วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 246 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2016, 05:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
โยม....หลักภาวนาง่ายๆนะ

1.กำหนดสติไว้กับลมหายใจเข้าออกจนนิวรณ์ 5 ดับ ความนึกคิดฟุ้งซ่านหยุด
ลมหายใจสงบ (หยุดคิด ....บัญญัติหยุดทำงานไปชั่วคราว สภาวธรรมต่างๆจะดำเนินไปด้วยกำลังแห่งเหตุและปัจจัยโดยไม่มีความคิด บัญญัติมาขัดขวาง
เหลือแต่อนัตตาสภาวะที่เป็นปรมัตถ์ล้วนๆ ปัญญาปรมัตถ์คือรู้ที่ใจตรงๆไม่มีความคิดจะรู้เห็นสภาวธรรมทั้งหมดตามที่มันเป็นจริงจนเกิดความเบื่อหน่ายคลายจางละวาง สลัดคืนทุกสิ่งทุกอย่างสู่ธรรมชาติเดิมแท้)


บัญญัติหยุดทำงาน..เอย
สภาวธรรมดำพเนินไปด้วยกำลังเหตุปัจจัย..เอย
บัญญัติขัดขวาง..เอย
เหลือแต่อนัตตาสภาวะ..เอย
ปรมัตถ์ล้วนๆ..เอย

ที่มาพร่ำพรรณาได้อยู่นี้....ก็คิดล้วน ๆ.. :b13: :b13: :b13:


asoka เขียน:

2.กำหนดสติไว้ที่ตัวรู้ หรือ ผู้รู้ ซึ่งก็คือปัจจุบันอารมณ์นั่นเอง นี่เป็นขั้นเจริญปัญญาหรือวิปัสสนาภาวนานั่นเอง

ปัญญารู้โดยปรมัติ (ไม่ใช้ความคิด)

ปัญญารู้ปรมัตถบัญญัติและโลกียบัญญัติ ตามจริงและตามสมมุติในตำราคำสอนก็เกิดขึ้น (กลับมาใช้ความคิด)
:b38:
เข้าใจไหมนี่กรัชกับกบ
s006


เข้าใจ..ยิ่งกว่าเข้าใจ.. :b32: :b32:
และเข้าใจด้วยว่า..อโสกะเข้าใจผิดตรงไหน?.. :b12:

อโสกะ..เข้าใจผิด...หมด...

ทั้ง...หยุดคิดจึงรู้...(รู้ปรมัตถ์จากการหยุดคิด)
เพราะคิดจึงรู้..(กลับมาใช้ความคิดจึงรู้ในบัญญัติ)

อโศกะ..เข้าใจเพราะนึกคิดเอา..คาดเดาเอา..ปนเปกันระหว่าง...การคิด...กับ...การรู้...ซึ่งก็เหมือนๆคนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาปฏิบัติ

อโสกะ..จึงซีเรียส..กลัวการคิดเพราะคิดว่าจะไม่ถึงปรมัตถ์อะไรนั้นของอโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2016, 06:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b17:
กบก็คิดตอบเอาอยู่ดีนั่นแหละไม่มีหลักฐานทางการปฏิบัติจริงอะไรมาอิงอ้างเลย
และเดี๋ยวสักพักก็คงไปคัดลอกตำรามาเกทับคนอื่นอีกเหมือนเคย

:b7:
จะบอกให้ว่าอโศกะพิสูจน์ด้วยการทำจริงแล้วถึงมาพูดนะจะบอกให้ สังเกตดูให้ดีๆสิ มีสติปัญญาสังเกตรู้ไหม?
onion Kiss :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2016, 06:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การคิด...กับ..การรู้...แยกกันคนละส่วน

การรู้..ก็มีระดับความลึกตื้นต่างกัน แยกอย่างง่าย ๆ...ได้..2 ระดับ...(น่าจะแยกได้ละเอียกกว่านี้..แต่ยังไม่ถึง)

1 การรู้ระดับยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม(ของจิต)...บางครั้งการเปลี่ยนแปลงก็เป็นเพียงชั่วคราว.....ดีควรจะทำอย่างนี้...ทำอย่างนี้ไม่ดี..เป็นต้น...เป็นการรู้ระดับในเหตุผล...หากมีเหตุผลที่ดีกว่าเดิมก็เปลี่ยนแปลงได้อีก..เช่นบางคนนับถือศาสนาพุทธดีดี..ต่อมาก็เปลี่ยนศาสนาเพราะเห็นว่าศาสนานั้นดีกว่า..เป็นต้น...การรู้ระดับนี้เป็นการรู้ที่ยังไม่สามารถชนะกิเลสได้.

2 การรู้ระดับที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม(ของจิต)ได้ถาวร...จากเคยผิดศีล...ก็จักไม่ผิดศีลอีกเลย...เป็นต้น

การรู้ของหลายๆคน...ก็ต้องไล่เรียงกันไปจากเบื้องต้นไปเบื้องปลาย

บางคน...ก็อาจจะตัดไปที่การรู้ระดับเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ทันที..

ก็ขึ้นอยู่กับบารมีที่สะสมมาของแต่ละคน...

จากตัวอย่าง..

อ้างคำพูด:
เมื่อใดเธอเห็น รูป แล้ว สักว่าเห็น,


หากท่านพาหิยะ ไม่คิดไม่พิจารณากระทำตาม...ไม่กระทำตามในใจว่า..เห็นรูปแล้วสักแต่ว่าเห็น..นั้นอย่างไร...ตามพระดำรัส...แล้วท่านพาหิยะจะเห็นจะพบข้อติดขัดเฉพาะตนได้อย่างไร?...

การคิดพิจารณา...อย่างหนึ่ง
การรู้...ก็อย่างหนึ่ง

เป็นคนละส่วนกัน

ผู้ไม่รู้...ก็จะเอามาปนกัน...

มาดูฉบับเต็ม..

อ้างคำพูด:
เมื่อใดเธอ
เห็น รูป แล้ว สักว่าเห็น,
ได้ฟังเสียง แล้ว สักว่าฟัง,
ได้กลิ่น, ลิ้มรส, สัมผัสทางผิวกาย, ก็สักว่า
ดม ลิ้ม สัมผัส,
ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว ;
เมื่อนั้น “เธอ” จักไม่มี.
เมื่อใด “เธอ” ไม่มี ;
เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้,
ไม่ปรากฏในโลกอื่น,
ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง :
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ.
อุ. ขุ. ๒๕ / ๘๓ / ๔๙.
----------------------------


การไม่มี..ครั้งแรกสุด..ยังไม่ได้หมายถึงที่สุดแล้ว...ยังจะมีขั้นตอนเป็นขั้นๆไปอีก...เพียงแต่ท่านพาหิยะทำขั้นๆทั้งหลายเหล่านั้นในคราวเดียว...

มาดูบารมีของเราเรา..หากเราเราบุญบารมีมีครบ..ก็คงทำสำเร็จไปแล้ว..ก็เมื่อยังเห็นๆอยู่ว่ายังไม่สำเร็จ...ทางทั้ง 37 ..ก็ต้องขวนไขวกันไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2016, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
smiley
แผนภูมิทั้งหลายนั้นเขียนออกมาจากผลปฏิบัติ ไม่ใช่เขียนออกมาก่อนการปฏิบัติ

เป็นรายงานผลการทดลองค้นคว้าวิจัย ไม่ใช่แผนการค้นคว้าวิจัย

คนฉลาดมีสติปัญญาดีที่อ่านผลวิจัยออกได้บ้างก็ยังคงพอมีนะครับในลานนี้

onion
:b37:


ต้องพูดยังงี้ขอรับ

กลั้นลมหายใจจนสมองขาดอ๊อกซิเยนแล้วหน้ามืดหัวทิ่มหมอน (เป็นเหตุ) แล้วลุกขึ้นมาวาดแผนภูมิ (เป็นผล) คิกๆๆ :b32:

:b7:
ยังไม่ได้ทดลองทำก็มามโนตอบมั่วๆอีก ทำดูดีๆก่อนแล้วค่อยมาวิตกวิจารณ์
อย่าให้ชวดเชยสิ่งดีๆไปเสียด้วยอำนาจสักกายทิฏฐิ มานะทิฏฐิของตนเลยกรัชกาย


"รู้มาก ยากนาน"

"ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"


"ธรรมใดก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ"
onion



ท่านอโศกเขาเป็นอะไร และจะแก้ยังไง

อ้างคำพูด:
ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทางท่าน.....คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็น ร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ

อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บาง อาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมี ตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง

ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ


เดี๋ยวจะรู้ว่ามีค่าหรือไร้ค่า :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2016, 07:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
นั่งภาวนาโดยกำหนดรู้ลมหายใจและวางเฉยต่อเวทนาถือว่าใช้ได้
แต่ภายหลังเกิดร้อนร่างกาย ปวดหัวแล้วลามไปเป็นทั่วตัว

อาการอย่างนี้เป็นไปได้หลายสาเหตุเช่น

1.สติไม่ทันปัจจุบันไปเผลอเพ่งลมหายใจหรือเวทนาตัวใดตัวหนึ่ง ถ้ามีเพ่งความเครียดเคร่งจะเกิดตามมา แก้ไม่ตกก็จะลามไปเป็นปวดหัวแก้ไม่เป็นก็จะลุกลามไปทั่วเนื้อทั่วตัว

2.เป็นวิบากของอดีตกรรมมาแสดง เราเรียกว่าโรคกรรม

วิธีแก้

นำผู้ฏิบัติคนนี้มาสอบอามณ์ให้ดีๆและละเอียดก่อนเพราะอาจมีสาเหตุอื่นที่ซ่อนอยู่ไม่ได้พูดบอกออกมา

แนะนำให้เจริญสติให้เข้มข้นยิ่งขึ้นถ้าจะเอาลมหายใจเป็นกรรมฐานเป็นสมถะภาวนาก็ต้องพยายามอย่าให้สติหลุดจากลมหายใจไปคิดนึกหรือยึดอารมณ์อื่น

ถ้าจะเอาลมหายใจเป็นฐานวิปัสสนาภาวนาเหมือนคำแนะนำในอานาปานสติ 16 ขั้นตอน ก็ให้เอาสติกำหนดรู้ลมสลับกับรู้ปัจจุบันอารมณ์ไปเรื่อยๆจนธรรมเจริญไปตาม 16 ขั้นตอน

ถ้าจะเอาเป็นสติปัฏฐาน 4 และวิปัสสนาล้วนๆ ก็ให้ปล่อยวางการกำหนดทุกอย่าง แล้วตั้งใจใหม่(มนสิการ)ว่าจะเจริญสติให้รู้อยู่แต่กับปัจจุบันอารมณ์ แล้ว เอาความยินดียินร้ายในทุกผัสสะอารมณ์ออกให้ได้เสมอๆ จากนั้นก็สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์ความรู้สึก หลังจากนั้นถ้าอาการปวดหัวหรือเจ็บเสียดแทงตามตัวมันเป็นโรคกรรมตามมาจริงมันจะมาปรากฏเป็นปัจจุบันอารมณ์ของจิต ก็จงใช้สูตรสำเร็จเดิมคือ

[size=150]"นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์นั้นๆจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"[/size]

เวทนา อารมณ์และความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นมาให้รู้ในจิตนั้นเปรียบได้กับเจ้ากรรมนายเวรที่มาทวงเอาหนี้ ถ้าผู้ปฏิบัติมีสติปัญญานิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป หนี้กรรมนั้นจะถูกชดใช้ เวทนาอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นจะดับไปหายไปไม่กลับมาอีกเหมือนเจ้าหนี้รายนั้นได้รับการชดใช้หนี้ไปแล้ว

ปวดหัวของศิษย์กรัชกายที่สาธยายมาจะดับหายเป็นปลิดทิ้งไม่ได้พบกันอีกถ้าทำตามสูตร นี่คือวิปัสสนาล้วนๆ
:b37:


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 21 พ.ค. 2016, 14:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2016, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศก พรรณนาแต่ชื่อ ดี ๆ ถูกใจ พูดถึงแล้วมีความสุข มีความหวัง เช่น วิปัสสนา มรรค ผล นิพพาน อริยสัจ 4 ไม่เวียนว่ายตายเกิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฯลฯ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2016, 14:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศก พรรณนาแต่ชื่อ ดี ๆ ถูกใจ พูดถึงแล้วมีความสุข มีความหวัง เช่น วิปัสสนา มรรค ผล นิพพาน อริยสัจ 4 ไม่เวียนว่ายตายเกิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฯลฯ :b32:

s004
แฉลบคิดฟุ้งไปในเรื่องอื่นอีกแล้วแล้วที่ตอบมาให้นี่พอเข้าใจ นำไปใช้บอกสอนศิษย์ที่มีปัญหาได้ไหมล่ะ ทำไมไม่พูดเรื่อนี้ให้จบก่อน ค่อยไปเรื่องใหม่ มีสมาธิในการคุยหน่อยนะกรัชกาย ตั้งตนเป็นอาจารย์สอนศิษย์แล้วต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์ทั้งหลายหน่อย
:b16:
ที่ว่าอโศกะพรรณาแต่ชื่อดีๆอะไรนั่นไปสรุปมาจากไหน แล้วมันไม่ดีหรือที่จะให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติ สัจธรรมมันเป็นอย่างไรมีเหตุปัจจัยให้ต้องพูดก็พูดไปตามนั้นไม่ได้เสแสร้งแต่งปลอมอะไรให้ผู้ศึกษาไขว้เขวสับสน ไม่ดีหรือครับ
s004
หลักการภาวนาที่แนะนำมาคราวนี้เป็นมาตรฐานที่ใช้ได้มีผลให้เกิดความเจริญก้าวหน้าจนสำเร็จธรรมได้มากมาย แต่เป็นรูปแบบภาษาง่ายๆที่ไม่ทิ้งหลักการเดิมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนลองไปทดสอบทดลองกับลูกศิษย์หรือด้วยตนเองแล้ววิเคราะห์ประเมินผลออกมาดูสิ

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์นั้นๆจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ทำได้อย่างนี้เท่ากับเจริญสติปัฏฐาน 4 ....เจริญมรรค 8 หรือเจริญปัจจุบันอารมณ์ไปในตัวเลยทีเดียว
:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2016, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศก พรรณนาแต่ชื่อ ดี ๆ ถูกใจ พูดถึงแล้วมีความสุข มีความหวัง เช่น วิปัสสนา มรรค ผล นิพพาน อริยสัจ 4 ไม่เวียนว่ายตายเกิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฯลฯ :b32:

s004
แฉลบคิดฟุ้งไปในเรื่องอื่นอีกแล้วแล้วที่ตอบมาให้นี่พอเข้าใจ นำไปใช้บอกสอนศิษย์ที่มีปัญหาได้ไหมล่ะ ทำไมไม่พูดเรื่อนี้ให้จบก่อน ค่อยไปเรื่องใหม่ มีสมาธิในการคุยหน่อยนะกรัชกาย ตั้งตนเป็นอาจารย์สอนศิษย์แล้วต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์ทั้งหลายหน่อย
:b16:
ที่ว่าอโศกะพรรณาแต่ชื่อดีๆอะไรนั่นไปสรุปมาจากไหน แล้วมันไม่ดีหรือที่จะให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติ สัจธรรมมันเป็นอย่างไรมีเหตุปัจจัยให้ต้องพูดก็พูดไปตามนั้นไม่ได้เสแสร้งแต่งปลอมอะไรให้ผู้ศึกษาไขว้เขวสับสน ไม่ดีหรือครับ
s004
หลักการภาวนาที่แนะนำมาคราวนี้เป็นมาตรฐานที่ใช้ได้มีผลให้เกิดความเจริญก้าวหน้าจนสำเร็จธรรมได้มากมาย แต่เป็นรูปแบบภาษาง่ายๆที่ไม่ทิ้งหลักการเดิมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนลองไปทดสอบทดลองกับลูกศิษย์หรือด้วยตนเองแล้ววิเคราะห์ประเมินผลออกมาดูสิ

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์นั้นๆจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

ทำได้อย่างนี้เท่ากับเจริญสติปัฏฐาน 4 ....เจริญมรรค 8 หรือเจริญปัจจุบันอารมณ์ไปในตัวเลยทีเดียว
:b37:


เอาไงกันแน่ เดี๋ยวก็บอกให้กลั้นลมหายใจ นี่มาให้สำรวมกายใจ ฯลฯ ว่าเท่ากับเจริญสติปัฏฐาน 4 มรรคผลอีกแระ

ผิดจากที่พูดไหมล่ะน่า :b13: ว่าเลือกพูดแต่ชื่อ (บัญญัติ) ข้อธรรม ดีๆ เพื่อให้สบายใจ มีความหวัง มีความสุข จริงๆไม่ได้แกล้งว่า :b1:

กล่าวคือการปฏิบัติทางจิต หรือบำเพ็ญเพียรทางจิตใจนั่น (หรือชื่ออื่นๆ) มีทั้งดี (กุศลจิต) ไม่ดี (อกุศลจิต) และปฏิกิริยาของจิตที่เป็นกุศล อกุศลก็กระทบถึงใจกาย ทุกขณะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2016, 15:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
กรัชกายหลงกระทู้แล้ว เรื่องกลั้นลมหายใจจะมีรายละเอียดบอกกล่าวในกระทู้เรื่อง "ลมหายใจคือกุญแจไขความลับของชีวิตและธรรมะ"

กระทู้นี้กำลังถึงตอนที่อโศกะช่วยตอบและบอกย้ำถึงวิธีแก้ปัญหาที่ศิษย์ของกรัชกายถามอยู่นะครับ

:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2016, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กรัชกายหลงกระทู้แล้ว เรื่องกลั้นลมหายใจจะมีรายละเอียดบอกกล่าวในกระทู้เรื่อง "ลมหายใจคือกุญแจไขความลับของชีวิตและธรรมะ"

กระทู้นี้กำลังถึงตอนที่อโศกะช่วยตอบและบอกย้ำถึงวิธีแก้ปัญหาที่ศิษย์ของกรัชกายถามอยู่นะครับ


อ้างคำพูด:
วิธีแก้ปัญหาที่ศิษย์ของกรัชกาย


มโนอีก ไหนศิษย์กรัชกาย คิกๆๆ

ท่านอโศก ควรเรียนปริยัติ คือ ตำราที่ได้รับการรับรองก่อน แล้วหลังจากนั้น จึงลงมือ (ทำ) ปฏิบัติ (ปริยัติ ปฏิบัติ..) แต่นี่ปริยัติก็ไม่เรียน ปฏิบัติก็ไม่ทำ จึงเป็นอย่างเห็นๆนี่ล่ะ

เปรียบง่ายๆ เบื้องต้นเหมือนเรียนรู้วิธีปลูกบ้าน (ปริยัติ) แล้วก็ลงมือทำลงมือสร้างบ้านตามนั้น (ปฏิบัติ) เมื่อทำบ้านเสร็จแล้วก็เท่ากับปฏิเวธ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2016, 21:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
นั่งภาวนาโดยกำหนดรู้ลมหายใจและวางเฉยต่อเวทนาถือว่าใช้ได้
แต่ภายหลังเกิดร้อนร่างกาย ปวดหัวแล้วลามไปเป็นทั่วตัว

อาการอย่างนี้เป็นไปได้หลายสาเหตุเช่น

1.สติไม่ทันปัจจุบันไปเผลอเพ่งลมหายใจหรือเวทนาตัวใดตัวหนึ่ง ถ้ามีเพ่งความเครียดเคร่งจะเกิดตามมา แก้ไม่ตกก็จะลามไปเป็นปวดหัวแก้ไม่เป็นก็จะลุกลามไปทั่วเนื้อทั่วตัว

2.เป็นวิบากของอดีตกรรมมาแสดง เราเรียกว่าโรคกรรม

วิธีแก้

นำผู้ฏิบัติคนนี้มาสอบอามณ์ให้ดีๆและละเอียดก่อนเพราะอาจมีสาเหตุอื่นที่ซ่อนอยู่ไม่ได้พูดบอกออกมา

แนะนำให้เจริญสติให้เข้มข้นยิ่งขึ้นถ้าจะเอาลมหายใจเป็นกรรมฐานเป็นสมถะภาวนาก็ต้องพยายามอย่าให้สติหลุดจากลมหายใจไปคิดนึกหรือยึดอารมณ์อื่น

ถ้าจะเอาลมหายใจเป็นฐานวิปัสสนาภาวนาเหมือนคำแนะนำในอานาปานสติ 16 ขั้นตอน ก็ให้เอาสติกำหนดรู้ลมสลับกับรู้ปัจจุบันอารมณ์ไปเรื่อยๆจนธรรมเจริญไปตาม 16 ขั้นตอน

ถ้าจะเอาเป็นสติปัฏฐาน 4 และวิปัสสนาล้วนๆ ก็ให้ปล่อยวางการกำหนดทุกอย่าง แล้วตั้งใจใหม่(มนสิการ)ว่าจะเจริญสติให้รู้อยู่แต่กับปัจจุบันอารมณ์ แล้ว เอาความยินดียินร้ายในทุกผัสสะอารมณ์ออกให้ได้เสมอๆ จากนั้นก็สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์ความรู้สึก หลังจากนั้นถ้าอาการปวดหัวหรือเจ็บเสียดแทงตามตัวมันเป็นโรคกรรมตามมาจริงมันจะมาปรากฏเป็นปัจจุบันอารมณ์ของจิต ก็จงใช้สูตรสำเร็จเดิมคือ

[size=150]"นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์นั้นๆจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"[/size]

เวทนา อารมณ์และความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นมาให้รู้ในจิตนั้นเปรียบได้กับเจ้ากรรมนายเวรที่มาทวงเอาหนี้ ถ้าผู้ปฏิบัติมีสติปัญญานิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป หนี้กรรมนั้นจะถูกชดใช้ เวทนาอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นจะดับไปหายไปไม่กลับมาอีกเหมือนเจ้าหนี้รายนั้นได้รับการชดใช้หนี้ไปแล้ว

ปวดหัวของศิษย์กรัชกายที่สาธยายมาจะดับหายเป็นปลิดทิ้งไม่ได้พบกันอีกถ้าทำตามสูตร นี่คือวิปัสสนาล้วนๆ
:b37:


:b32: :b32: :b32:

คนไข้ก็ต้องไปหาหมอ..ซี...อโสกะ

ที่ไปหามาแล้ว..นั้นนะ...ไปหาผิดหมอ..

ต้องไปหาหมอจิตเวช..คราบ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2016, 11:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
อืม!.....อาจจะจริงที่ว่าคนที่สอบถามการปฏิบัติธรรมคนนี่ป่วย

แต่การที่กบวินิจฉัยไปทางเดียวว่าเขาป่วยทางกาย จะต้องไปหาหมอ นั่นอาจวินิจฉัยผิดพลาดก็ได้และถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องมาถามเป็นปัญหาธรรมะ

แต่ดูจากรายงานอารมณ์ของคนผู้นี้มันเป็นเรื่องที่เนื่องมาจากการปฏิบัติธรรมเพราะฉนั้นอาการป่วยของคนผู้นี่น่าจะเป็นการป่วยทางจิตวิญญาณมากกว่าการป่วยทางกาย จำเป็นต้องใช้ธรรมโอสถคือ วิปัสสนาภาวนามาบำบัดจึงจะหายจากอาการทั้งหมดนี้ได้ ดังวิธีการที่อโศกะแนะนำมา ลองเอาไปใช้รักษาน้องคนนี้ดูก่อนนะครับ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2016, 11:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกายหลงกระทู้แล้ว เรื่องกลั้นลมหายใจจะมีรายละเอียดบอกกล่าวในกระทู้เรื่อง "ลมหายใจคือกุญแจไขความลับของชีวิตและธรรมะ"

กระทู้นี้กำลังถึงตอนที่อโศกะช่วยตอบและบอกย้ำถึงวิธีแก้ปัญหาที่ศิษย์ของกรัชกายถามอยู่นะครับ


อ้างคำพูด:
วิธีแก้ปัญหาที่ศิษย์ของกรัชกาย


มโนอีก ไหนศิษย์กรัชกาย คิกๆๆ

ท่านอโศก ควรเรียนปริยัติ คือ ตำราที่ได้รับการรับรองก่อน แล้วหลังจากนั้น จึงลงมือ (ทำ) ปฏิบัติ (ปริยัติ ปฏิบัติ..) แต่นี่ปริยัติก็ไม่เรียน ปฏิบัติก็ไม่ทำ จึงเป็นอย่างเห็นๆนี่ล่ะ

เปรียบง่ายๆ เบื้องต้นเหมือนเรียนรู้วิธีปลูกบ้าน (ปริยัติ) แล้วก็ลงมือทำลงมือสร้างบ้านตามนั้น (ปฏิบัติ) เมื่อทำบ้านเสร็จแล้วก็เท่ากับปฏิเวธ

:b9:
สรุปเอาเอง มโนเอาเองนะกรัชกาย

อโศกะเจริญมาตามช่องทาง ปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวทอย่างแน่นอนไม่มั่วนิ่มอย่างกรัชกาย ที่ได้แต่มากปริยัติ ปฏิบัติน้อย ปฏิเวทยังไม่มีและไม่ชัด

บ้านธรรมะของอโศกะสร้างเสร็จเป็นรูปร่างยังค้างแต่งานตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์เกือบพร้อมที่จะเข้าอาศัยอยู่ได้อย่างสุขสบายกายสบายใจแล้ว

:b11:
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2016, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกายหลงกระทู้แล้ว เรื่องกลั้นลมหายใจจะมีรายละเอียดบอกกล่าวในกระทู้เรื่อง "ลมหายใจคือกุญแจไขความลับของชีวิตและธรรมะ"

กระทู้นี้กำลังถึงตอนที่อโศกะช่วยตอบและบอกย้ำถึงวิธีแก้ปัญหาที่ศิษย์ของกรัชกายถามอยู่นะครับ


อ้างคำพูด:
วิธีแก้ปัญหาที่ศิษย์ของกรัชกาย


มโนอีก ไหนศิษย์กรัชกาย คิกๆๆ

ท่านอโศก ควรเรียนปริยัติ คือ ตำราที่ได้รับการรับรองก่อน แล้วหลังจากนั้น จึงลงมือ (ทำ) ปฏิบัติ (ปริยัติ ปฏิบัติ..) แต่นี่ปริยัติก็ไม่เรียน ปฏิบัติก็ไม่ทำ จึงเป็นอย่างเห็นๆนี่ล่ะ

เปรียบง่ายๆ เบื้องต้นเหมือนเรียนรู้วิธีปลูกบ้าน (ปริยัติ) แล้วก็ลงมือทำลงมือสร้างบ้านตามนั้น (ปฏิบัติ) เมื่อทำบ้านเสร็จแล้วก็เท่ากับปฏิเวธ

:b9:
สรุปเอาเอง มโนเอาเองนะกรัชกาย

อโศกะเจริญมาตามช่องทาง ปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวทอย่างแน่นอนไม่มั่วนิ่มอย่างกรัชกาย ที่ได้แต่มากปริยัติ ปฏิบัติน้อย ปฏิเวทยังไม่มีและไม่ชัด

บ้านธรรมะของอโศกะสร้างเสร็จเป็นรูปร่างยังค้างแต่งานตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์เกือบพร้อมที่จะเข้าอาศัยอยู่ได้อย่างสุขสบายกายสบายใจแล้ว



นักธรรมะปลอมๆ มีที่อาศัยยังไม่พอ จะเอาเฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับตกแต่งอีก ผิดศีลนะรู้ไหมน่ะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2016, 22:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
อืม!.....อาจจะจริงที่ว่าคนที่สอบถามการปฏิบัติธรรมคนนี่ป่วย

แต่การที่กบวินิจฉัยไปทางเดียวว่าเขาป่วยทางกาย จะต้องไปหาหมอ นั่นอาจวินิจฉัยผิดพลาดก็ได้และถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องมาถามเป็นปัญหาธรรมะ

แต่ดูจากรายงานอารมณ์ของคนผู้นี้มันเป็นเรื่องที่เนื่องมาจากการปฏิบัติธรรมเพราะฉนั้นอาการป่วยของคนผู้นี่น่าจะเป็นการป่วยทางจิตวิญญาณมากกว่าการป่วยทางกาย จำเป็นต้องใช้ธรรมโอสถคือ วิปัสสนาภาวนามาบำบัดจึงจะหายจากอาการทั้งหมดนี้ได้ ดังวิธีการที่อโศกะแนะนำมา ลองเอาไปใช้รักษาน้องคนนี้ดูก่อนนะครับ

onion


:b32: :b32:

อโสกะ...ตีโจทย์ผิดแล้ว..

กายนี้...มีทั้งรูป..และ..นาม...กายและใจ

เขาไปหาหมอมาแล้ว..คือ...เอกซ์เรย์มาแล้วแต่ไม่เห็นอะไร...ไปฝั่งเข็มมาแล้วแต่ไม่ช่วยอะไร...

ก็เหลือแต่หมอจิตเวช...รักษาทางพฤติกรรมของจิต...รึแม้แต่คนที่ปฏิบัติเป็นก็จะแนะนำได้ถูก..ว่า

เขาควรต้องผ่อนคลาย...ลดอาการอยากได้เร็ว ๆ..เพราะคร่ำเคร่งหวังผลมากเกินไป...

แต่อโสกะ..ยังแนะนำให้เขามาคร่ำเคร่งกับการวิปัสสนาอีก...ชั่งไม่รู้อะไรเสียเลย
:b32: :b32:

ไปพรวนดิน..รดน้ำต้นไม้...ดายหญ้า...ใส่ปุ๋ย...เอาที่สบายใจ...บอกให้เลิกปฏิบัติ..กลายเป็นการปฏิบัติ...อโสกะคงไม่เคย.. :b13: :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 246 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร