ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

มนุษย์ล่าสุขหรือล่าไฟ ?
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=18334
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  kkk1111 [ 14 ต.ค. 2008, 17:58 ]
หัวข้อกระทู้:  มนุษย์ล่าสุขหรือล่าไฟ ?

ตามล่าหาความสุข

ปัจจุบัน มนุษย์พากันไล่ล่าหาความสุขให้กับตัวเองต่างๆ นานา ตามความคิดความเชื่อของแต่ละคน คนมีเงินก็ไปพักผ่อนด้วยการไปเที่ยวต่างประเทศ หรือการไปเที่ยวไกลๆ ภายในประเทศ คนเหนือก็ไปดูทะเล คนใต้ก็มาสัมผัสหนาวบนดอยสูง หากจะแบ่งประเภทการพักผ่อนหาความสุขของผู้คนในสังคมแล้ว ก็พอจำแนกได้ดังนี้
1. ท่องเที่ยว ทัศนาจร
2. ดูหนัง ฟังเพลง
3. ดูกีฬา เช่น ฟุตบอล มวย
4. เที่ยวกลางคืน ดื่มสุรา เต้นรำ
5. เล่นกีฬา เช่น กีฬายิงนก ตกปลา
6. เที่ยวธรรมชาติ เช่น เข้าป่า ปีนเขา
7. เที่ยวแบบเดินสายทัวร์บุญ 9 วัด
8. เล่นการพนัน เล่นไพ่ เล่นบอล เล่นมวย
9. เล่นเกมอินเตอร์เน็ต
10. แชต ชู้สาว อินเตอร์เน็ต
11. ดูทีวีอยู่บ้าน
12. ไปประท้วงรัฐบาล
13. ไปเป็นกองเชียร์รัฐบาล
14. หางานอดิเรกทำ เช่น เข้าป่าหาเห็ด ทำสวน
15. ไปเรียนอะไรเพิ่มเติม
16. เข้าวัดทำสมาธิ
17. ไปตระเวณเยี่ยมเจ้าแม่ เจ้าพ่อ เพื่อขอหวย
18. ไปหาหมอดูดวง
19. ไปหาหมอนวดคลายเส้น
20. ไปร้องเพลงคาราโอเกะ
21. ไปประกวดร้องเพลง เต้นรำ นายแบบ นางแบบ
22. ไปหาดูสาวตามที่ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า
23. ไปเดินเล่นชอบปิ้ง และเดินโชว์หนุ่มไปในตัวด้วย
24. ไปเป็น เอ็นจีโอ
25. ไปแสดงออกเพื่อให้คนรู้ว่าก็มีกูอยู่ในโลก เช่น ซิ่งรถ เด็กแว้น สปอยเกริล์ ฯ
26. ไปมั่วสุมเสพยาเสพติด
27. มุ่งหาเสพกาม
28. ออกเดินธุดงค์ แสวงหาบุญ
29. แสวงหาสำนักปฏิบัติธรรม บวชชีพราหม์
ฯลฯ ช่วยนึกต่อบ้าง ดิ

จะเห็นว่า การไล่ล่าหาความสุขของมนุษย์ บางอย่างก็เสียเงินทอง จึงมีหลายคนกอบโกยจนร่ำรวยจากการไล่ล่าหาความสุขของมนุษย์มากมาย เช่น บริษัทเกี่ยวกับเพลง ทีวี ภาพยนตร์ เกมส์ อินเตอรเน็ต ฯ บางกิจกรรม ก็เสียทั้งเงินและสุขภาพ บางอย่างก็เสียนิสัย บางอย่างก็อันตราย บางอย่างก็เป็นภัยต่อสังคมและตนเอง แต่ที่ทุกคนต้องเสียแน่นอน ก็คือ เสียเวลา และโอกาส ในชีวิต ที่จะพบเจอความสุขที่แท้จริง เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งนานมาแล้ว ที่พูดถึงคนที่พยายามตามหาความสุข สุดท้ายก็พบว่า แท้จริงความสุขอยู่ในใจ อยู่ภายในใจนี่เอง การที่มนุษย์ คิดว่าความสุขอยู่ที่นั่นทึ่นี่ เช่น ต้องมีเงินเยอะๆ มีบ้านหลังใหญ่ๆ ไปเที่ยวทั่วโลก มีเมียร้อยคน มีรถรุ่นใหม่ ใหม่เท่ห์กว่าใคร ทำให้มนุษย์ต้องเหน็ดเหนื่อยทุ่มเท ทำงานหนัก ร่ำเรียนกันหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่เด็กอนุบาลจนโต จบมาทำงาน ก็ต้องแข่งขัน เพื่อสร้างโอกาส บางครั้งก็ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สุดท้ายเมื่อไปถึงจุดหมายที่คิดว่า ใช่ ความสุข หลายคนเริ่มรู้สึกผิดหวัง จะเห็นว่า แม้เป็นนายกแล้วก็ไม่เห็นมีความสุขเลย บ้านใหญ่แล้ว ไปเที่ยวมาหมดแล้ว เมียก็มีสวยสุดๆ แล้ว แต่ความสุขมันหายไปไหน เคยสงสัยไหม ทำไมคนทึ่สำเร็จแล้ว ต้องใช้ยาเสพติด หรือคิดสั้นฆ่าตัวตาย
หลายคนก็หันไปปฏิบัติธรรม มีกรรมวิธีต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ ไปทำสมาธิ จะเพ่งอะไรก็แล้วแต่ เพ่งคำภาวนา เพ่งลมหายใจ เพ่งกายเคลื่อนไหว เพ่งสิ่งของภายนอก หรือสวดมนต์ภาวนา ก็ล้วนแต่เป็นการทำสมาธิ ส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ คิดว่านี่คือการค้นพบความสุขที่แท้จริง คือความสงบ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่ เพราะเราไม่สามารถทำให้มันสงบเย็นได้อยู่ตลอดเวลา สมาธิเหล่านี้ไม่ใช่สัมมาสมาธิ สุขไม่เที่ยง ไม่เกิดปัญญา นอกจากกิเลสไม่ได้ลดลงแล้ว แต่ยังอาจเพิ่มพูนปะทุขึ้นมาได้อีก การรักษาศีล กินเจ ก็ไม่ใช่ทางที่ใช่เลย เสียทีเดียวเพราะ สุดท้าย จิตใจก็ยังสับส่ายดิ้นรน ไม่สามารถอดทน ต่อการผิดหวังในเรื่องราวต่างๆ ของชีวิตได้
แล้วทำอย่างไรดีล่ะ แกะรอยพระพุทธเจ้าสิครับ ท่านเสพสุขทางกามมาเท่าไร ในฐานะเจ้าชายสุดรักของเสด็จพ่อ และมาออกป่าธุดงต์ตามล่าหาอาจารย์ จนสำเร็จวิชาสมาธิขั้นสูงสุด ก็ยังไม่ใช่ ตัดสินใจทรมานร่างกายเพื่ออุทิศชีวิตให้กับการตามล่าหาความสุขแท้ ก็ยังไม่เป็นผล
สุดท้าย ท่านค้นพบว่า ปล่อยวาง ใช้เกียร์ว่าง ไม่ต้องกดคันเร่ง และก็ไม่เหยียบเบรค ชีวิตมันดำเนินไปของมันเอง ไม่ต้องไปทำอะไรสักอย่าง มันจะไปของมันเอง เป็นของมันเอง ถอยออกมานิดๆ อยู่ตรงกลางไม่ต้องเร่ง(แสวงกินกามเกียรติ) และไม่ต้องฝืน(ศีล-สมาธิ) แค่เพียงเฝ้าดูรู้ปล่อย ลองหลับตา แล้วลืมตา บ่อยๆ จะรู้ว่า สิ่งที่ตารู้ คือสี ไม่ต้องสนใจความหมายของสิ่งที่เห็น รู้ว่าหลับตา กับลืมตา ต่างกันอย่างไร เห็น แต่ไม่ต้องตามหาความหมาย เหมือนยามนั่งเฝ้าประตู มีคนผ่านเข้ามา ก็รู้ว่าผ่าน แต่ไม่ต้องถามชื่อว่าเป็นคนหรือเป็นใคร ไม่ต้องสนด้วยว่าร้ายหรือดี ไม่ต้องใส่อารมณ์ว่าชอบหรือเกลียด แค่รู้ว่ามีการผ่านเข้ามาก็พอ ช่องหู ก็เสียงที่ปรากฏ ช่องจมูก ก็กลิ่นที่รู้ ช่องลิ้น ก็รสที่ลิ้น ช่องกายก็สัมผัส ทางกาย ลองขยับกายแล้วสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้น รู้ปล่อยๆ ช่องใจ ก็อารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด แต่ไม่ต้องไปตามความคิด ทั้งหมดนี้เรียกว่า สติ
แค่ปล่อยความคิด แต่ให้สติ เป็นยาม แรกๆ ยามก็ รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ว่ามีใครเข้าใครออก เพราะยามมีคนเดียว แต่ประตูมีตั้ง 6 ช่อง เป็นธรรมดา อย่าไปกังวลใจ ทำใจให้สบายๆ เราต้องการอิสระภาพ ความสุข ที่แท้จริงไม่ใช่หรือ ยิ้มๆ น้อย คอยสังเกต ระลึกรู้ ก็รู้ รู้ก็ปล่อย ไม่รู้ก็ต้องปล่อยเหมือนกัน ทำไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ทำเพื่อได้ เพื่อมี เพื่อเป็น จริงๆ แล้ว เป็นการปล่อยมากกว่า ไม่ใช่การทำ ทำมาเยอะแล้ว ไม่เคยหยุดทำ คิดมาเยอะแล้ว ไม่ใช่การคิด การปล่อยจึงยาก แต่ถ้าใครปล่อยได้ ความสุขก็อยู่ภายในนี่เอง ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องเหนื่อยยาก และผิดหวังในที่สุด แถมเป็นความสุขที่เที่ยงแท้แน่จริงอีกด้วย หากต้องการผู้ชี้แนะ บอกเลยว่าพระหรือครูบาอาจารย์ที่รู้จริงมีไม่กี่คนในโลก เท่าที่ผมรู้จัก และชัวร์ มีอยู่สองคน แม้ผมจะไม่เคยพบท่าน แต่เท่าที่ได้ฟังธรรม อ่านหนังสือของท่าน ก็มั่นใจ ได้แก่ อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ขอขอบพระคุณอาจารย์ ผมแอบฟังธรรมของอาจารย์อยู่บ่อยๆ เดี๋ยวนี้สบายหาได้ง่ายในอินเตอร์เน็ต และอีกอาจารย์ เพิ่งค้นพบ คือ พระอาจารย์ปราโมช ปราโมชโช สักวันอยากจะไปกราบนมัสการท่าน ที่จริงอาจมีอาจารย์ที่สอนได้ถูกต้อง อยู่อีก แต่คิดว่าคงไม่มากและนับตัวได้ แต่ผมไม่ค่อยทราบ เพราะคิดว่าเจอทางแล้ว เลยไม่ค่อยวิ่งหาเท่าไร ความสุขอยู่ภายใน เหลืออยู่ปล่อยให้มันวิวัฒนาการของมันไปเอง แต่ขอบอกสำนักที่ใหญ่ๆ ดังๆ น่ะไม่ใช่แน่นอน ที่จริงไม่อยากตำหนิใคร แต่ถ้าไม่กระตุกกันบ้าง สังคมคงหลงทาง กันหมดทั้งประเทศ...... อาเมน

เจ้าของ:  ฌาณ [ 14 ต.ค. 2008, 21:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มนุษย์ล่าสุขหรือล่าไฟ ?

มนุษย์ล่าสุข... แต่ไม่รู้ว่าเจอไฟแทน
ยังคิดว่า...ไฟมันคือความสุข...
ทำไมจึงคิดเช่นนั้น...
:b34: :b34: :b34:

เจ้าของ:  kokorado [ 14 ต.ค. 2008, 23:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มนุษย์ล่าสุขหรือล่าไฟ ?

ผมมองว่าทักษะเรื่องการสร้างวัตถุมาปรนเปรอตัวเองนี่ มนุษย์ถนัดมาก เทคโนโลยีเกิดใหม่ทุกวัน แต่วิธีการหาความสุข เนี่ย คนส่วนใหญ่ถือว่าไม่ประสาเลยนะ ไปหาความสุขทางกาม กันเป็นส่วนใหญ่ ทั้งทีพระพุทธเจ้าตรัสว่ากามมีคุณน้อยมีโทษมาก ทำอย่างไรได้เพราะมนุษย์ก็คือสัตว์ที่อยู่ในกามภพ ผมคิดว่า คนในเว็บนี้คงจะค้นพบแล้วว่า ศาสนานี่แหละที่ให้ความสุขที่แท้จริงแก่เราได้

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 15 ต.ค. 2008, 01:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มนุษย์ล่าสุขหรือล่าไฟ ?

มันก็เป็นอัธยาศัยนะคับ

ถ้าผมไปมองพวกสัตว์ที่ต่ำกว่าเรา
ที่มันมีกิจวัตรประจำวันแบบ กินๆ นอนๆ เช่น หมู หมา กา ไก่
แล้วผมไปวิพากย์วิจารณ์มันว่า พวกนี้โง่ ไม่รู้จักทำสิ่งฉลาดๆ
อุตส่าห์เกิดมาในแดนพุทธภูมิ มีพระพุทธศาสนา มัวแต่ไปกินๆ นอนๆ ปล่อยให้เขาฆ่าแกง
ไม่รู้จักหันมาค้นหานิพพานกัน

ก็แปลว่า ผมค่อนข้างจะอวดดี ว่าเรานี้มีของดี รู้ของดี เข้าใจของดี คนอื่นโง่ ไม่รู้จักของดี

........

ซึ่งความจริงควรจะเอาอย่างพระพุทธเจ้า
เราไม่เพ่งโทษคนอื่น ไม่เหยียดคนอื่น อยู่กับตน ด้วยตน ของตน


บัวมี 4 เหล่า ใครมีอัธยาศัยอย่างไรก็ช่างเขา
บัวเหล่าที่อยู่ใต้โคลน เขาก็ต้องกินต้องใช้โคลน เพื่อเลี้ยงอัตภาพของเขา

บัวไหนพ้นน้ำแล้ว ก้ต้องกินแสงแดด จะได้บาน จะได้ส่งกลิ่นหอมออกไป
ไม่มีบัวบานดอกไหนไม่เคยเป็นบัวในตมมาก่อน
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่อุบัติขึ้นแล้วบานเลย มาจากตมเหมือนกัน ธรรมชาติมันเป้นอย่างนั้น

บัวในตมก็ต้องกินโคลน
บัวบานก้ต้องกินแสงแดด

เราคิดว่าเราบาน แล้วไปดูถูกต่อว่าพวกในตม ว่าเขาไม่รู้จักฉลาดที่จะมากินแสงแดด
อันนี้เราไม่พอดี ไม่รู้จักหน้าที่ ...เราผิดธรรมชาติ

เราไปคิดแทนคนอื่นว่าเขาต้องรู้อะไรเหมือนเรา
หนักเข้า เราจะเป็นพวกชอบยัดเยียดความคิดให้คนที่เขาไม่ยินดีจะรับ ไม่พร้อมจะรับ


เมื่อก่อนผมก็คิดแบบคุณแหละ ว่าเห็นคนไปทัวร์เก้าวัด เจ็ดวัด กินน้ำมนต์ ลากสังขารไปทำอะไรไร้สาระ
หรือลำพังแค่ท่องชื่อพระเจ้า (ในมหายาน) หรือแค่ร้องเพลงตีกลอง (วัชระญาน)
แล้วเชื่อไปต่างๆนาๆว่าจะได้อย่างนั้น จะได้อย่างนี้ ฯลฯ
ผมเคยคิดว่ามันไร้สาระ ตลก โง่ เหนื่อยเปล่า

แต่พอรู้อะไรมากๆเข้า เรากลับยินดีที่เขาทำๆกันอย่างนั้น
เขามีแค่นั้น แล้วได้แค่นั้น ก็ถือว่าดีมากๆ น่ายินดีมากๆ
ก่อนไปก็มีความสุข กำลังทำก้มีความสุข ขากลับก้มีความสุข
ถ้าเกิดความตายมาแทรกลงตรงนั้น ก็มีเปอร์เซ็นต์มากที่เขาจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาบ้าง มนุษย์บ้าง
ยังพอลุ้นว่ามาเจอพระพุทธศาสนาอีกได้ เกิดเป็นคนเป็นเทพยังจะพัฒนาต่อไปให้ถึงนิพพานได้
ถือว่าน่ายินดีมากๆ

ยังดีกว่าพวกที่เสพติดความโมโหโทโส ชอบคิดอะไรที่มันไม่ค่อยดี คอยแต่จะส่งส่ายจิตใจไว้ในอกุศลจิต จนเคยชินเป้นนิสัย
ถ้าเกิดความตายมาแทรกลงฉับพลัน รับรองไปว่า ได้ไปเป็นอสุรกายบ้าง เปรตบ้าง
หาทางโงหัวไม่ขึ้นเลย การจะกลับมาเกิดเป็นคนได้อีกนับว่ายากมากที่สุด


พระพุทธเจ้าก็โดนปรนเปรอด้วยความสุขสุดๆมาก่อน ถึงได้อยากรู้จักว่าทุกข์สุดๆ มันสุดตรงไหน
ในขณะที่คนทั่วไปจำนวนมากกิดมาก้ลำบากสุดๆ ... ถึงได้อยากรู้จักว่าสุขสุดๆ มันสุดตรงไหน
ไม่แปลกหรอกที่เคนเราที่มีทุกข์มากๆ จะเพียรหาแต่ความสุข
ใครมีความสุขมากๆ ก็เพียรหาความทุกข์
ทั้งเจ้าชายสิทธัตถะ ทั้งเราๆท่านๆ ก็เหมือนๆกัน
คือเบื่อทางสุดโต่งข้างหนึ่ง เลยมุ่งหาความสุดโต่งอีกข้างหนึ่ง

พอเขาได้พบทั้งสองข้างแล้ว ธรรมชาติจิตมันก็เบื่อ ทุกข์ก็เสื่อมได้ สุขก็เสื่อมได้
อยากสุขตลอดก็ทำไม่ได้ อยากทุกข์ตลอดก็ทำไม่ได้

จนเขาหน่าย เบื่อ ทางสุดทั้งสองข้าง "เบื่อความมี"
เมื่อนั้นเขาก้จะสนใจอะไรที่มันอยู่ตรงกลางๆเอง "เขาจะหันมาสนใจมาทดลองความไม่มี" เอง
เขาวิ่งหาพระพุทธเจ้าเอง
เราไม่ต้องไปเดือดร้อนแทนเขาให้มาก เราจะเดือดร้อนเอง

เจ้าของ:  อินทรีย์5 [ 18 มิ.ย. 2009, 15:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มนุษย์ล่าสุขหรือล่าไฟ ?

เอากระทู้เก่าๆมาปัดฝุ่นหน่อย ถึงเก่าๆ แต่ก็น่าอ่านดี

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 18 มิ.ย. 2009, 16:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มนุษย์ล่าสุขหรือล่าไฟ ?

:b8: :b8: :b8:

คำท่านว่า
เที่ยวไปรอบโลก
ก็ไม่มีความสุขเท่ากับเที่ยวรอบตัวเราเอง

จริงแท้เช่นไร ลองคิดกันดูนะครับ


:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  อมิตาพุทธ [ 18 มิ.ย. 2009, 16:49 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มนุษย์ล่าสุขหรือล่าไฟ ?

เปรียบเหมือน แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ :b1:
สาธุ ครับ
:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  natdanai [ 18 มิ.ย. 2009, 18:19 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มนุษย์ล่าสุขหรือล่าไฟ ?

ฌาณ เขียน:
มนุษย์ล่าสุข... แต่ไม่รู้ว่าเจอไฟแทน
ยังคิดว่า...ไฟมันคือความสุข...
ทำไมจึงคิดเช่นนั้น...
:b34: :b34: :b34:

มนุษย์หรือแมงเม่ากันนี่ :b32: :b32:

ต้องฟังเพลง "แมงเม่าเหงาใจ"....ของบ่าววี....ท่านกรัชกายถ้าไม่ลำบากก็จัดให้ฟังด้วยนะครับ :b13:

เจ้าของ:  แมวขาวมณี [ 19 มิ.ย. 2009, 00:01 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: มนุษย์ล่าสุขหรือล่าไฟ ?

อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
พระอาจารย์ปราโมช ปราโมชโช

ด้วยความเคารพ ติดตามข้อเขียนทั้ง 2 ท่านมาหลายปีแล้วค่ะ

ปฏิบัติ ๆ ๆ

:b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/