วันเวลาปัจจุบัน 03 มิ.ย. 2025, 03:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2008, 19:37 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 17:29
โพสต์: 191

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีเจริญสติของพระพุทธเจ้านั้น เป็นไปเพื่อพบบรมสุขอันมหัศจรรย์ การจะรู้จักรสสุขอันมหัศจรรย์นั้น จิตต้องแปรสภาพเป็นดวงไฟใหญ่ล้างผลาญเชื้อแห่งทุกข์ให้สิ้นซาก ไม่หลงเหลือส่วนให้กลับกำเริบเกิดเป็นทุกข์ทางใจขึ้นได้อีก



จิตที่สว่างเป็นไฟใหญ่ล้างกิเลสนั้น คือภาวะแห่งการบรรลุมรรคผล เราไม่อาจบรรลุมรรคผลด้วยการควบคุมดินฟ้าอากาศหรือร่างกายภายนอกให้เป็นไปในทางใดๆ ทางเดียวที่จะทำได้คือเจริญสติ เพื่อพัฒนาจิตให้อยู่ในสภาพที่มีกำลัง มีความผ่องใส เป็นอิสระไม่หลง ‘ติดกับ’ เหยื่อล่อทั้งหลาย กระทั่งแก่กล้าพอจะยกระดับปฏิวัติตนเอง หมุนทวนกลับจากวังวนอุปาทานขึ้นสู่สภาพหลุดพ้นที่เด็ดขาด

หลุดพ้นจากอะไร? หลุดจากสิ่งที่นึกว่าเป็นตัวเรา หลุดพ้นจากความเกาะเกี่ยวที่ไร้แก่นสารทั้งปวง สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงให้มีสติรู้นั่นแหละ คือสิ่งที่เรากำลังเกาะเกี่ยว โดยนึกว่าเป็นเรา หรือสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของเรา

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงให้มีสติรู้มีอยู่ ๔ ประการ ได้แก่

๑) กายในกาย

หมายถึงให้รู้ส่วนใดส่วนหนึ่งของความเป็นกาย เช่น ขณะนี้หลังงอหรือหลังตรง รู้เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่ามีสติเห็นองค์ประกอบหนึ่งของกายแล้ว และเมื่อรู้เช่นนั้นได้ก็ให้ตามรู้ตามดูต่อไป ว่าจะมีสิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของกายได้อีก เช่นในกายนั่งหลังตรงหรือหลังงอนี้ กำลังต้องการลากลมเข้า หรือระบายลมออก หรือหยุดทั้งลมเข้าและลมออกสงัดนิ่งอยู่

ถ้าเพียรรู้กายในกายได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่ากายไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะส่วนย่อยหรือส่วนใหญ่โดยรวม เราจะรู้สึกอย่างที่กายปรากฏให้รู้สึก ไม่ใช่หลงยึดว่ากายเป็นเราอย่างที่กิเลสมันบงการให้ยึด และในความไม่ยึดกายนั่นเอง จิตย่อมคลาย มีความผ่องใสไม่เป็นที่ตั้งของความโลภโมโทสันและความเศร้าโศกทั้งหลาย



๒) เวทนาในเวทนา

หมายถึงให้ทราบความรู้สึกหนึ่งๆ เช่น ขณะนี้กำลังสบายหรืออึดอัด รู้เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่ามีสติเห็นหนึ่งในความรู้สึกแล้ว และเมื่อรู้เช่นนั้นได้ก็ให้เฝ้าตามรู้ตามดูต่อไป ว่าจะมีสิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของความรู้สึกสุขทุกข์ได้อีก ไม่จำกัดว่าต้องดูภาวะใดภาวะหนึ่งของเวทนาเพียงอย่างเดียว

ถ้าเพียรรู้เวทนาในเวทนาได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่าเวทนามีอยู่หลากหลาย และเหล่าเวทนาก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะสบายหรืออึดอัดเพียงใด เราจะรู้สึกอย่างที่เวทนาปรากฏให้รู้สึก ไม่ใช่หลงยึดว่าความสบายเป็นของเรา กับทั้งไม่หลงยึดว่าความอึดอัดเป็นเรื่องที่ต้องรีบกำจัดทิ้งไปจากเรา และในความไม่ยึดเวทนานั่นเอง จิตย่อมคลาย มีความผ่องใสไม่เป็นที่ตั้งของความโลภโมโทสันและความเศร้าโศกทั้งหลาย



