วันเวลาปัจจุบัน 18 พ.ค. 2025, 15:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2009, 23:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


มีผู้หญิงคนหนึ่ง ถามคำถามกับหลวงปู่หล้าว่า ตัวเองเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร อะไรนำพาให้เกิด เกิดมาแล้วมีแต่ทุกข์ ทำไมคนเราจึงอธิษฐานขอเกิดกันอยู่ร่ำไป

หลวงปู่ตอบว่า คำว่า เกิดมาทำไม ตอบว่า เพราะกรมมทำให้เกิด เกิดมาเพื่ออะไร ตอบว่า เกิดมาเพื่อสร้างบารมี หนีจากความหลงของเจ้าตัวที่เคยหลงมา ถามว่า อะไรนำมาให้เกิด ตอบว่า อวิชชาความโง่ๆ พาให้เกิด อวิชชาแบ่งเป็นสี่

1.ไม่รู้ทุกข์

2.ไม่รู้ทุกขสมุทัย คือ เหตุให้ทุกข์เกิด

3.ไม่รู้ทุกขนิโรธ คือ ความดับแห่งทุกข์

4.ไม่รู้ทางดำเนินให้ถึงความดับทุกข์ เพิ่มทุกข์เข้าอีก

5.ไม่รู้จักอดีต

6.ไม่รู้จักอนาคต

7.ไม่รู้ทั้งอดีต ทั้งอนาคต โยงใส่กัน

8.ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือ ลูกโซ่ที่เกี่ยวคล้องเป็นสาย มันเป็นบ่วงวงกลมคล้องคอจิตใจเราอยู่ อวิชชา 8 ก็ว่า

คำว่า อวิชชา แปลว่า ไม่ใช่ วิชชา ถ้าแปลให้เข้าใจง่ายก็คือ ความโง่ ความหลงของเรา แต่ละท่านๆนั่นเอง ถ้าจะอธิบายในเรื่องนี้ให้พิศดารก็ต้องยาวเหยียดมาก จะอย่างไรก็ตาม เราไม่ต้องอธิบายยาวเหยียด ทำไมคนเราจึงอธิษฐานขอเกิดกันอยู่ร่ำไป ตอบว่า เพราะกรรมบันดาล ยังไม่เห็นทุกข์ในโลกพอ เพราะมีความหวังในโลกอยู่ เพราะเข้าใจว่า มันพอใช้สอยอยู่ ถ้าจะตอบให้ถึงที่แล้ว ก็คือ บารมียังอ่อนอยู่นั่นเอง

เมื่อผู้อธิษฐานขอเกิด ก็แปลว่ามีความพอใจยินดีในการเกิด ส่วนเป้าหมายในการเกิดแตกต่างออกไปตามเจตนา ตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละคน ข้อนี้ก็จริงอยู่ แต่บางท่านอยากเกิดอีก เพื่อสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระปัจเจก หรือพระอรหันขีณาสพ สาวกหรือสาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป จำพวกที่ต้องการแบบนี้คือ ต้องการไปทางโลกุตรกุศล จำพวกหนึ่งนั้นต้องการเกิดมาเป็นเศษฐีกฎุมพี ปรารถนาในโลกีย์ยุ่งเหยิงอยู่ บางจำพวกต้องการปรารถนาเกิดอีก เพื่อต้องการเสวยกามารมณ์ล้วนๆ บางจำพวกต้องการมาสนองเวร สนองภัยกับผู้อื่นที่อาฆาตจองเวรผูกใจเจ็บไว้ สรุป ความปรารถนาทั้งหลาย มันก็เป็นไปตามกรรมและผลของกรรมอีกละ ถ้าหากว่า จิตยอมรับด้วยจิตเองว่า การเกิดเป็นทุกข์ ไม่ปรารถนาที่จะเกิดอีก พูดมาถึงตรงนี้ ก็ตีความหมายว่า เป็นเพียงความคิดไม่อยากเกิด เพราะมันทุกข์ ก็อดจะทอดถอนใจไม่ได้ว่า เป็นความคิดที่วิ่งวนตัวตัณหาเสียอีกแล้วกระมัง ตอบข้อนี้ว่า มันไม่เป็นตัณหาดอก และไม่กลายเป็นทุกข์ ซ้อนทุกข์ โดยไม่รู้ตัวดอก พระบรมศาสดาและพระอริยสาวกผู้ที่สร้างบารมีแก่กล้าแล้ว ก็ต้องยืนยันอย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว การประพฤติพรหมจรรย์ก็ไม่มีความหมายในคิวสุดท้าย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


เดิมทีในจักรวาลไม่มีอะไรเลย มีแต่ความว่างเปล่า(ศูนยตา) แต่ในว่างนั้นแท้จริงกลับไม่ว่าง มีจิตบริสุทธิ์พุทธะ(พระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม) ซึ่งเป็นจิตประภัสสร (เป็นจิตอสังขตธาตุ) พระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม(พระพุทธเจ้าองค์ปฐม หรือต้นธาตุ)ดำรงอยู่ในนิพพาน ที่ไม่มีกิเลสตัณหาอวิชชาเปือดเปื้อนปนอยู่ จิตบริสุทธิ์พุทธะของพระองค์ เสพสุขอันประเสริฐอยู่ในนิพพานตามลำพังในความว่างเปล่า(ศูนยตา) เพราะจักรวาลไม่มีอะไรเลย มีแต่พระองค์ที่ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

การที่จะรับรู้ว่า สภาวะนิพพานที่พระองค์ดำรงอยู่เป็นสภาวะที่ดีที่สุดแล้ว จำเป็นต้องมีภพภูมิอื่นเปรียบเทียบ เหมือนกับเราจะรู้ว่า นี่เป็นสีขาว ก็ต้องมีสีอื่นเปรียบเทียบให้เห็น อย่างน้อยก็ต้องมีสีดำ ดังนั้น จิตบริสุทธิ์พุทธะ(จิตอสังขตธาตุของพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม) ที่อยู่ตามลำพังในจักรวาลอันว่างเปล่า จึงตัดสินใจแยก(อวตาร)จิตบริสุทธ์พุทธะของพระองค์ออกเป็น 3 ส่วนก่อน คือ

1. พระพุทธเจ้าฝ่ายดำ (อกุสลาธัมมา)
2. พระพุทธเจ้าฝ่ายขาว (กุสลาธัมมา)
3. พระพุทธเจ้า(อัพยากตาธัมมา พระพุทธเจ้าภาคไม่ขาวไม่ดำ เป็นกลาง)

แล้วพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรมที่มีอณูเป็นอนันต์เหมือนกับน้ำในมหาสมุทร ก็ตัดสินใจแตกกระจายธาตุอณูเหล่านั้น ให้เป็นอณูจิตพุทธะแต่ละดวง อณูจิตพุทธะแต่ละดวงนั้น จะดำรงอยู่ในอายตนะนิพพาน(ธรรรมกาย)ซึ่งเป็นร่างแท้(อัตตา)ของมัน

หลังจาก พระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรมกระจายหรือระเบิดจิตบริสุทธิ์พุทธะเป็นจิตอสังขตธาตุย่อยๆแล้ว พระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม ก็เริ่มสร้างจักรวาลจากความไม่มีอยู่ โดยพวกเราได้ใช้จิตพุทธะของเราทำให้ทุกสรรพสิ่งที่เป็นพลังงาน หรือเป็นอนัตตาแข็งตัว(freezing energy)หนาแน่นขึ้นเป็น 100 พันๆล้านเท่า สิ่งที่เป็นอนัตตาชัดเจนในตอนก่อนสร้าง มันเลยมองดูเป็นอนัตตาไม่ชัดเจนไป

ถ้าจิตอสังขตธาตุ(พุทธะ)ดวงใดไปหลงยึดมั่นถือมั่น ติดยึดกับอวิชชามายาลวงที่เราจินตนาการสร้างมันขึ้นมา จิตดวงนั้นก็จะมองไม่เห็นความเป็นอนัตตาของมัน และหลงไปคิดว่ามันเป็นอัตตาหรือสสารไป ทั้งๆที่มีมันเป็นพลังงานที่อยู่ในความว่างเท่านั้น

เมื่อพวกเราอณูพุทธะทั้งหมด เริ่มจะเล่นเกมส์อัตตาแท้จริงเป็นอนัตตา หรือเกมเวียนว่ายตายเกิด หรือเกมส์คนหาตัวเอง (หาตนเองพบเมื่อไร ก็เข้านิพพานไป) พวกเราทั้งหมดจึงจำเป็นปล่อย และอนุญาตให้กิเลสอวิชชาเข้ามาแทรกอยู่ในจิตบริสุทธิ์ของเราได้ ไม่งั้นจะเล่นเกมนี้ไม่ได้ แล้วให้พระพุทธเจ้าทั้ง 3 ภาคเล่นเกมแย่งชิงพรรคพวกกันเอาเอง

แต่เนื่องจากสภาวะนิพพานที่พวกเราอยู่ เป็นสภาวะของอสังขตธาตุ และเป็นธรรมชาติที่รู้แจ้ง(สัพพัญญู), เป็นสภาวะที่แจ่มใส และเป็นสุขอันหมดจด มีอานุภาพเหนือกว่าสุขทั้งปวง, ไม่มีจุดเกิด(จุดเริ่มต้น),ไม่มีการเสื่อม, ไม่มีความโศก ไม่มีการเจ็บ, ตั้งอยู่ไม่แปรปรวน มีเสภียรภาพสถาพร ไม่มีความตาย(จุดสิ้นสุด) ) และไม่มีที่สุด เป็นอมตะนิรันดร์

ด้วยเหตุนี้ พวกเราจิตพุทธะทั้งหมดจึงต้องสร้างจิตเก๊และสังขตธาตุขึ้นมา จิตเก๊และสังขตธาตุนี้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับอสังขตธาตุ คือ และเป็นธรรมชาติไม่รู้ เป็นสภาวะที่ไม่แจ่มใส มีสุขที่ไม่จีรังและไม่หมดจด บางครั้งก็ทุกข์ และมันก็มีจุดเกิด มีจุดเสื่อม มีความโศก มีการเจ็บ ตั้งอยู่แปรปรวน ไม่มีเสถียรภาพสถาพร และมีความตาย อีกทั้งไม่เป็นอมตะ โดยเราให้กิเลสอวิชชาเป็นตัวสร้างจิตเก๊และสังขตธาตุตัวนี้ขึ้นมา

ศาสนาอื่นเรียกพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรมว่า พระบิดาบ้าง เรียกพระเจ้าบ้าง พระยะโฮวาบ้าง อัลเลาะห์บ้าง เต๋าบ้าง พระอนุตตรธรรมมารดาบ้าง องค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษีบรมธรรมบิดาบ้าง องค์สมเด็จพระปฐมพุทธะบ้าง องค์สมเด็จพระธรรมบิดาบ้าง องค์สมเด็จพระทรงปราบมารบ้าง พ่อเกิดแม่เกิดบ้าง ปรมาตมันบ้าง ฯลฯ แล้วแต่จะเรียกกันไป

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(โคตมพุทธเจ้า) ตรัสเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้า (GOD)ไปทางมหายานว่า อาทิพุทธะบ้าง พระไวโรจนพุทธเจ้าบ้าง พระอมิตาพุทธบ้าง พระสยัมภูพุทธเจ้าบ้าง นอกจากนี้ พระพุทธองค์ทรงเรียกพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรมไปทางเถรวาทว่า นิพพานจิต(พุทธะ) และอสังขตธาตุ ที่โคตมะพุทธเจ้าทรงเรียกเช่นนั้น ไม่ทรงยอมเรียกว่า พระเจ้า เพราะศาสนาในสมัยนั้นแม้แต่ในสมัยนี้ ต่างคิดว่า โลก จักรวาล ร่างกายของคน สัตว์ ฯลฯ มีจริง ทั้งๆที่มันไม่มี เป็นแค่ภาพมายาลวง ไม่มีการสร้างอะไรที่เป็นอัตตาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก ล้วนมีอณูของอาทิพุทธะ หรือส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้าองค์ปฐมฝังตัวอยู่ พระองค์ทรงบังจิตส่วนหนึ่งของพระองค์ไว้ไม่ให้รู้ความจริงว่า ทุกอย่างเป็นความว่างเปล่า(สุญญตา) ถ้าจิตใดยังหลงอยู่ในกิเลสอวิชชาที่เป็นเรื่องลวง จิตอวิชชานั้น มันก็จะคิดว่าของลวงเป็นของจริงวันยังค่ำ

ที่เราพระเจ้าหรือพวกเราเหล่าพระเจ้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อจะเล่นเกมค้นหาตัวเองให้พบว่า

" มนุษย์ สัตว์ เทวดา พรหม เปรต อสูร นาค สัตว์นรก ฯลฯ แท้จริงพวกเขาก็คือ พระเจ้า หรือ ส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้าองค์ปฐม นั่นเอง " เพียงแต่กิเลสอวิชชามันมาบดบังความรู้จริงนี้เอาไว้

สรรพสัตว์ตนนั้นหรือตนใดก็แล้วแต่ ที่สามารถทำจิตตนเองกลับไปบริสุทธิ์ ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ และไม่มีความยึดมั่นถือมันเหลืออยู่ เหมือนเดิมก่อนเล่นเกม เขาก็จะได้กลับไปเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้าองค์ปฐม หรืออณูของพระเจ้า หรืออนุพุทธะเหมือนเดิม ถือว่าจบเกม จิตทิพย์ของเขาก็จะกลับไปบ้านเดิม คือ นิพพาน

ผู้ที่ค้นพบและเผยแพร่ทางกลับไปเป็นพระเจ้าเหมือนเดิม เรียกว่า ตถาคต หรือพระพุทธเจ้า หน้าที่ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นคือ ชี้ทางให้สรรพสัตว์เข้าสู่นิพพาน ผู้ที่เป็นสาวกของตถาคตเรียกว่า พุทธบุตร บุตรของพระเจ้า หรือ อนุพุทธะ ผู้ที่เป็นต้นกำเนิดของสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกเรียกว่า พระบิดา ฯลฯ


สรุปและอธิบายเพิ่มเพื่อความเข้าใจ


จิตอสังขตธาตุ(พุทธะ) ได้สร้างจักรวาล โลกขึ้นมา หลังจากนั้นจิตอสังขตธาตุ(พุทธะ) ก็ได้สร้างจิตเก๊และสังขตธาตุขึ้นมาด้วย แล้วก็ได้ให้จิตเก๊ที่ติดกิเลสอวิชชา มีกลไกลับสามารถสร้างตัวมันเองที่เป็นสังขตธาตุขึ้นมาได้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามกรรมต่างๆที่ตัวมันเองได้ก่อขึ้นมา และให่มันวนเวียนใช้กรรมที่มันก่อ และเล่นเกมส์นี้ต่อไปไม่สิ้นสุด จนกว่ามันจะหาตัวมันเองเจอว่า ตัวมันเองมันไม่มีจริง เป็นแค่มายา อนัตตา เท่านั้น เมื่อมันทิ้งสิ่งที่เป็นอนัตตาไปแล้ว มันจะพบตัวมันเองที่เป็น จิตอสังขตธาตุ และมีร่างแท้ที่เป็นอัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 06:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b6:

บางทีอดคิดแทนไม่ได้ เขาจะเหนื่อยบ้างไหมหนอ ....

พอเห็น " ต้นธาตุ ต้นธรรม " ตรูจะบ้าตาย :b32:

มันก็แค่ ... สมมุติ สมมุติ ของเขา เท่านั้นเอง :b23:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เอ๋ย!


ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
:b6:

พอเห็น " ต้นธาตุ ต้นธรรม " ตรูจะบ้าตาย :b32:


ผมหนักกว่านั้นครับ ต้องใช้คำว่า " โพล่ง ก๊ากออกมา"
ประมาณไอคอนนี้น่ะคับ เพียงแต่นำตายังไม่เล็ด :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คามินธรรม เขียน:
walaiporn เขียน:
:b6:

พอเห็น " ต้นธาตุ ต้นธรรม " ตรูจะบ้าตาย :b32:


ผมหนักกว่านั้นครับ ต้องใช้คำว่า " โพล่ง ก๊ากออกมา"
ประมาณไอคอนนี้น่ะคับ เพียงแต่นำตายังไม่เล็ด :b2:


เฮ้อ

ก๊าก

ฮึม

ประมาณนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 23:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คามินธรรม เขียน:
walaiporn เขียน:
:b6:

พอเห็น " ต้นธาตุ ต้นธรรม " ตรูจะบ้าตาย :b32:


ผมหนักกว่านั้นครับ ต้องใช้คำว่า " โพล่ง ก๊ากออกมา"
ประมาณไอคอนนี้น่ะคับ เพียงแต่นำตายังไม่เล็ด :b2:



มาตอกย้ำความก๊าก ... อ่านทีไร ก๊ากกกกกกทุกที :b32:

มาคิดอีกที ... ตรูโพสไปได้ไง ( ฟะ ) เนี่ย ... ออกจะสุภาพสะกรี ... เสียหายหมดเลยยยย :b2:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร