ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19507 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | walaiporn [ 12 ธ.ค. 2008, 18:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา |
อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา ..... เชิญทุกท่านร่วมสนทนากันค่ะ แสดงได้ทุกความคิดเห็น |
เจ้าของ: | walaiporn [ 13 ธ.ค. 2008, 08:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา |
ช่วงนี้ไม่อยู่นะคะ ไปวัด 2 วัน กลับวันจันทร์ อาจจะได้มาสนทนากันต่อค่ะ |
เจ้าของ: | แวะมา [ 13 ธ.ค. 2008, 15:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา |
หอบหมอนมานอนรอฟังคำเฉลยอยู่ค่ะ คุณWalaiporn ![]() กลับมาเฉลยซะดีๆ |
เจ้าของ: | jojam [ 13 ธ.ค. 2008, 18:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา |
ปีติ ก็เพียงทางผ่าน ทำหน้าที่จบ ความฟุ้งซ่าน หายไปก็เพียง..เท่านั้น เหมือนน้ำ ที่เมื่อดับไฟได้ก็จบหน้าที่ |
เจ้าของ: | walaiporn [ 15 ธ.ค. 2008, 07:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา |
สวัสดีค่ะ โหๆๆๆ สงสัยคำถามคนไม่ค่อยเก็ต เลยมีคนมาสนทนาร่วมน้อยมาก แต่ไม่เป็นไรค่ะ จะน้อย จะมาก ก็ยังมีมุมมองที่แตกต่างหรือคล้ายคลึงกันหรือไม่เหมือนกันก็ได้ คุณแวะมา ไม่ร่วมแสดงข้อคิดเห็นด้วยหรือคะ ขอกล่าวถึงปีติที่ควรละก่อนค่ะ ปีติที่ควรละ คือ ปีติ ที่เกิดในขณะที่จิตเป็นสมาธิ เย็นๆ อาจจะแวะเข้ามาใหม่ค่ะ ยังไม่ได้จบข้อความเท่านี้ค่ะ ต้องเตรียมตัวไปทำงาน ถ้ามีเวลาว่างพอก็อ่านมหาสติปัฏฐานสูตรไปก่อนค่ะ อาจจะได้คำตอบแน่นอนว่าทำไมต้องละปีติที่เกิดขณะที่จิตเป็นสมาธิ ตามลิงค์นี้ค่ะ อ่านในหัวข้อสัมมาสมาธิค่ะ http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%A1 ... 5%E0%B8%A3 ![]() |
เจ้าของ: | แวะมา [ 15 ธ.ค. 2008, 13:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา |
จะรอฟังค่ะ..... ![]() |
เจ้าของ: | walaiporn [ 16 ธ.ค. 2008, 22:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา |
มีปีติบางชนิดเราต้องละ การที่จะเจริญจากฌาน 1 ไปสู่ฌาน 4 ได้ ต้องละปีติและสุข ไม่ละปีติแล้วจะก้าวไปสู่จตตุถฌานได้อย่างไร สติ สัมปชัญญะ เป็นตัวสำคัญ และวิปัสสนาคือการดูตามความเป็นจริงก็ตัวสำคัญ สมาธิก็สำคัญ สัมมาสมาธิเป็นฉันใด สัมมาสมาธิ กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ) เป็นอย่างไร?, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, วิวิจเจวะ กาเมหิ วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ. สงัดแล้วจากกามารมณ์ สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศล, สะวิตักกัง สะวิจารัง วิเวกชัมปิติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปัชฌะ วิหะระติ. เข้าถึงปฐมฌาน (ความเพ่งที่ ๑) ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปิติและสุข อันเกิดจากวิเวก, วิตักกะวิจารานัง วุปะสะมา. เพราะความวิตกวิจาร (ทั้ง๒)ระงับลง, อัชฌัตตัง สัมปะทานัง เจตะโส เอโกทิภาวัง อะวิตักกัง อะวิจารัง สะมาธิชัมปิติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงทุติยะฌาน (ความเพ่งที่๒) เป็นเครื่องผ่องใส ณ ภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอก ผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปิติและสุขที่เกิดจากสมาธิ, ปิติยา จะ วิราคา. อนึ่ง เพราะความที่ปิติวิราศ(ปราศ)ไป, อุเปกขะโก จะ วิหะระติ สะโต จะ สัมปะชาโน. ย่อมเป็นผู้เพิกเฉยอยู่ และมีสติสัมปชัญญะ, สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ. และเสวยความสุขด้วยกาย, ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีติ. อาศัยคุณคืออุเบกขา สติ สัมปชัญญะ และเสวยสุขอันใดเล่าเป็นเหตุ พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่าเป็นผู้อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข, ตะติยาฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงตติฌาน (ความเพ่งที่ ๓) สุขัสสะ จะ ปะหานา. เพราะละสุขเสียได้, ทุกขัสสะ จะ ปะหานา. เพราะละทุกข์เสียได้, ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา. เพราะความที่โสมนัส และโทมนัส(ทั้ง๒) ในกาลก่อนอัสดงค์ดับไป, อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปะริสุทธิง จตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงจตุตถฌาน (ความเพ่งที่ ๔) ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ) นี่ไงถึงกล่าวถึงว่าปีติที่ควรละ หากไม่ละแล้วจะก้าวไปสู่จตุตถฌาน ได้อย่างไรมันไม่ใช่เรื่องของวิธีการใครหรือของใครทั้งสิ้นนะ ส่วนปีติที่ควรรักษาไว้คือปีติที่เกิดจากความศรัทธา ทำอย่างไรจึงจะรักษาศรัทธาไว้ได้ เพราะปีติที่เกิดจากความศรัทธาทำให้เกิดวิริยะ อยากจะเล่าพระธรรมบทให้ฟัง แต่กลัวข้อความตกหล่นอาจทำให้ข้อความผิดเพี้ยนไปได้ถ้าใครพอจะรู้เรื่องพระธรรมบทนี้ช่วยแบ่งปันกันบ้าง เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาลมีเศษฐีคนหนึ่งขออภัยจำชื่อท่านไม่ได้ ท่านมาขอนิมินต์พระให้ไปรับการถวายทานที่บ้านท่าน ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ให้พระสารีบุตรไป แต่บังเอิญมีผู้หญิงคนหนึ่งได้นิมนต์ไว้ก่อน จึงต้องไปบ้านหญิงคนนี้ก่อนตัวท่านเศษฐีได้ขอสัญญาจากพระสารีบุตร 4 ข้อ ขออภัยจำได้ทั้งข้อเดียว เรื่องความศรัทธาพระสารีบุตรพูดว่า ความศรัทธา ท่านต้องรักษาด้วยตัวของท่านเอง เราไม่สามารถที่จะรักษาไว้ให้ได้ทีนี้พอถึงวันที่พระสารีบุตรจะต้องไปบ้านเศษฐีท่านนี้ ท่านก็มารับพระสารีบุตรระหว่างเดินทางจะมีท้องร่อง เป็นแถวๆตอนแรกเศษฐีมีความศรัทธาในตัวพระสารีบุตรมาก ตั้งใจว่าเมื่อไปถึงบ้านจะถวายผ้าไตรจีวรให้กับท่าน 500 ผืนเดินผ่านท้องร่องแรก พระสารีบุตรก็กระโดดข้ามท้องร่อง เศษฐีก็คิดว่า สมณะรูปนี้หาความสำรวมไม่ได้เลย ความศรัทธาที่มีอยู่ก็ลดน้อยลง ก็เลยตั้งใจว่าจะถวายแค่ 50 ผืนต่อมาท้องร่องที่2 พระสารีบุตรก็กระโดดอีก ท่านก็คิดในใจว่า จะถวายแค่ 1 ผืนคือความศรัทธามันลดลงไปเรื่อยๆต่อมาท้องร่องที่ 3 เศษฐีก็คิดว่า ถ้าพระสารีบุตรกระโดดอีกจะไม่ถวายเลยสักผืนเดียวแต่ที่ไหนได้ พอถึงท้องร่อง พระสารีบุตรกลับเดินอ้อมท้องร่องแบบสำรวมเศษฐีเกิดความแปลกใจเลยถามว่า ทำไมท่านถึงไม่กระโดดข้ามอีกพระสารีบุตรตอบว่า ขืนท่านกระโดด เศษฐีก็จะไม่ถวายพระไตรจีวรแก่ท่านล่ะสิเท่านี้เอง เศษฐีรู้แล้วว่า พระสารีบุตรท่านรู้วาระจิต รู้ว่าเศษฐี คิดอะไรอยู่ ท่านก็เกิดความศรัทะแรงกล้า ถวายผ้าไตรจีวรที่ตั้งใจไว้ 500 ผืนให้แก่พระรีบุตรและเศษฐีท่านนี้ก็สำเร็จเป็นพระโสดาบันเรื่องทั้งเรื่องก็คือพระสารีบุตรตั้งใจจะสอนท่านเศษฐีเรื่องความศรัทธา ว่าใครๆก็รักษาศรัทธาให้กับตัวเราไม่ได้ นอกจากตัวเราเองปีติ --มีวิธีอื่นอีกเยอะแยะที่สามารถไปดื่มด่ำปีติได้ ส่วนปีติในการทำสมาธินั้นเป็นตัวขัดขวางในการที่จะเจริญสมาธิในระดับขั้นต่อๆไป ในมหาสติปัฏฐานสูตรก็มีกล่าวอยู่ในเรื่องการละปีติแลสุข ต้องหมั่นเจริญสติให้มากๆถึงจะละได้หรือไม่ก็ขณะที่เกิดปีตินั้นก็พิจรณาไปจนกว่าจะเห็นถึงความไม่เที่ยงก็จะค่อยๆละลงไปได้ ส่วนปีติที่ควรรักษาไว้ รู้แล้วหรือยังคะว่าคืออะไร แสดงความคิดเห็นได้ค่ะ ไม่ใช่ว่าคุณแสดงข้อคิดเห็นที่แตกต่างไปจากนี้แล้วจะกลายเป็นว่าผิดนั้น ไม่ใช่ค่ะ เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นเท่าๆกันทุกคน ไม่มีใครถูกหรือผิด บางสิ่งที่เขารู้ เราอาจจะไม่รู้หรือรู้แล้วก็ได้ หรือบางสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ เขาอาจจะไม่รู้หรือรู้แล้วก็ได้ มาแชร์ๆข้อคิดเห็นกันค่ะ |
เจ้าของ: | แวะมา [ 16 ธ.ค. 2008, 23:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา |
นั่นแหละค่ะ ที่ตัวเองก็คิดไว้เหมือนกัน นักปฏิบัติจะเข้าใจดี การเข้าสู่วิมุต ต้องลดอสาวะต่างๆให้ใจไม่ยินดี ยินร้ายใน รัก โลภ โกธร หลง ซึ่งต้องอาศัยแรงศรัทธาและความเพียรอันไม่ลดละ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 17 ธ.ค. 2008, 05:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา |
คุณวลัยพร กรัชกายขอเล่นด้วยคนนะครับ ขอทายว่า "ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก" แบบวางเฉยๆครับ ![]() |
เจ้าของ: | ฌาณ [ 17 ธ.ค. 2008, 21:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา |
อ้างคำพูด: อะไรเอ่ย? ปีติอะไรที่ควรละ ปีติอะไรที่ควรรักษา ..... ตอบว่า ช่วงแรกอาจต้องอาศัยปิติก่อน รักษาปิติก่อน เป็นแพข้ามโอฆะก่อน หลังจากนั้นควรทิ้งแพ ควรละหมดเลยครับ ไม่ควรยึด ไม่ควรรักษา ถ้าหวังพระนิพพานเป็นที่สิ้นสุด |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |