ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
หลวงปู่มั่นเคยเกิดเป็นสุนัข http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=18881 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | เสฏฐวุฒิ [ 01 พ.ย. 2008, 21:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | หลวงปู่มั่นเคยเกิดเป็นสุนัข |
![]() หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เล่าว่า ในสมัยที่หลวงปู่มั่นจำพรรษาที่ถ้ำไผ่ขวาง น้ำตกสาริกา จังหวัดนครนายก การนั่งสมาธิของหลวงปู่มั่นในครั้งนี้ท่านใช้เวลา 3 วัน 3 คืนโดยไม่แตะต้องอาหารเลย กลางวันหรือกลางคืนเหมือนกันหมด สว่างไสว ซึ่งปรากฏให้เห็นทุกอย่างแม้แต่เม็ดทราย ความผ่องใสของจิตใจนี้ ท่านได้พิจารณาโดยพลังแห่งกระแสจิต แล้วยังระลึกชาติในหนหลังได้ว่า "นับแต่ย้อนหลังไป...ท่านได้เกิดเป็นสุนัข การเกิดเป็นสุนัขของท่านนานนัก" หลวงปู่กงมาได้ถามท่านว่า "ท่านอาจารย์ครับ เหตุใดท่านอาจารย์จึงเกิดเป็นสุนัขนานนัก" หลวงปู่มั่นบอกว่า "เพราะการเป็นสุนัข ความรักใคร่ชอบอยู่กับสุนัขด้วยกัน ก็เป็นเหตุให้ต้องเกิดเป็นภพแห่งสุนัขเรื่อยไป" หลวงปู่มั่นท่านเล่าต่อ "ขณะที่ท่านทราบว่าท่านเป็นสุนัขนั้น ท่านสลดจิตมากที่สุด ทำให้ท่านได้เห็นทุกขสัจจะเข้ามากทีเดียว" ![]() |
เจ้าของ: | ศิรัสพล [ 03 พ.ย. 2008, 11:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นเคยเกิดเป็นสุนัข |
สาธุ ![]() ขอบคุณท่าน เสฏฐวุฒิ ที่นำธรรมะดีมีประโยชน์มาให้อ่านครับ |
เจ้าของ: | ทางเดินที่พ้นทุกข์ [ 03 พ.ย. 2008, 19:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นเคยเกิดเป็นสุนัข |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | nene [ 16 ม.ค. 2009, 22:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นเคยเกิดเป็นสุนัข |
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 421 ว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็มาเนรมิตมณฑป สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ งามน่าดูอย่างยิ่ง เสมือนวงดวงจันทร์งามนักหนา. ถวายมหาทาน แด่พระ สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ณ มณฑปนั้น ๗ วัน. เวลาอนุโมทนาภัตทาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เมื่อล่วงไปหนึ่งอสงไขย กำไรแสนกัป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า สมัยนั้น เราเป็นยักษ์มีฤทธิ์มาก เป็นใหญ่ มี- อำนาจเหนือยักษ์หลายโกฏิ. แม้ครั้งนั้น เราก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้น เลี้ยงดูพระผู้นำโลก พร้อมทั้งพระสาวกให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำ. ครั้งนั้นพระมุนีผู้มีพระจักษุบริสุทธิ์ แม้พระองค์ นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ในกัปที่หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป. เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้วก็ร่าเริง สลดใจ อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีให้ บริบูรณ์. แก้อรรถ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺตรึ วตมธิฏฺสึ ความว่า เรา ได้ทำความยากนั่นมั่นคงยิ่งขึ้นไป เพื่อให้บารมีบริบูรณ์. พระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสีพระองค์นั้น ทรงมีพระนคร ชื่อว่า จันทวดี พระชนกพระนามว่า พระเจ้ายสวา พระชนนีพระนามว่า พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 422 ยโสธรา คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระนิสภะ และ พระอโนมะ พระ- พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระวรุณะ คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสุนทรี และ พระสุมนา โพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นอัชชุนะ พระสรีระสูง ๕๘ ศอก พระชนมายุแสนปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิริมา พระโอรส พระนามว่า อุปวาณะ ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี พระองค์เสด็จ อภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือวอ. ส่วนการเสด็จไป พึงทราบความตามนัยที่กล่าวมา แล้ว ในการเสด็จโดยปราสาท ในการพรรณนาวงศ์ของพระโสภิตพุทธเจ้า. พระเจ้าธัมมกะ เป็นอุปัฏฐาก เล่ากันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารธัมมาราม. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระศาสดาอโนมทัสสี มีพระนครชื่อว่าจันทวดี พระชนกพระนามว่าพระเจ้ายสวา พระชนนีพระนาม ว่า พระนางยโสธรา. พระศาสดาอโนมทัสสี มีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระนิสภะ และ พระอโนมะ พระอุปัฏฐากชื่อว่าวรุณะ พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสุนทรี และพระสุมนา โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียก ว่าต้นอัชชุนะ ไม้กุ่ม. พระมหามุนีสูง ๕๘ ศอก พระรัศมีของพระองค์ แล่นออกเหมือนดวงอาทิตย์. ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี พระองค์เมื่อทรง มีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมาก ให้ข้ามโอฆสงสาร. พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 423 ปาพจน์ คือ ธรรมวินัย อันพระอรหันต์ ทั้งหลาย ผู้คงที่ ปราศจากราคะ ไร้มลทิน ทำให้บานดีแล้ว ศาสนาของพระชินพุทธเจ้า จึงงาม. พระศาสดา ผู้มีพระยศประมาณมิได้นั้นด้วย คู่ พระอัครสาวก ผู้มีคุณที่วัดไม่ได้เหล่านั้นด้วย ทั้งนั้นก็ อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้. แก้อรรถ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปภา นิทฺธาวตี ความว่าพระรัศมีแล่น ออกจากพระสรีระของพระองค์. พระรัศมีแห่งพระสรีระ แผ่ไปตลอดเนื้อที่ ประมาณสิบสองโยชน์อยู่เป็นนิตย์. บทว่า ยุคานิ ตานิ ได้แก่ คู่มีคู่พระ- อัครสาวกเป็นต้น. บทว่า สพฺพ ตมนฺตรหิต ความว่า ประการดังกล่าว แล้วเข้าสู่ปากอนิจจลักษณะแล้วก็หายไปสิ้น. ปาฐะว่า นนุ ริตฺตกเมว สงฺขารา ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้น ความว่า สังขารทั้งปวง ก็ว่างเปล่าทั้งนั้นแน่แท้. ม อักษร ทำบทสนธิต่อบท. ในคาถาที่เหลือทุกแห่ง ง่ายทั้งนั้นแล. คู่พระอัครสาวกคู่นี้ คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ก็ได้ทำ ปณิธานเพื่อเป็นพระอัครสาวก ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า อโนมทัสสี พระองค์นี้. ก็เรื่องพระเถระเหล่านี้ ควรกล่าวในเรื่องนี้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ยก ขึ้นโดยนัยที่พิศดารในคัมภีร์. จบพรรณนาวงศ์พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า อ่านพระไตรปิฎกแล้ว ไม่เคยสงสัยในการเกิดของเราเลยว่าใครจะเคยเกิดเป็นอะไร |
เจ้าของ: | AAAA [ 18 ม.ค. 2009, 17:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่มั่นเคยเกิดเป็นสุนัข |
![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |