ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

เจตนา ๓ กาย วาจา ใจ แยกกันไม่ได้ สัมพันธ์กันและกัน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19899
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ปราชญ์ขยะ [ 02 ม.ค. 2009, 20:25 ]
หัวข้อกระทู้:  เจตนา ๓ กาย วาจา ใจ แยกกันไม่ได้ สัมพันธ์กันและกัน

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต



สัญเจตนิยวรรคที่ ๓

[๑๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อกายมีอยู่ สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น
เพราะกายสัญเจตนา ๑- เป็นเหตุ หรือเมื่อวาจามีอยู่ สุขทุกข์ในภายในย่อมเกิดขึ้น
เพราะวจีสัญเจตนา ๒- เป็นเหตุ หรือเมื่อใจมีอยู่ สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะ
มโนสัญเจตนา ๓- เป็นเหตุ อีกอย่างหนึ่ง เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย บุคคลย่อม
ปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งกายสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภาย
ในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น หรือบุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็น
ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือบุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขารอันเป็น
ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร
ของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง หรือบุคคล
รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือ
บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งมโนสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภาย
ในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง หรือบุคคลรู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัย
ให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือบุคคลไม่รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็น
ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชาติดตามไปแล้วใน
ธรรมเหล่านี้ แต่เพราะอวิชชานั่นแลดับโดยสำรอกไม่เหลือ กายอันเป็นปัจจัย
ให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น ย่อมไม่มี วาจา ... ใจ ... เขต ... วัตถุ
... อายตนะ ... อธิกรณะอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น
ย่อมไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน
คือ ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป ไม่ใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป
@๑. ความจงใจทางกาย ๒. ความจงใจทางวาจา ๓. ความจงใจทางใจ
ก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป ไม่ใช่สัญเจตนาของตนเป็นไป
ก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปก็มี
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนก็มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นก็มิใช่เป็นไปก็มี ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้แล ฯ

เจ้าของ:  ปราชญ์ขยะ [ 02 ม.ค. 2009, 20:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เจตนา ๓ กาย วาจา ใจ แยกกันไม่ได้ สัมพันธ์กันและกัน

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต


ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา
ด้วยใจ

เจ้าของ:  พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ [ 02 ม.ค. 2009, 21:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เจตนา ๓ กาย วาจา ใจ แยกกันไม่ได้ สัมพันธ์กันและกัน

คุณปราชญ์ขยะครับ



รู้สึกคุณจะตีความพุทธพจน์ผิดนะครับ

ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา
ด้วยใจ
[/color]

กาย วาจา ใจ แยกกันครับ บางครั้งก็รวมกันอยู่ บางครั้งก็แยกกันอยู่ ถ้าไม่แยกกันอยู่ พระอรหันต์ที่ฆ่าตัวตายทุกท่านก็ต้องตกนรกซิครับ แต่พระอรหันต์ วักกลิ โคธิกะ และฉันนะ ไม่ได้ตกนรก แต่ท่านเข้านิพพานไปเลย กายพวกท่านฆ่าตัวตาย แต่ใจท่านไม่ได้ไปคิดปรุงแต่ง จึงตกนรกไม่ได้ครับ

เจ้าของ:  ปราชญ์ขยะ [ 02 ม.ค. 2009, 23:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เจตนา ๓ กาย วาจา ใจ แยกกันไม่ได้ สัมพันธ์กันและกัน

ผมยกพระพุทธพจน์มาแสดงทั้งหมด ไม่ได้ตีความ ส่วนหัวข้อนั้นก็ไม่ได้ตีความเป็นเรื่องของหัวข้อ...

พระอรหันต์ที่ฆ่าตัวตายท่านสำเร็จอรหันต์ก่อนจะขาดใจ กรรมไม่ดำไม่ขาวเป็นไปเพื่อสิ้นกรรม ท่านก็ไปนิพพานแล้ว

ผมไม่ได้มานั่งทะเลาะกับคุณนะพลศักดิ์ จะเอาจิตปุถุชนมาเปรียบกับพระอรหันต์ไม่ได้ จิตปุถุชนนั้นยังถูกกิเลสครอบงำได้ง่าย พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า ถ้าจิตเศร้าหมองทุคติเป็นอันหวังได้ ถ้าจิตผ่องใสสุคติเป็นอันหวังได้ สำคัญตรงนี้


คุณพลศักดิ์คิดว่าผมจะมานั่งทะเลาะกับคุณหรือ พระสูตรที่ยกมาแสดงความชัดเจนในตัวแล้ว พระองค์ทรงตรัสถึงเจตนาคือคิดแล้วจึงกระทำทาง กาย วาจา ใจ ถ้าไม่คิดไม่มีเจตนาความจงใจก่อน การกระทำ(กรรม)ทางกาย วาจา ใจ มันเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นกรรมคือเจตนาที่บุคคลคิดแล้วจึงกระทำออกมาทาง กาย วาจา ใจ เมื่อกระทำออกมาทางกาย วาจา ใจ กรรมก็เกิดขึ้นแล้ว เป็น บุญ บาป ไม่บุญไม่บาป แล้วก็สืบต่อเป็นวิปากให้ผลสืบไป ใจที่คุณว่าสำคัญนั้นมันสำคัญตรงที่คิดจงใจแล้วจึงกระทำออกมาทาง กาย วาจา ใจ ใครทำกรรมชั่วย่อมได้ผลชั่ว ใครทำกรรมดีย่อมได้ผลดี เหมือนผลไม้ผลมะม่วงย่อมให้ต้นมะม่วงฉันใด กรรมที่คิดจงใจโดยเจตนาแล้ว กระทำออกมาทางกาย วาจา ใจ ถ้าดีก็ให้ผลเป็นบุญ ชั่วก็ให้ผลเป็นบาป ไม่ดีไม่ชั่วก็ให้ผลเป็นไม่บุญไม่บาป สำเร็จผลเป็นวิปากเมื่อลงมือกระทำทางกาย วาจา ใจไปแล้วนั่นเอง จะมานั่งบอกว่าคิดดีก่อนตายก็ไม่บาปไปสุคติน่ะส่วนใหญ่ทำไม่ได้ดอก ไม่ได้ขัดแย้งว่าใจไม่สำคัญแต่กรรมมันบังคับให้จิตผ่องใสหรือเศร้าหมองได้ และมันต้องดูเป็นกรณีๆ ไป อย่าเหมารวมว่าจะทำได้ทุกคน โดยเฉพาะทำใจให้ผ่องใสก่อนตายเนี่ยะ


ดังนั้นจะอ้างว่าเจตนาดีทำชั่วไม่บาปผมเห็นว่าฟังไม่ขึ้นดอก มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่าก่อนตายจิตจะผ่องใสหรือเศร้าหมอง เพราะคนเราโดยส่วนใหญ่ก่อนตายกิเลสมันทำงานใจมักเศร้าหมองมากกว่าผ่องใส แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ กันไป จะมานั่งเหมารวมไม่ได้ ทางที่ดีก็คือรู้จักทำใจให้ผ่องใสตั้งแต่ก่อนตายเนืองๆ นั่นคือฝึกปฏิบัติจิตเจริญภาวนาเป็นประจำนั่นเอง...

เจ้าของ:  ปราชญ์ขยะ [ 04 ม.ค. 2009, 10:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เจตนา ๓ กาย วาจา ใจ แยกกันไม่ได้ สัมพันธ์กันและกัน

ขอแนะนำข้อมูลน่าศึกษาเรื่องกรรมและการเกิดใหม่ ที่เวป http://www.khunsamatha.com/

ลองไปศึกษาดูนะครับ

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/