๓) จิตในจิต

หมายถึงให้รู้ภาวะของจิตในขณะหนึ่งๆ เช่น ขณะนี้กำลังสงบนิ่งหรือขัดเคืองรำคาญ รู้เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่ามีสติเห็นภาวะของจิตขณะหนึ่งแล้ว และเมื่อรู้เช่นนั้นได้ก็ให้เฝ้าตามรู้ตามดูต่อไป ว่าจะมีสิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของความเป็นจิตได้อีก ไม่จำกัดว่าต้องดูภาวะใดภาวะหนึ่งของจิตเพียงอย่างเดียว

ถ้าเพียรรู้จิตในจิตได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่าจิตมีอยู่หลากหลาย และบรรดาจิตก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะสงบนิ่งหรืออยู่ในภาวะขัดเคืองรำคาญ เราจะรู้สึกอย่างที่จิตปรากฏสภาพให้รู้สึก ไม่ใช่หลงยึดว่าความสงบนิ่งควรเป็นสภาพดั้งเดิมของจิตเรา กับทั้งไม่หลงยึดว่าความขัดเคืองรำคาญต้องไม่เกิดขึ้นกับจิตของเรา และในความไม่ยึดจิตนั่นเอง จิตย่อมคลาย มีความผ่องใสไม่เป็นที่ตั้งของความโลภโมโทสันและความเศร้าโศกทั้งหลาย



๔) ธรรมในธรรม

หมายถึงให้รู้สภาพธรรมต่างๆในแต่ละขณะ เช่น ขณะนี้ระลอกความคิดผุดขึ้นหรือดับลง รู้เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่ามีสติเห็นสภาพธรรมในแต่ละขณะแล้ว และเมื่อรู้เช่นนั้นได้ก็ให้เฝ้าตามรู้ตามดูต่อไป ว่าจะมีสิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของสภาพธรรมต่างๆได้อีก ไม่จำกัดว่าต้องดูภาวะใดภาวะหนึ่งของสภาพธรรมเพียงอย่างเดียว

ถ้าเพียรรู้ธรรมในธรรมได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่าธรรมมีอยู่หลากหลาย และปวงธรรมก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าสิ่งที่ผุดขึ้นขณะนี้หรือสิ่งที่ลับล่วงไปแล้ว เราจะรู้สึกอย่างที่ธรรมปรากฏสภาวะให้รู้สึก ไม่ใช่หลงยึดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นเป็นเรา กับทั้งไม่หลงยึดว่าสิ่งที่ลับล่วงไปแล้วเคยเป็นเรา และในความไม่ยึดธรรมนั่นเอง จิตย่อมคลาย มีความผ่องใสไม่เป็นที่ตั้งของความโลภโมโทสันและความเศร้าโศกทั้งหลาย



จากความรู้สึกว่ากาย เวทนา จิต ธรรมไม่ใช่เรา จะพัฒนาจนกลายเป็นความรู้ชัดว่าไม่มีสิ่งใดเป็นเรา และเมื่อรู้ชัดอย่างต่อเนื่องย่อมคลายจากอาการยึดทั้งปวง เมื่อคลายจากอาการยึดทั้งปวงย่อมลิ้มรสความว่าง ว่ายอดเยี่ยมกว่ารสทั้งปวงปานใด
จากมหาสติปัฏฐานสูตร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2008, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ ครับ


เรื่อง มหาสติปัฏฐาน เป็นเรื่องหลักของการไปสู่ความสิ้นทุกข์



ไปขุดเอากลอน เก่าๆ มา
ขออนุญาต ร่วมในกระทู้ น่ะครับ


ทางสายเอก


อันเส้นทางที่ใช้ในโลกนี้
ล้วนแต่มีหลายหลากมากจุดหมาย
แต่มีอยู่เส้นทางหนึ่งถึงสบาย
ดับวุ่นวายใจเย็นด้วยเห็นธรรม

พระศาสดาชี้กระจ่างทางสายเอก
เป็นเช่นเฉกสิ่งประเสริฐสุดเลิศล้ำ
“มหาสติปัฏฐาน”ทรงแนะนำ
ให้จดจำถ้วนทั่วกันทุกชั้นชน

กาย-เวทนา-จิต-ธรรม คอยระลึก
เพียรหมั่นฝึกสืบสร้างทางกุศล
มีสติผ่องใสครองใจตน
สู่มรรค-ผล อมตะนฤพาน

แสนร่มเย็นเพลิดเพลินเดินทางนี้
เส้นทางที่ทุกข์จบประสบศานต์
เป็นทางลัดตัดตรงให้ไม่เนิ่นนาน
งามตระการเมื่อเดินจำเริญใจ

ระลึกรู้พร้อมพรัก”สักแต่ว่า”
เกิดปัญญาเห็นความว่างสว่างไสว
“เอกายนมรรค”สู่หลักชัย
ทางยิ่งใหญ่พุทธองค์ทรงประทาน

ทางสายเอก...ก่อเกิดธรรมล้ำพิสุทธิ์
ทางวิมุติ...สิ้นวนวัฏฏ์ตัดสังสาร
ทางนิโรธ...พาจิตตนพ้นบ่วงมาร
ทางนิพพาน...ให้หลุดพ้นทุกคนเอย


ตรงประเด็น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2008, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ในพระสูตรมีการกล่าวถึง

ศรัทธาที่เป็นใหญ่(สัทธินทรีย์) ย่อมยังให้บังเกิด ความเพียรที่เป็นใหญ่(วิริยินทรีย์)
ความเพียรที่เป็นใหญ่(วิริยินทรีย์) ย่อมยังให้บังเกิด สติที่เป็นใหญ่(สตินทรีย์)
สติที่เป็นใหญ่(สตินทรีย์) ย่อมยังให้บังเกิด สมาธิที่เป็นใหญ่(สมาธินทรีย์)
สมาธิที่เป็นใหญ่(สมาธินทรีย์) ย่อมยังให้บังเกิด ปัญญาที่เป็นใหญ่(ปัญญิณทรีย์)


สัทธาสูตร

http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?st ... yte=405601

ศรัทธาที่เป็นใหญ่(สัทธินทรีย์) ย่อมยังให้บังเกิด ความเพียรที่เป็นใหญ่(วิริยินทรีย์).. คือ เพียรที่จะเจริญสติ จึงบังเกิด สตินทรีย์ ตามมา

เมื่อมีสตินทรีย์แล้ว จังบังเกิด สมาธินทรีย์ คือ ได้ เอกัคคตาจิต ตามมา (สังเกตุ ในพระสูตร ระบุคำว่า เอกัคคตาจิต )

เมื่อมี สมาธินทรีย์ ก็จะบังเกิดปัญญิณทรีย์ อันนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ในที่สุด...




สตินทรีย์ หรือ สติที่เป็นใหญ่นี้ จะนำไปสู่ สมาธินทรีย์(เอกัคคตาจิต)...

คำว่า สมาธินทรีย์(เอกัคคตาจิต)นี้ หมายถึง จิตที่ตั้งมั่นชอบ ไม่ไหลไปกับอารมณ์...
คือ เมื่อ จิต กระทบกับอารมณ์ที่น่าพอใจก็ไม่เป็นไปด้วย....
จิต กระทบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจก็ไม่เป็นไปด้วย...
จึง ตั้งมั่นชอบ และ รู้ตามจริงได้



อนึ่ง เอกัคคตาจิต ที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระสูตรนี้ ที่แท้ก็คือ สัมมาสมาธิ นั่นเอง...

เอกัคคตาจิต ในพระสูตร"สัทธาสูตร"นี้ ไม่เหมือนกันทุกประการ กับ เอกัคตตาจิต แบบของฤาษี
ถึงแม้น ฌานในแบบของพระฤาษีทั่วๆไป(คัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาล ใช้คำว่า อารมัณูปฌิชฌาน) จะ ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์ เช่นเดียวกันกับ สัมมาสมาธิ... แต่ เอกัคตตาจิต แบบของฤาษี ไม่มีสตินทรีย์(การภาวนาตามแบบสติปัฏฐาน)เป็นเหตุนำ และ ไม่มีปัญญิณทรีย์(นำไปสู่การตรัสรู้)เป็นผลตามมา

และ เอกัคคตาจิต ที่เป็นสมาธินทรีย์ นี้... สามารถเกิดได้ ทุกขณะจิต ทุกอิริยาบถ ไม่จำเป็นต้องไปบังเกิดในขณะนั่งสมาธิเท่านั้น
เช่น ที่บังเกิด แด่ ท่านพาหิยะ ท่านสันตติมหาอำมาตย์ ขณะที่ส่งจิตตามพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์
และ ตรัสรู้ ณ ขณะนั้น เลย!!!



คำว่า "ไม่ไหลไปกับอารมณ์"นี้
ท่าน อาจารย์พุทธทาส ท่านใช้คำว่า "ไม่มีอารมณ์"(น่าจะตรงกับ พระบาลีที่ว่า ไม่เป็นอารัมณปัจจัยแห่งวิญญาณ)

จาก กระทู้เก่า

อ้างคำพูด:
viewtopic.php?f=1&t=18940
ทำไมทำวิปัสสนาไม่สำเร็จ
เพราะมันไม่มีความถูกต้องไม่มีอินทรีย์ห้าที่ถูกต้อง
แล้วมันก็ไม่มีความแข็งแกร่งทางกาย คือศีล
ไม่มีความแข็งแกร่งในทางจิตคือสมาธิ
แล้วมันก็ไม่มีความแข็งแกร่งทางสัมมัตตะ คือความถูกต้อง
มันก็ไม่มีความแข็งแกร่งทางสติปัญญาหรือทิฏฐิ ความคิดความเห็น
แล้ว มันก็ไม่มีความแข็งแกร่งในทางที่จะไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ มันสู้อารมณ์ไม่ได้ มันมีอารมณ์เสียเรื่อย มีอารมณ์เหลือเฟือ
นี่มันก็ไม่มีทางที่จะนิพพานได้


คำว่า สมาธินทรีย์(เอกัคคตาจิต)นี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจาก สตินทรีย์... หรือ จะกล่าวให้กระชับ ก็คือ สัมมาสมาธิ เป็นผลสืบเนื่องมาจาก สัมมาสติ

และ สมาธินทรีย์ นี้ คือ ความแข็งแกร่งของจิต ที่จะไม่ไหลไปกับอารมณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2008, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย


ท่าน เคยกล่าวไว้ว่า จิตที่มีมหาสติ จะสามารถประคับประคองจิตให้ดำรงอยู่ในสภาพปกติไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ ได้ง่าย




โอวาทธรรม หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย

ถ้าสติมันกลายเป็นมหาสติ จะสามารถประคับประคองจิตให้ดำรงอยู่ในสภาพปกติไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ ได้ง่าย

เมื่อสติตัวนี้เป็นมหาสติแล้ว เพิ่มพลังขึ้นด้วยการฝึกฝนอบรม กลายเป็น สตินนทรีย์

เมื่อสติตัวนี้กลายเป็นสตินนทรีย์แล้ว พอกระทบอะไรขึ้นมา จิตจะค้นคว้าพิจารณาไปเองโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อสติตัวนี้กลายเป็นสตินนทรีย์ เป็นใหญ่ในอารมณ์ทั้งปวง ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกับว่า จิตของเราสามารถเหนี่ยวเอาอารมณ์มาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ได้ หรือ เอากิเลสมาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ได้ เพราะ สติตัวนี้เป็นใหญ่ย่อมมีอำนาจเหนืออารมณ์ และสามารถใช้อารมณ์ให้เกิดประโยชน์ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ สติตัวนี้จะกลายเป็น สติวินโย

ในเมื่อสติตัวนี้กลายเป็นสติวินโย..... สมาธิ สติ ปัญญา ของผู้ปฏิบัติมีสมรรถภาพดียิ่งขึ้น




ปล...

หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย ท่านกล่าวถึง จิตที่ไม่หวั่นไหวต่ออามณ์...

ผมเห็นว่า ท่านกำลัง กล่าวถึง สัมมาสมาธิ เช่นกัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron