ก็เห็นสายลมหายใจชัด เกิดความสงบสงัดทันที แต่โดยมากขณะอยู่ในเมือง เผชิญเหตุการณ์ดีร้ายในชีวิตประจำวัน ก็มักมีธรรมชาติของจิตที่เก็บเรื่องราวต่าง ๆ มาคิด
หรือดูเหมือนความคิดถึงเรื่องราวนั้นผุดขึ้นเองในหัว

ในช่วงเริ่มทำสมาธิลมหายใจใหม่ ๆ ผมจะพยายามเอาชนะความคิดฟุ้งซ่านด้วยการเพ่งบังคับให้ความคิดดับไป เอาใจมาเพ่งลมหายใจต่อ ซึ่งมีผลเสียหลัก ๆ สองอย่างคือ
1) เกิดความเครียด: เพราะความฟุ้งซ่านเป็นเกลอเก่า ย่อมมาเยี่ยมบ่อย
พอเพ่งกำจัดหนัก ๆ ถี่ ๆ เข้าก็เครียดเป็นธรรมดา ความเครียดเป็นอุปสรรค
เป็นกำแพงบังไม่ให้เห็นลมหายใจอย่างดีที่สุด
2) ไม่ได้เห็นขันธ์ 5: อันนี้เป็นผลเสียทางมุมมองของผู้ปฏิบัติ แทนที่จะเอาช่วงปิดตา
ซึ่งเห็นความปรุงแต่งในใจได้ง่ายมาดูขันธ์ 5 เบื้องต้น กลับปล่อยโอกาสทองเสีย
ในปัจจุบันเมื่อเกิดความฟุ้งซ่าน ระงับไม่อยู่ เห็นลมหายใจไม่ถนัด
*** ผมดูกระแสความคิดที่ผุดขึ้นตรง ๆ และเห็นเป็นเรื่องธรรมดาที่มันต้องเกิดขึ้นอย่างนั้น ***
พอความรู้สึก "ธรรมดา ๆ " มันประกอบจิต จิตก็ไม่เครียด พร้อมที่จะเห็นอะไรก็ได้ที่ปรากฏขึ้นในขณะนั้น หน้าที่ที่เหลือคือจับให้ได้ว่าความคิดมันเกิดเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อไหร่
รู้ให้ได้ว่าเราคิดถึงเรื่องอะไร (ปกติสังเกตเถอะครับ ไม่รู้หรอกว่ากำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไร)
พอเรื่องนั้นอยู่ในหัว ก็บอกตัวเองว่านี่นะ เรื่องนี้กำลังอยู่ในหัว แล้วสังเกตว่าเรื่องนั้นหายไปเมื่อไหร่
เอาเฉพาะเรื่องนั้น รู้ให้ทันนะครับว่าเรื่องนั้นหายไป
พอเรื่องนั้นหายไป จะมีความคิดระลอกใหม่ผุดขึ้นมาแทน ซึ่งอาจเป็นเรื่องเก่าวกวนเป็นพายเรือในอ่าง หรืออาจเป็นเรื่องใหม่ไม่ซ้ำคลื่นความคิดระลอกเดิม ที่ตรงนั้นให้ขยับมาเปรียบเทียบ
ว่าระหว่างสองความคิดนั้น
*** ให้ความรู้สึกอย่างไร วัดเอาจากความพอใจหรือขัดเคืองใจ ***
ที่ตรงนี้เราได้ "สติ" ครับ ยังไม่ได้ความรู้อะไรเกี่ยวกับขันธ์ 5 หรอก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเพ่งเฉพาะความเกิดขึ้น แล้วดับไปของความคิด
*** ผลที่ตามมาคือใจจะไม่ยึดความคิด ***
คือไม่ปรุงแต่งต่อ ไม่เทใจไหลไปกับกระแสความคิด เพราะสร้างความแตกแยกไว้แล้วระหว่างกระแสความคิดที่ผุดเอง กับตัวสติที่พยายามก่อขึ้นมา

ที่ความไม่ยึดติดกับความคิด จะเริ่มเห็นความคิดเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง
เป็นของสมมุติที่ทยอยระลอกมาเรื่อย ๆ เหมือนสายน้ำ เราไม่ตามสายน้ำไป
เราเป็นเสากลางน้ำที่ปักลงแล้วกับพื้น อยู่นิ่งกับที่ กระทั่งจิตอยู่ในสภาพพร้อมที่จะดูลมหายใจเป็นเรื่องเป็นราวต่อเนื่อง ถ้าเห็นลมหายใจได้ต่อเนื่อง ก็รักษาไว้ให้ได้ดุล ไม่เอียงซ้ายเอียงขวา ไม่คว่ำไปข้างหน้า ไม่หงายไปข้างหลัง ในที่สุดจะเกิดความรู้สึกว่าง สว่าง สดชื่นขึ้นได้

ที่ความทรงนิ่งตรงจุดนั้น เป็นศักยภาพที่จะพัฒนาต่อเป็น "ตัวรู้" ได้แล้วครับ
ขอให้ถือเอาตอนที่กายเหนื่อย คือดึงลมหายใจจนล้า ซึ่งระยะเวลาล้าของแต่ละคนจะแตกต่างกัน
มือใหม่ก็ภายในสอง-สามนาที มือเก๋าก็อาจเป็นชั่วโมง จุดสำคัญคือ
*** เมื่อกายล้า แทนที่จะลืมตาลุกขึ้นเลิกสมาธิ ให้คิดสบาย ๆ ว่าจะต่อเวลา ยืดอายุการทำสมาธิ
โดยดึงความรู้เข้ามาที่จุดเริ่มต้นของความรู้ อันได้แก่ความสว่างนิ่ง ทรงตัว ปักหลักอยู่ ***
ถ้าลองจะเห็นนะครับว่าทำได้ แต่ถ้าไปไม่ถึงจุดนั้น จะดูเหมือนไม่เป็นที่เข้าใจ เป็นสิ่งน่าสับสน ทั้งที่แท้ก็ตัวจิตตัวใจที่ถูกเลี้ยงตัวด้วยอารมณ์สมาธิเช่นลมหายใจนี่เอง

ในความนิ่งว่าง สว่างรู้ จะเห็นว่าเมื่อ "ตั้งใจ" ว่าจะดูความคิดที่ผุดขึ้น จะเห็นเหมือนอะไรบินโฉบเข้ามาอย่างชัดเจน และไม่เกาะติด ไม่ปะปนกับตัวรู้ ตัวสว่าง มันบินโฉบมาแล้วแฉลบเลยไป อันนี้เป็นความสามารถทางจิตที่เพิ่มขึ้นจากสภาพรู้คิดธรรมดา ตอนนึก ๆ คิด ๆ จะเห็นหน้าตาความคิดอย่างนี้ไม่ได้
นี่เรียกว่ารู้ก่อนคิด
ปกติจะคิดแล้วไม่รู้ หรืออย่างดีคือคิดแล้วจึงรู้ ซึ่งแบบนั้นเป็นช่องให้โมหะเข้าแทรกเต็มหัวใจ ทุกลมหายใจ จิตใจไม่พ้นกิเลสไปได้
ลำพังเห็นแค่ความคิดโฉบมาแล้วแฉลบเลยไป ก็ได้ชื่อว่าสัมผัสสภาวธรรม สัมผัสไตรลักษณ์
รู้สึกแล้วว่าตัวตนแผ่วบางลง อุปาทานบางลง กล่าวอีกนัยหนึ่ง เข้าทางธรรมชาติการปล่อยวางแล้ว
เหตุเพราะเมื่อความคิดดับไป ก็ยังเหลือตัวรู้อันเดิม ที่รู้สึกว่างจากอุปาทานไปชั่วครู่
และตัวรู้นั้นเองจะพัฒนาขึ้นเป็นกระแสรู้ เป็นดวงความตื่นเต็ม เห็นรูปและนามชัดขึ้นเรื่อย ๆ
ตามนัยของไตรลักษณ์
*** เพราะเพ่งจับผิดมาแต่แรกว่าสิ่งที่เห็นทางจิตทั้งหมดเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง ไม่ทน จึงไม่ใช่ตัวตน ***

อย่างไรก็ตาม ถ้าจับข้อธรรมว่าด้วยขันธ์ 5 มาประยุกต์อย่างเต็มที่ จะเกิดความเห็นชัดลึกซึ้ง
ละเอียดลออ และเร่งให้อุปาทานจางตัวลงได้รวบรัดรวดเร็วกว่านั้นอีก
คือเมื่อจิตเหมือนรวมดวง ตื่นเต็มจากศูนย์กลางความรู้ภายใน เหมือนสว่างกว้างไปโดยรอบ
คล้ายมีอีกตัวตนหนึ่งเฝ้ารู้ เฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า จะแยกชัดเป็นชั้น ๆ ด้วยความสามารถของจิตระดับนั้น เช่น

1) เมื่อรู้ตัว เห็นว่ามีตัวกายที่นั่งสมาธิหลังตรงอยู่ อาจเห็นตลอดนับแต่ส่วนกะโหลก คอ ไหล่ ซี่โครง ไปจนถึงหน้าตักและปลายเท้า นับเฉพาะตรงนั้นเป็น "รูป" ในขันธ์ 5 (รู้แค่ไหนเอาแค่นั้น จะเห็นว่าถ้านึก ๆ คิด ๆ ธรรมดาจะเห็นตลอดกายอย่างนี้ไม่ได้ ความรู้สึกว่าเป็น "รูป" ในขันธ์ 5 จึงไม่เกิดในความคิดธรรมดา)

2) สิ่งที่ปรากฏเด่นในรูปที่ตั้งอยู่นั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่ความคิด ***
แต่เป็นความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ
*** หากสังเกตจะทราบว่าแม้ความคิดแปรไป ความรู้สึกชอบ-ไม่ชอบ สุข-ทุกข์ สบาย-อึดอัด
ก็ยังคงเกาะหนึบประกบจิตใจอยู่ (โดยมากในภาวะรู้ จะค่อนมาทางละเอียด คือชอบมากกว่าชัง
แต่ถ้าตามนาน ๆ ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงจากบวกเป็นลบได้เหมือนกัน ต่อหน้าต่อตาภาวะรู้นิ่ง
รู้เป็นกลางอย่างนั้น) อันนี้เรียกว่าเป็นส่วนของ "เวทนา" ในขันธ์ 5 จะเห็นว่าในภาวะรู้ ทั้ง "รูป" และ "เวทนา" สามารถปรากฏได้พร้อมกัน และดูแยกกันเป็นต่างหากได้จริง ๆ
ตราบใดศูนย์กลาง คือตัวรู้ไม่เคลื่อน ก็จะเห็นแยกกันเป็นชั้น ๆ ได้อย่างนั้น

3) เมื่อเห็นความคิดผุดขึ้นชัดเจน เล็งรู้แยกแยะให้เห็นว่าตัวรู้ก็ทรงนิ่งเป็นกลางอย่างนั้น ความคิดผุดกระทบใจก็เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง สักแต่เกิดขึ้นมาอย่างนั้น ***
ที่รู้ว่าคิดเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ ก็เพราะขันธ์ส่วน "สัญญา" นั่นเอง เมื่อความคิดใดปรากฏขึ้น
จะมีมโนภาพในเนื้อหาของความคิดนั้นกระทบใจเสมอ ส่วนของสัญญานี้ เมื่อเห็นครั้งแรกจะคล้ายกำลังฝันไป คือลักษณะของฝันนี่อยู่ ๆ อะไรก็ผุดขึ้นได้ ผุดขึ้นมาก็เกิดกำหนดหมายว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเลือนไป แผ่วหายไปโดยปราศจากสติรู้สึกตัว ตรงนี้สัญญาก็ปรากฏขึ้นพร้อมความคิด
เป็นเนื้อเดียวกับความคิด แล้วแผ่วหายไป เพราะเป็นอนัตตา ต่างจากฝันคือเรามีสติรู้ มีสัมปชัญญะตามอยู่ตลอดถึงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปนั้น

4) เมื่อจิตหมายรู้สิ่งกระทบ จะมีการปรุงแต่งที่เรียกว่า "เจตนา" เกิดขึ้น
อาจแบ่งเป็นเจตนาที่นำด้วยอัตตา (ตั้งใจคิดอย่างเป็นระเบียบด้วยสติ)
และเจตนาที่ไม่นำด้วยอัตตา (ฟุ้งซ่าน เหม่อ) อันนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งที่จะเห็นเป็นคราวแรก ว่า "เจตนา" นั้นเกิดขึ้นตามประกบจิตเป็นเงาอยู่จริง ๆ โดยนัยละเอียดอ่อนที่สุดคือเจตนาจะรั้งสัญญาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้ด้วยความชอบใจ สังเกตจะเห็นว่าเมื่อเป็นสุขเรื่องใด จะอิ่มใจกับการจดจ่อถึงเรื่องนั้น
หรือเป็นตรงข้ามคือรั้งสัญญาไว้ด้วยโทสะ สังเกตจะเห็นว่าเมื่อเป็นทุกข์ ขัดเคืองเรื่องใด จะหมกมุ่นอยู่กับตรงนั้นด้วยความคับแค้น อยากทำลายต้นเหตุความคับแค้นแน่นอกนั้น อันนี้เป็นส่วนของ "สังขาร" ในขันธ์ 5 นั่นเอง สังขารนี้เป็นตัวชี้ว่าจิตขณะนั้นถูกปรุงให้เป็นกุศลหรืออกุศล ถ้ารู้สึกตัวว่าหัวคิ้วขมวดมุ่น หน้าดำคร่ำเครียด เหมือนมืดออกมาจากข้างใน ก็เข้าทางอกุศลแล้ว หากเป็นตรงข้ามก็เข้าทางสว่าง

5) พอเห็นได้ว่าเวทนา สัญญา สังขาร ผุดขึ้นของมันโดยไม่มีใครบังคับได้ว่าขออย่าให้ผุดขึ้น และดับไปของมันโดยไม่มีใครบังคับได้ว่าขออย่าให้ดับไป มีตัวรู้เฝ้าดูโดยปราศจากการบังคับบัญชา สิ่งที่เหลือหลังเวทนา สัญญา สังขาร ก็คือตัวรู้ที่ว่างจากอุปาทานนั่นเอง ตัวรู้ชนิดเดียวกันนี้เองที่เคยรู้อารมร์ทางอายตนะหยาบ เคยแปรสภาพเป็นการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การได้ลิ้มรส และการได้สัมผัสแตะต้อง นี่คือการย้อนเห็นเข้ามาที่จุดเริ่มต้นของทั้งหลายทั้งปวง คือส่วนของ "วิญญาณ" ในขันธ์ 5

หากจิตรู้นิ่ง เต็มแสง เต็มความสว่าง รวมดวงเป็นอุปจารสมาธิ เห็นขันธ์ 5 เป็นของกลวง ของว่างจากตัวตน ต้องเคลื่อนไหว ต้องแปรไปเป็นระลอก ๆ ไม่เกิดการจับยึดระลอกใดเป็นตัวตน ทุกสิ่งจะใสไปหมด อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่าขันธ์ 5 เป็นแสงของจิตนั้น นับว่าอัศจรรย์มาก ถ้าฟังผิว ๆ คิดเทียบกับทางปริยัติแล้วไม่เจอหลักอ้างอิงตรงนี้ ก็จะมองผ่าน แต่ถ้ามีประสบการณ์ตรง เห็นขันธ์ 5 อย่างชัดเจนแล้ว จะพบว่าจิตของครูบาอาจารย์ท่านต้องสูงมากทีเดียวถึงพูดได้อย่างนี้

ว่ามาทั้งหมดนี่แค่ขณะทำสมาธิหลับตา พอลืมตาก็ลืมขันธ์ 5 ครับ เดินไปไหนมาไหนก็มีฉันเดินไปอยู่ทุกฝีก้าวนั่นแหละ แทนที่จะเห็นตัวรู้ต้องตามอสุภะ ตามกระดูกฉาบเนื้อหนักอึ้งร่อนไปร่อนมาอย่างไร้แก่นสาร กายเกิดมาก็ไม่เป็นที่รู้ วันกายแตกดับก็ไม่เป็นที่รู้ เพราะเกิดความชินคืออาการเหม่อ ห่อหุ้มจิตไว้ หลอกหลอนจิตอยู่นั่นเองว่านี่ตัวตน นี่ตัวฉัน

เพราะฉะนั้นพระท่านถึงให้เดินจงกรม รู้จักกำหนดสติทุกฝีก้าว ทีละย่างทีละเหยียบ รู้เข้ามาครอบ ๆ กาย ใช้ตัวรู้อันเดียวกับที่ได้ในสมาธิหลับตานั่นแหละเป็นแกน จึงจะเห็นขันธ์ 5 ในชีวิตประจำวันได้จริง ๆ
ครบถ้วนจริง ๆ ไม่ละเมออยู่ในฝันของสังสารวัฏเหมือนอย่างเคย

สรุป- ไม่มีตัวรู้ก็ดูขันธ์ 5 อันเป็นของจริงในปัจจุบันไม่ได้- สิ่งที่ต้องรักษาไว้ก็คือตัวรู้ ตัวดูขันธ์ 5 นี่เอง จะเกิดวิปัสสนาญาณตามลำดับขั้น ขอให้สักแต่รู้ไปเรื่อย ไม่ว่าจะมีเงาของขันธ์ 5 ใด ๆ เกิดขึ้น
คอยระวังไม่ให้อุปาทานมากินใจไปได้
จากคุณ :ดังตฤณ (ดังตฤณ) - [วันเนา (14) 11:23:51]

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปริตา เขียน:
ขอความกรุณาถามถึงเรื่องการพิจารณาขันธ์ 5 ขอคำอธิบายและวิธีการพิจารณาแบบละเอียดหน่อยนะคะ
เคยได้อ่านไปบ้างแบบผ่านๆตาค่ะ พอตั้งใจจะพิจารณากลับหาไม่เจอแล้ว รบกวนสอบถามท่านผู้รู้ช่วยอธิบายด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ


สาธุ ในกุศลเจตนา ที่ตั้งใจขึ้นเพื่อประกอบแล้วซึ่งความดำริ ในเนกขัมมะบารมี
เจ้าของกระทู้ เมื่อตั้งใจจะพิจารณาขันธ์ 5 ก็คงรู้จักคำนิยามของขันธ์ 5 แล้ว

การพิจารณา โดยมีลักษณะของโยนิโสมนสิการ คือ พิจารณาตามหลักของอริยสัจจ์ 4
การพิจารณาลักษณะนี้ คือการพิจารณาแบบละเอียดของ การพิจารณาของขันธ์ 5
คือ ทุกข์ของขันธ์ ขันธ์สมุทัย ขันธ์นิโรธ และปฏิปทาในถึงความดับแห่งขันธ์

การแสดงโดยละเอียดจึงไม่อาจเป็นไปได้ เพราะว่าต้องเป็นไปโดยลำดับ ของความเข้าถึงแห่งภูมิจิต

เช่นนั้น จะแนะนำ ให้จับ เอาพระสูตรบทหนึ่งในขันธ์วารวรรค เป็นหลักในการโยนิโสมนสิการ

อืมม์ .... เอาบทนี้แล้วกัน

ลักษณะมุนี

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๓. หลิททิกานิสูตรที่ ๑
ว่าด้วยลักษณะมุนี

"มุนีละที่อยู่แล้ว ไม่มีที่พักเที่ยวไป ไม่ทำความสนิทสนมในบ้าน
เป็นผู้ว่างจากกามทั้งหลาย ไม่มุ่งถึงกาลข้างหน้า ไม่ทำถ้อยคำ แก่งแย่งกับชนอื่น ดังนี้."


ท่องประโยคนี้ให้ขี้นใจเสียก่อน
จากนั้น เมื่อจำจนขึ้นใจแล้ว
ระลึกถึงพระพุทธคุณ
ระลึกถึงพระธรรมคุณ
ระลึกถึงพระสังฆคุณ

เปิดพระสูตร
อ่านนนนนนนนนนนนน หลายๆเที่ยว

สอบถามตนเองว่า ในการอ่านแต่ละเที่ยว ท่านได้มนสิการ อะไรบ้าง
เข้าใจอะไรบ้าง

แล้วค่อยมาสนทนากันต่อ

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...ธาตุ 4 ขันธ์ 5 มีอยู่ในกายนี้ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา คือธรรมเป็นอนัตตา...
...ในทางธรรมการปฏิบัติธรรมใช้การพิจารณาที่รูปกับนาม ก็คือพิจารณากายกับจิต...
:b16:
...รูป=รูปธรรมคือกาย เป็นรูปร่างคน สัตว์ สภาพเย็น ร้อน อ่อน แข็ง...
...เกิดจากการประชุมของธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ จากไข่+อสุจิ=จุติจิตในครรภ์มารดาคลอดเป็นคน...
:b17:
...นาม=นามธรรมคือจิต เป็นส่วนของการรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆผ่านอายตนะ 6...
...ตาเห็นภาพ หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัส ใจรับอารมณ์ ต่างอันต่างทำหน้าที่...
...เกิดเป็นเวทนา(รู้สุข-ทุกข์) สัญญา(จำได้หมายรู้) สังขาร(ปรุงแต่งอารมณ์) วิญญาณ(ยึดมั่นถือมั่น)
:b12:
...การพิจารณาขันธ์ 5 ก็คือการพิจารณาใน รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์...
...คือพิจารณาในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่จิตยังครองขันธ์คือร่างกายอยู่...
...รูปขันธ์พิจารณาตัวตนที่เรายึดมั่นว่ารูปกายประกอบด้วยธาตุ 4...ธาตุดินเป็นของแข็งคือผม ขน เล็บ ฯลฯ...
...ธาตุน้ำคือส่วนที่เป็นของเหลว ได้แก่ น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลือง เลือด เป็นต้น...ธาตุลมคือส่วนที่...
...ทำให้เคลือนไหวได้ มีลมหายใจ การขยับแขน ขา เป็นต้น...ธาตุไฟคือส่วนที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น...
...และย่อยอาหาร...เหล่านี้ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สกปรก มีโลภ โกรธ หลงเต็มหัวใจ...
...โดยพิจารณาว่ากายนี้มีแต่ของไม่สะอาดมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง (เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ)...
:b44:
...สวดบทกายาคตาสติ ว่า อะยังโขเมกาโย กายของเรานี้แล อุทังปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา...
...อะโทเกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ...
...ปูโรนานัปปะการัสสะอสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ...
...อัตถิอิมัสสะมิงกาเย มีอยู่ในกายนี้ เกสาคือผมทั้งหลาย โลมาคือขนทั้งหลาย...
...นะขาคือเล็บทั้งหลาย ทันตาคือฟันทั้หลาย ตะโจคือหนัง มังสังคือเนื้อ นะหารูคือเอ็นทั้งหลาย...
...อัฏฐิคือกระดูกทั้งหลาย อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก วักกัง ม้าม หะทะยัง หัวใจ กิโลมะกัง พังผืด...
...ปิหะกัง ไต ปับผาสัง ปอด อันตัง ไส้ใหญ่ อันตะคุณัง ไส้น้อย อุทะริยัง อาหารใหม่...
...กะลีสัง อาหารเก่า(อุจจาระ) มัตถะเกมัตถะลุงคัง เยื่อในสมองศีรษะ ปิตตัง น้ำดี เสมหัง น้ำเสลด...
...ปุฟโพ น้ำเหลือง โลหิตัง น้ำเลือด เสโท น้ำเหงื่อ เมโท น้ำข้น อัสสุ น้ำตา วะสา น้ำมันเหลว...
...เขโฬ น้ำลาย สิงฆานิกา น้ำมูก ละสิกา น้ำไขข้อ มุตตัง น้ำมูตร เอวะมะยังเมกาโย กายของเรามีอย่างนี้...
...อุทังปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา...อะโทเกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป...
...ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ...ปูโรนานัปปะการัสสะอสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด...
...มีประการต่างๆอย่างนี้แล...(สวดพิจารณาหลังทำวัตรเช้า-เย็นทุกวันให้ใจคลายกำหนัดยินดีในกาย)...

:b20:
...เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์...ขอรวบยอดความคิดว่าเมื่อจิตครอบครองกาย...
...เกิดการสะสมความคิด(จิตปรุงแต่ง)ตามสภาวะของกิเลสที่มีโลภะ โทสะ โมหะ...เวลาเกิดกิเลส...
...จะเกิดทีละอย่างไม่รวมกัน...แต่ด้วยความรวดเร็วจิตตามไม่ทันของการเกิด-ดับ...จึงรู้สึกสืบเนื่อง...
...เมื่อเกิดโลภะคืออยากได้มากๆและไม่อยากได้มากๆด้วยโมหะความหลงครอบงำก็ดิ้นรนขวนขวาย...
...เมื่อเกิดโทสะคือความโกรธ หงุดหงิด ไม่พอใจด้วยโมหะความหลงครอบงำก็จะแสดงออกในทางไม่ดี...
...โลภะและโทสะจะเกิดไม่พร้อมกัน...แต่ทุกครั้งที่จิตมีโลภะและโทสะก็จะเกิดโมหะตามมาทุกครั้ง...
:b16:
...เมื่อยึดถือในรูปกายอันนี้ว่าเป็นเรา จิตก็คิดสะสมการปรุงแต่งและใส่ใจกับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรา...
...สร้างความคิดทั้งทางบวกเป็นกุศลกรรม...และสร้างความคิดทางลบเป็นอกุศลกรรมสลับไปมา...
...เกิดการติดข้องด้วยโลภะ โทสะ โมหะ...สะสมรู้เวทนาคือรู้สุข-ทุกข์ เกิดสัญญาจดจำว่าสุข-ทุกข์...
...เป็นความสบายที่กายและใจหรือความไม่สบายที่กายและใจ...เลือกในสิ่งที่พอใจปรุงเป็นสังขาร...
...พอใจก็แสวงหา ไม่พอใจก็หลีกเลี่ยงสิ่งนั้นเกิดตัณหา อยากได้=ภวตัณหา ไม่อยากได้=วิภวตัณหา...
...เกิดเป็นวิญญาณยึดมั่นถือมั่นไว้ในจิตใจตลอดเวลา...สร้างความคิดอยากตลอดเวลาจนไม่สิ้นสุด...
...เหมือนรถที่วิ่งไม่หยุดเครื่องก็อาจพังลงได้...และมีพระธรรมคำสอนเท่านั้นที่เป็นเบรคห้ามล้อได้...
...ด้วยผู้ที่เดือดร้อนคือตัวเราผู้คิดติดข้องอยู่นี้....การเบียดเบียนกันจึงเพิ่มการอาฆาตจองเวรไม่หยุด...
:b13:
...ดังนั้นการสะสมและอบรมปัญญามาเพื่อเข้าใจและการตามให้ทันทุกสภาวะที่เกิดขึ้นจนคลี่คลาย...
...ทุกคนต้องหมั่นศึกษาอบรมจิตใจให้คิดพิจารณาในคำสอนและหมั่นอบรมจิตสม่ำเสมอในธรรม...
...นอกจากการฟังธรรม...ข้าพเจ้าใช้หลายวิธี...นั่งสมาธิดูลมหายใจ กำหนดพุทโธทุกอิริยาบท...
...และพยายามที่จะพิจารณาในทุกอิริยาบทให้รู้ตัวทั่วพร้อมเป็นสติปัฏฐานในกาย เวทนา จิต ธรรม...
...โดยการคิดนึกท่องในใจให้ได้ตลอดเวลาว่า...(ยืน,เดิน,นั่ง,นอน)อยู่นี่คือกาย สุข-ทุกข์คือเวทนา...
...ความรู้สึกนึกคิดคือจิต...สิ่งที่กำหนดรู้คือสติ...(กิเลสที่เกิดคืออกุศลธรรมและนิวรณ์ธรรม)...
...สิ่งที่พิจารณาเห็นอยู่คือปัญญา...ตัวเราของเราไม่มี...ย้ำไปย้ำมาอยู่อย่างนี้ค่ะ...ไม่สงวนลิขสิทธิ์จ้า...
:b12:
:b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 21 มิ.ย. 2010, 16:47, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 20:24
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b6: ถ้าท่านปฎิบัติยังไม่รู้จักขันธ์ห้า ยังไม่เห็นขันธ์ห้าโดยสภาวะของการปฎิบัติแล้ว ก็พิจารณาขันธ์ห้าไม่ได้ เพราะขันธ์ห้า ไม่สามารถเห็นหรือรู้ได้ด้วยการปฎิบัติที่ไม่มีสติ :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




12.gif
12.gif [ 8.54 KiB | เปิดดู 9245 ครั้ง ]
พิจารณาง่ายๆ แค่ ๒ อย่างพอ คือ กายกับใจ (ความรู้สึกนึกคิด)

กาย (รูป)ก็แลเห็นกันโต้งๆ นี่แหละ ดูมันพิจารณาพฤติกรรมของมัน เช่น หยิบจับอะไร ทำอะไรก็รู้ตัวว่า

กำลังหยิบ กำลังจับ ฯลฯ

ส่วนความรู้สึกนึกคิด (ใจ) นี่มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น พิจารณาเมื่อคิดนึกอะไร ก็รู้ตัวว่าเป็นยังงั้น เช่น รู้สึก

ดีใจ รู้เสียใจ รู้สึกชอบ รู้สึกไม่ชอบ ฯลฯ ก็รู้ตามนั้นตามที่มันเป็น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 21 มิ.ย. 2010, 20:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




2blq1b7.gif
2blq1b7.gif [ 58.97 KiB | เปิดดู 9237 ครั้ง ]
มีเวลาศึกษาเรื่องนี้กว้างๆ ที่นี่ครับ :b1:

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=136.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 23:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแสดงความเห็นดังนี้นะครับ

ถ้าจะดูขันธ์์ 5 ลงไปเลย มันไม่ถึงของจริงหรอกคับ

ได้แต่คิดเอา จินตนาการเอาไปได้
คือรู้หมดว่าในความเป็นเราหรือขันธ์อันนี้
มีกาย มีเวทนา มีวิญญาน มีสังขาร มีวิญญาน
ประกอบกันขึ้นมาเป็น"เรา" แต่มันไม่ใช่การเห็นแจ้งเห็นจริง

สำหรับคนที่เห็นแจ้งเห็นจริง ต้องเห็นจริงๆขึ้นในความรับรู้เลยว่า
ในความเป็นเรานั้น มีสิ่งเหล่านี้อยู่ และมันมีลักษณะเป็น 5 พวก
และของทั้ง 5 พวกนี้มันผสมผสานลำดับลำส่งกันเป้นเหตุปัจจัยอยู่ในความเป็น"เรา"

ให้สังเกตุเดี่ยวนี้ได้เลยว่า คำว่า "เรา" ในวินาทีนี้น่ะ
มี "ผู้เดียว" คือ"มีเราผู้หนึ่ง" มีชื่อนี้ บ้านอยู่ตรงนี้ มีอาชีพอย่างนี้
มีหน้าที่อย่างนี้ มีหน้าตาอย่างนี้ ฯลฯ

หลับไปแล้วตั้งคืนหนึ่ง แต่ตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็กลับคืนมหมด
ว่าชื่อนี้ บ้านอยู่นี้ อาชีพนี้ ชอบอาหารอันนี้ ไม่ชอบคนชื่อนั้น ฯลฯ
เหมือนเดิมทุกอย่าง

เมื่อสังเกตุความเป็นจริง ณ เวลานี้ เราจะพบว่า เราไม่เห็นว่ากายกับใจแยกกันเลย
แต่เห็นว่ามันคืออันเดียวกัน ตื่นยันหลับ หลับยันตื่น มีคนเดียวนี่แหละ

อาณาเขต "ที่พอจะจับต้องได้" ว่า "ความเป็นเรา" มันสิ้นสุดเท่านี้คือร่างกายของเรา
อย่างเสื้อผ้าที่เราใส่ มันแนบเนื้อเราปานนี้ แต่เราก็ไม่ยอมรับว่านี่คือ"เรา"
แต่ถ้าพูดถึงอวัยวะของเราขึ้นมา เช่น พูดถึงมือ อย่างนี้เราถึงยอมรับว่า นี่คือ"เรา"
ไม่ใช่มือคนอื่น ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม แต่เป็นส่วนหนึ่งของเรา

ที่ว่ากายกับใจ ขันธ์มี 5 กอง .. ก็เห็นแต่จะมีคนเขาพูดกัน
แต่ตัวเราเองยังไม่เห็นชัดๆสักที ว่าอันไหนกาย อันไหนใจ ขันธ์ไหนเป้นขันธ์ไหน
ไม่มีเห็นว่ามันแยกกันกายต่างหาก เวทนาต่างหาก สังขารต่างหาก ฯลฯ
เราเห็นแต่เรา อันเดียว ผู้เดียว คนเดียว
ทั้งชีวิตที่ผ่านมา เราเห็นแค่นี้จริงๆ จึงเกิดเป้นทิฐิขึ้นมาว่า นี่คือเรา เป็นตัวกู ของกูขึ้นมา

ท่านพุทธทาสท่านฉลาดใช้คำ ท่านใช้คำว่า "ตัวกู" แทน"รูปขันธ์" และใช้ "ของกู" แทนนามขันธ์
เพราะมันคือการอธิบายคำว่า อุปทานขันธ์
กล่าวคือ ตัวกู(รูป) ของกู (นาม)
เวลาพูดคำว่า"ตัวกูของกู" จึงกินใจความเดียวกันกับคำว่า "อุปทานขันธ์"

ขันธ์ 5 แยกเป็น 2 พวกคือ รูปธรรม และนามธรรม

รูปธรรม ก็คือขันธ์ที่เป็นรูปธรรม ก็ได้แก่ร่างกายของเรานั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นของเหลวของแข็ง อุณภูมิ หรือแม้แต่ลมหายใจ ตับไตไส้พุง
เครื่องนอกเครื่องใน ก็คือสิ่งที่เรียกว่าเป็นรูป คือตัวมันเองไม่มีชีวิต

ส่วนขันธ์ที่เป็นฝ่ายนาม ก็ได้แก่ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน)
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมรรถนะของจิต ที่จะรู้สึก ที่จะจดจำ ที่จะคิดนึก ที่จะรับจะรู้สิ่งต่างๆ

ถ้าอยากจะดูขันธ์ 5 แล้วเห็นมันเป็น 5 จำพวกได้จริง
ต้องอาศัยกำลังปัญญาตามลำดับ


ก่อนอื่น ในเวลานี้ เราเห็นขันธ์5 ของเราเป็นขันธ์เดียวอยู่
รูปนามมันรวมกันเป็นอันเดียวอยู่
เราต้องมีปัญญาที่ชื่อ นามรูปปริเฉทญานเสียก่อน
จึงจะแยกขันธ์ออกเป็น 2 พวกได้ ต้องทำเรื่องนี้ก่อน

นามรูปปริเฉทญาน ก็คือปัญญาในการแยกนามรูป
กล่าวคือจิตมีคุณภาพสมาธิเพียงพอที่จะแยกขันธ์ของเรา ออกเป็น 2 ส่วน คือนามและรูป

คุณลองไปไล่ลำดับดู "โสฬสญาน 16"
ก็จะพบชื่อของปัญญาไล่ลำดับขึ้นไป โดยปัญญาแต่ละชื่อนั้น จะมีหน้าที่ชัดเจนแน่นอน
ว่าปัญญาระดับนี้ ชื่อนี้ มีหน้าที่อะไร เห็นเหตุอะไร แล้วเห็นผลอะไร
ลองไปไล่ดูแล้วจะเข้าใจครับ
มันคล้ายๆว่า ตัวเราเหมือนดอกบัวดอกหนึ่ง
ปัญญาของราตอนนี้ เวลานี้ เราเห็นแค่คำว่า "บัวหนึ่งดอก"
แต่เราไม่เห็นคำว่า "ดอกบัวนี้มี 16 กลีบ"
เราต้องอาศัยปัญญาในการแกะกลีบดอกออกไปทีละกลีบ


ส่วนคำถามว่า แล้วจะพัฒนาจิตอย่างไรให้มีคุณภาพ
อันนี้ก็เป็นเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน หรือกรรมฐาน หรือทำสมาธิ แล้วแต่จุดประสงค์ที่จะเรียก
แต่สรุปแล้วคือการพัฒนาสมรรถนะของสมาธิให้มีคุณภาพยิ่งๆขึ้นไป"อย่างถูกทาง"
มีคำว่า"อย่างถูกทาง"

คำว่า"อย่างถูกทาง" ที่ผมพูดถึงนั้น
เพื่อจะย้ำว่า การทำสมาธินั้น มี"ผิดทาง" ด้วย
ถ้าถูกทาง จะต้องมีจุดประสงค์เดียวเท่านั้นคือละอุปทานในขันธ์

แม้กระทั่งการไปรู้เห็นสิ่งอัศจรรย์ทั้งหลาย ก็สักแต่ว่ารู้
ยิ่งรู้มาก ต้องยิ่งเหนื่อยหน่ายในวัฏฏะสงสาร

ในทางกลับกัน ในสมัยพระพุืทธเจ้า อาจารย์ของพระองค์ หรือนักบวชแห่งยุคหลายคน
ก็มีสมรรถนะของสมาธิที่ดีมาก ถึงขั้นรู้เห็นอนาคตอดีต รู้เห็นสิ่งเหนือมนุษย์ เหาะเดินอากาศได้
ทำอะไรได้สารพัด ซึ่งล้วนแลวแต่เป็นผลงานของสมาธิที่มีกำลังมาก หรือเรียกว่าได้ว่า เป็นผลงานของปัญญา

แต่ปัญญาทั้งหมดนั้น เป้นปัญญาที่ออกไปนอกตัว
ไม่มาพิจารณาในตน ไม่โอปนยิโกกลับเข้ามาในตน
จึงไม่มีผลอะไรเลยในการปล่อยวาง ซ้ำร้ายกลับยิ่งสั่งมคมความยึดมั่นถือมั่นถือตน
ว่าเป็นผู้พิเศษเหนือมนุษย์และทำให้สั่งสมนิสัยหวงแหนอัตภาพเหล่านั้น

แต่เมื่อมีพระพุทธเจ้า ที่โอปนยิโก คือน้อมเข้ามาดูแต่ในตน ในขันธ์ของตน
จึงเกิดพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น

เพราะต่อให้ไปดูอะไรที่ไหนรอบจักรวาลก้ตาม
ต่อให้มีสติมั่นคงตั้งรู้ในสิ่งเหล่านั้นปานใด
ก็ไม่มีผลในการละอุปทานขันธ์ของเราใดๆได้เลย
แต่เมื่อมีสติลงที่กายของตน เวทนาของตน จิตของตน และธรรมที่เป็นไปในตน จึงจะมีผล

กาย เวทนา จิต และธรรม ก้ล้วนแล้วแต่อยู่ในขันธ์ 5 ของเรา
กายก็คือกาย เวทนาก็คือเวทนา สัญญาสังขารวิญญา็ล้วนแต่เนื่องลงที่จิต ปรากฏที่จิต
ธรรมทั้งหลายไม่ว่ากุศลหรืออกุศล ไตรลักษณ์ หรือธรรมอันใด
ก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นและเป็นไปในขันธ์ของเราทั้งนั้น เนื่อด้วยกายและใจอันนี้ของเราทั้งนั้นเอง


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 23 มิ.ย. 2010, 09:39, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะมี สักกายทิฏฐิ..ความเห็นผิด..ความยึดถือ..ยึดมั่น ในขันธ์ ๕
มีความเห็นผิดยึดถือว่า"ขันธ์ ๕" เป็นตัวเรา
มีความเห็นผิดยึดผิดว่า เรามี"ขันธ์ ๕"
มีความเห็นผิดยึดผิดว่า "ขันธ์ ๕" อยู่ในเรา
มีความเห็นผิดยึดผิดว่า เราอยู่ใน"ขันธ์ ๕"
....รวมเรียกว่า"สักกายทิฏฐิ ๒๐ ประการ"
ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตน...ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวเรา..ไม่ใช่เรามีขันธ์๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีอยู่ในเรา
แต่ขันธ์ ๕ มันมีอยู่ สิ่งนี้มันมีอยู่ แต่มันไม่ใช่ตัวเราของเรา ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ตัวตน

ส่วนหนึ่งของคำบรรยายจาก ท่านพระครูเกษมธรรมทัต

เจริญในธรรม :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 22 มิ.ย. 2010, 12:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 09:31
โพสต์: 292

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบพระคุณในคำตอบของทุกท่านค่ะ
ที่ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น
ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2010, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนา สาธุทุกคำตอบค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2010, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มาลองอ่าน " ขันธ์ 5 : ส่วนประกอบ 5 อย่างของชีวิต"

พุทธ ธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ
โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม

http://www.buddha-dharm.com/


หรือถ้าสะดวกจะฟังเป็น MP3 ก็สามารถโหลดมาฟังได้จาก
http://www.trisarana.org/talks/B/B-VMenu_00.htm


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 27 มิ.ย. 2010, 18:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2010, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้นี้เกี่ยวกับขันธ์ ๕ เหมือนกัน

viewtopic.php?f=7&t=32722

เจตนาตั้งหลังจากอ่านคำถามของคุณ ปริตา แล้ว


แต่ยังมีอีกกระทู้หนึ่งเรื่องขันธ์ ๕ เหมือนกัน ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2008

viewtopic.php?f=7&t=19256

จนลืมไปแล้ว เหตุผลคือเบื่อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร