วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 17:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
[สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
ผมไม่ได้โกรธจริงๆนะ แต่ผมแค่ไม่เข้าใจว่าตรงที่ผมได้ใส่ดีแดงไว้นั่นแหละครับ คือมันดูเหมือนว่าพี่อ่านแล้วตีความว่าผมสำนึกแต่ที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ แต่ไม่ได้สำนึกในบาปกรรมที่ผมก่อไว้กับพ่อแม่และคนอื่นๆ ในเรื่องที่เคยทำผิดไปนะครับ ผมถึงตั้งคำถามนั้นกับพี่ว่าพี่อ่านไม่ดีรึเปล่าหรือว่าพี่ปรุงแต่งความหมายเกินกว่าประโยคที่ผมใส่สีแดงเอาไว้ พี่ถึงบอกว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ หิริ โอตตัปปะ ซึ่งผมทราบว่าพี่รู้จักหิริ โอตตัปปะดี จึงได้ถามย้ำกลับไปอีกครั้งแค่นั้นเอง

ผมตีความคำพูดของใคร ผมจะเอาจากเหตุครับ
คุณกล่าวไว้เรื่องกลัวพ่อแม่เสียใจ แถมมามีประโยคว่า พ่อแม่มารู้ภายหลังว่า
คุณทำตัวไม่ดี การที่คุณเอาหิริโอตัปปะมากล่าว คุณเอามาโดยไม่เข้าใจในความหมาย
หิริแปลว่า ละอายต่อบาปที่กระทำ โอตัปปะเกรงกลัวต่อบาปที่กระทำ
ทั้งเกรงกลัวและละอายต่อบาป มันเป็นเรื่องการผิดศีลห้าครับ

ผมเอาคำที่คุณกล่าวไว้ตอนแรก พ่อแม่สอนเรื่อง บาปบุญศีลห้า
แต่คุณไม่ปฏิบัติตามโดยพ่อแม่ไม่รู้ แต่ต่อมาพ่อแม่เกิดรู้เข้าว่าคุณไม่อยู่ในศีลห้า
คุณกลับละอายเกรงกลัวขึ้นมา
คุณเอาหิริโอตัปปะมาอ้างว่าละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาปไม่ได้
เพราะคุณรู้เรื่องศีลห้าเป็นอย่างดีแล้ว แต่คุณไม่รักษาแสดงว่า คุณไม่มีหิริโอตัปปะ
พอพ่อแม่คุณรู้ว่า คุณไม่รักษาศีล คุณกลับอ้างว่า เกรงกลัวบาป
ถามครับถ้าพ่อแม่คุณยังไม่รู้ว่าคุณไม่รักษาศีล
คุณจะยังละอายเกรงกลัวบาปมั้ยครับ จะบอกให้ครับความเกรงกลัวบาป
มันต้องมีโดยไม่ต้องรอให้พ่อแม่รู้เรื่องก่อนหรอกครับ

ลูกพระป่า เขียน:
[อันนี้ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดินนะเนี่ย...ถ้าพี่บอกว่าเรื่องรักๆหลงๆคือเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของโมหะนี่ผมจะไม่ค้านซักคำเลยครับ แต่พี่กลับบอกว่าเรื่องรักๆหลงๆคือความโกรธ ความโลภ ผมรับไม่ได้จริงๆครับ พิจารณาดีๆครับ ความโลภมันคือความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ไม่มีพอดี ความโกรธ โทสะ มันคือความคิดเบียดเบียน พยาบาทอาฆาตมาตร้าย นะครับ ทั้งอารมณ์และอาการอะไรมันตรงข้ามกับความรักเลยนะครับ แต่ถ้าไม่ว่ายังไงก็จะเอามันมารวมกันให้เป็นก้อนเดียวกันให้ได้ ผมก็จนใจครับ :b8: :

มันเป็นคำตอบที่เจาะลึกและตรงประเด็นที่สุดเลยครับ
เพียงแต่คุณไม่มีความรู้เรื่อง อภิธรรม ปรมัตถ์ธรรม
เรื่องจิต เจตสิก รูปนิพพาน
สิ่งที่คุณพูดมันเป็นเรื่องการปรุงแต่ง ยึดมั่นในสัญญา
และการเอาสมมุติบัญญัติมาใช้ในการปรุงแต่งครับ
อยากอธิบายให้ฟัง แต่กลัวเสียเวลา ผมว่าคุณควรไปศึกษาบ้างนะครับ
พระอาจารย์ไม่ได้แนะนำให้อ่าน เรื่องที่มีประโยชน์แบบนี้หรือครับ
อย่ามัวอ่านน้ำบนใบบัวอยู่เลยครับ :b13:
ลูกพระป่า เขียน:
โชคดีของผมครับที่พระอาจารย์ของผมท่านไม่ได้กล่าวแบบนี้ ไม่งั้นผมคงไม่นับถือท่านและไม่มีโอกาสเห็นธรรมถึงเพียงนี้
ขอบคุณครับ :b8:

ดีแล้วครับอย่ามาเชื่อผม และหวังว่าคงไม่ได้ถ่ายรูปขนาดโปรเตอร์ไว้นะครับ
ว่าแต่ว่าเห็นธรรมแล้ว เห็นจากน้ำบนใบบัวหรือครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 23:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
อ้างคำพูด:
ลูกพระป่า เขียน:
[อันนี้ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดินนะเนี่ย...ถ้าพี่บอกว่าเรื่องรักๆหลงๆคือเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของโมหะนี่ผมจะไม่ค้านซักคำเลยครับ แต่พี่กลับบอกว่าเรื่องรักๆหลงๆคือความโกรธ ความโลภ ผมรับไม่ได้จริงๆครับ พิจารณาดีๆครับ ความโลภมันคือความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ไม่มีพอดี ความโกรธ โทสะ มันคือความคิดเบียดเบียน พยาบาทอาฆาตมาตร้าย นะครับ ทั้งอารมณ์และอาการอะไรมันตรงข้ามกับความรักเลยนะครับ แต่ถ้าไม่ว่ายังไงก็จะเอามันมารวมกันให้เป็นก้อนเดียวกันให้ได้ ผมก็จนใจครับ :b8: :
มันเป็นคำตอบที่เจาะลึกและตรงประเด็นที่สุดเลยครับ
เพียงแต่คุณไม่มีความรู้เรื่อง อภิธรรม ปรมัตถ์ธรรม
เรื่องจิต เจตสิก รูปนิพพาน
สิ่งที่คุณพูดมันเป็นเรื่องการปรุงแต่ง ยึดมั่นในสัญญา
และการเอาสมมุติบัญญัติมาใช้ในการปรุงแต่งครับ
อยากอธิบายให้ฟัง แต่กลัวเสียเวลา ผมว่าคุณควรไปศึกษาบ้างนะครับ
พระอาจารย์ไม่ได้แนะนำให้อ่าน เรื่องที่มีประโยชน์แบบนี้หรือครับ
อย่ามัวอ่านน้ำบนใบบัวอยู่เลยครับ :b13:

**ผมขอศึกษาจากพี่ตรงนี้เลยนะครับ ถือว่าเมตตาผมเถอะครับ สละเวลาบอกผมหน่อยว่า ความโกรธ ความโลภของพี่มันคือความรักตรงไหน ได้ยังไง จะแสดงออกมาเป็นเรื่องอภิธรรม ปรมัตถธรรม 4 แบบที่ไม่ใช่และไม่มีสมมติบัญญัติได้จะยิ่งดีมากครับ ขอแบบเนื้อๆเน็ตๆให้ผมหายโง่ทีเถอะครับ แต่ถ้าจะบอกว่ามันเป็นการปรุงแต่งของจิตเหมือนกันไม่เที่ยงเหมือนกันแบบนี้ทำนองนี้ ไม่เเอานะครับ ถ้ายังงั้นก็บอกไปเลยว่ามันคืออวิชชาไปเลยดีกว่าครับ
**พระอาจารย์ผมท่านแนะนำเรื่องที่มีประโยชน์หลายเรื่องครับ แต่ผมมันโง่เขลาเบาปัญญาครับ รู้ได้แค่ภูมิที่ตัวเองถึงเท่านั้น ไอ้ที่เกินภูมิตัวเองมันก็ได้แค่จำๆเอาแหละครับ ไม่กล้าพูดว่ารู้ออกมาจากปากตัวเองหรอกครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ลูกพระป่า เขียน:
คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ


:b6:ขออนุญาตร่วมแสดงความเห็น(ส่วนตัว)นะค่ะ

ทุกตอนของคำถาม เห็นแต่สติ กับทิฐิ
คราวใดที่คุณเริ่มมีสติ ก็เริ่มมีสัมมาทิฐิ
คราวใดที่คุณเผลอสติ ก็เห็นแต่มิจฉาทิฐิ

อ่านทุกคำถามแล้ว เห็นแค่นี้จริงๆ ค่ะ :b13:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 03:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
**ผมขอศึกษาจากพี่ตรงนี้เลยนะครับ ถือว่าเมตตาผมเถอะครับ สละเวลาบอกผมหน่อยว่า ความโกรธ ความโลภของพี่มันคือความรักตรงไหน ได้ยังไง จะแสดงออกมาเป็นเรื่องอภิธรรม ปรมัตถธรรม 4 แบบที่ไม่ใช่และไม่มีสมมติบัญญัติได้จะยิ่งดีมากครับ ขอแบบเนื้อๆเน็ตๆให้ผมหายโง่ทีเถอะครับ แต่ถ้าจะบอกว่ามันเป็นการปรุงแต่งของจิตเหมือนกันไม่เที่ยงเหมือนกันแบบนี้ทำนองนี้ ไม่เเอานะครับ ถ้ายังงั้นก็บอกไปเลยว่ามันคืออวิชชาไปเลยดีกว่าครับ

อย่าประชดประชันเลยครับ ถ้าไม่ใช้สมมุติบัญญัติ แล้วจะใช้วิธีไหนครับ
หรือจะให้ใช้โทรจิต คุณสามารถเห็นสภาวะจิตผมได้มั้ยล่ะ ผมจะได้ทำสภาวะ
ปรมัตถธรรมแบบนั้นให้เห็น ก็เพราะเราไม่สามารถเห็นสภาวะธรรมของคนอื่น
ในลักษณะที่เป็นนามธรรมได้ นอกจากจะดูจากคำพูดหรือการแสดงออก
แต่มันก็อาจเสแสร้งกันได้ เหตุนี้ผมถึงไล่ให้คุณไปศึกษาพระอภิธรรมให้ดีเสียก่อน

บวชแค่เจ็ดวันกับการอ่านประวัติครูบาอาจารย์มา
หลงคิดว่าตัวเองเป็นตัวตนเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่อ่าน

แล้วมาปุฉาในลักษณะอวดตัว พอมีคนมาช่วยชี้แนะ ก็มีอารมณ์
ลืมตัวว่า ตัวเองเคยเที่ยวบอกคนอื่นสอนคนอื่นไว้ว่าอย่างไร

อย่าบอกน่ะว่าไม่มีอารมณ์ ไอ้คำว่า"ไม่เที่ยง" มันเกี่ยวกับผมหรือ
คุณกำลังพาลอยู่รู้ตัวหรือเปล่า ดันไปหยิบยกคำพูดคนอื่นมาประชดผม
ทำแบบนี้เจ้าของคำพูดจะคิดอย่างไรครับ เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนะ


ลูกพระป่า เขียน:
**ผมขอศึกษาจากพี่ตรงนี้เลยนะครับ ถือว่าเมตตาผมเถอะครับ สละเวลาบอกผมหน่อยว่า[color=#0000FF] ความโกรธ ความโลภของพี่มันคือความรักตรงไหน ได้ยังไง :

จะอธิบายให้ฟังครับว่า สิ่งที่คุณพรรณามาทั้งหมดนั้นน่ะ มันเป็นความคิด
ที่เกิดจากสมองหรือภาษาบ้านๆเขาเรียกว่าใจ ยามใดที่ใจคุณไปรับรู้อะไรมาสักอย่าง
อย่างเช่น คุณได้ยินคำว่า"แม่ " สมองของคุณจะคิดดึงเอาอดีตเก่าๆมา และจินตนาการ
เพิ่มเขาไปอีก เรื่องที่คุณบอกมันเกิดจากสมอง
ส่วนสภาวะที่เป็นนามมันไม่มีหรอกครับ ความรัก
มันมีแค่สภาวะสั้นๆสลับกัน ที่เห็นเป็นเรื่องเป็นราวมันเกิดจากสมอง

โทสะและโลภะไม่ได้มีความหมายโกรธอย่างที่คุณเข้าใจ
มันมีรากฐานมาจากผัสสะและเวทนา ยามใดได้รับผัสสะเกิดเวทนา
จะเกิดตัณหาในลักษณะ โมหะ มีโลภะและโทสะสลับกันไป

อย่างเช่นเกิดเวทนาพอใจขึ้น สภาวะก็จะกลายเป็นโลภะอยากได้
อยากให้อยู่นานๆ แต่ถ้าไม่ได้หรือมันสลายไปก็จะเปลี่ยนเป็นโทสะ
เพราะความพอใจดับไปแล้ว เพราะใจไปรับเอาผัสสะตัวใหม่
คือไปรู้ถึงอารมณ์พอใจมันดับไปแล้ว
ในส่วนของความเวทนาไม่พอใจก็เช่นกัน
มันก็สลับกันแบบนี้
สภาวะอารมณ์ที่เป็นโทสะและโลภะจะครอบคลุมด้วยโมหะตลอดเวลา
ลูกพระป่า เขียน:
**พระอาจารย์ผมท่านแนะนำเรื่องที่มีประโยชน์หลายเรื่องครับ แต่ผมมันโง่เขลาเบาปัญญาครับ รู้ได้แค่ภูมิที่ตัวเองถึงเท่านั้น ไอ้ที่เกินภูมิตัวเองมันก็ได้แค่จำๆเอาแหละครับ ไม่กล้าพูดว่ารู้ออกมาจากปากตัวเองหรอกครับขอบคุณครับ :b8:

อย่าสักแต่ว่าพูดให้ผ่านไปหรือพูดแค่ให้ตัวเองดูดีเลยครับ
เรื่องของเรื่องมันมีต้นเหตุมาจาก คุณกำลังยกตนข่มท่าน
ก็แค่อ่านประวัติครูบาอาจารย์มา แล้วก็มาแสดงความเห็นในแนวเดียวกับ
ที่ตัวอ่านมา
คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่า ยึดมั่นถือมั่นมาก บวชแค่เจ็ดวันยังสาธยาย
เรื่องของตัวเองได้ขนาดนี้ พูดไม่พูดเปล่ายังยกตนข่มท่าน
ด้วยการประชดว่าตัวมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฐิหรือเปล่า
แนะนำครับ อยากข่มใครอย่ายกครูบาอาจารย์มาข่ม
หรือยกสถานะฐานะมาอวด มันไม่ได้เรื่องครับ
การอวดภูมิหรือจะพูดตรงๆว่าอยากเกทับใคร มันต้องเอา
ธรรมของพระพุทธเจ้ามาโชว์ครับ
ไม่ใช่มาอวดศักดาว่าเคยบวชเจ็ดวันสายหลวงปู่
และได้อ่านประวัติหลวงตา ธรรมะมันอยู่ตรงไหนครับ
หาธรรมะให้เจอก่อนดีมั้ย แล้วค่อยมาถามเรื่องปัญญากับชาวบ้าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 19:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


ทักทาย เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ


:b6:ขออนุญาตร่วมแสดงความเห็น(ส่วนตัว)นะค่ะ

ทุกตอนของคำถาม เห็นแต่สติ กับทิฐิ

คราวใดที่คุณเริ่มมีสติ ก็เริ่มมีสัมมาทิฐิ
คราวใดที่คุณเผลอสติ ก็เห็นแต่มิจฉาทิฐิ


อ่านทุกคำถามแล้ว เห็นแค่นี้จริงๆ ค่ะ :b13: [/color]

สวัสดีครับ พี่ทักทาย :b8:
ที่พี่กล่าวมาข้างต้นผมเห็นด้วยที่สุดกับข้อความที่เป็นสีม่วงครับ ผมถึงได้ใส่สีแดงที่คำถามนั้นตลอดเพื่อเน้นตรงนั้น แล้วก็มีคนเห็นจนได้ และขอขอบคุณสำหรับคำเตือนสติที่เป็นสีเขียวด้วยนะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
**ผมขอศึกษาจากพี่ตรงนี้เลยนะครับ ถือว่าเมตตาผมเถอะครับ สละเวลาบอกผมหน่อยว่า ความโกรธ ความโลภของพี่มันคือความรักตรงไหน ได้ยังไง จะแสดงออกมาเป็นเรื่องอภิธรรม ปรมัตถธรรม 4 แบบที่ไม่ใช่และไม่มีสมมติบัญญัติได้จะยิ่งดีมากครับ ขอแบบเนื้อๆเน็ตๆให้ผมหายโง่ทีเถอะครับ แต่ถ้าจะบอกว่ามันเป็นการปรุงแต่งของจิตเหมือนกันไม่เที่ยงเหมือนกันแบบนี้ทำนองนี้ ไม่เเอานะครับ ถ้ายังงั้นก็บอกไปเลยว่ามันคืออวิชชาไปเลยดีกว่าครับ
อย่าประชดประชันเลยครับ ถ้าไม่ใช้สมมุติบัญญัติ แล้วจะใช้วิธีไหนครับ
หรือจะให้ใช้โทรจิต

อย่าบอกน่ะว่าไม่มีอารมณ์ ไอ้คำว่า"ไม่เที่ยง" มันเกี่ยวกับผมหรือ
คุณกำลังพาลอยู่รู้ตัวหรือเปล่า ดันไปหยิบยกคำพูดคนอื่นมาประชดผม
ทำแบบนี้เจ้าของคำพูดจะคิดอย่างไรครับ เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนะ

สวัสดีครับพี่โฮฮับและถือโอกาสขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้พี่เข้าใจผิด :b8:
**ที่ผมพูดถึงความไม่เที่ยงนี่ผมไม่ได้มีเจตนาแม้สักนิดที่จะพาดพิงใครเลย ถ้าสิ่งที่ผมพูดนี้เป็นการโกหกผมขอให้การปฏิบัติที่ผ่านมาของผมทั้งหมดเป็นโมฆะเลยครับ ที่ผมกล่าวถึงความไม่เที่ยงนั้นผมกล่าวในเรื่องของสภาวะธรรมครับ เพื่อที่จะขอให้พี่อธิบายให้ผมฟังที่มันนอกเหนือจากนั้น ในเรื่อง อภิธรรมหรือปรมัตถธรรมแค่นั้นเอง เพราะผมสงสัยในเรื่องที่พี่บอกว่าความรักคือความโกรธ ความโลภจริงๆ และคิดว่าคงต้องมีคนที่สงสัยในข้อนี้เหมือนกันอยู่บ้างจึงได้ถาม และที่ผมพูดว่าขอแบบเนื้อๆเน็ตๆ ความหมายของผมก็คือขอแบบตรงๆเข้าประเด็นจะได้หายสงสัยอีกครับ
อ้างคำพูด:
จะอธิบายให้ฟังครับว่า สิ่งที่คุณพรรณามาทั้งหมดนั้นน่ะ มันเป็นความคิด
ที่เกิดจากสมองหรือภาษาบ้านๆเขาเรียกว่าใจ ยามใดที่ใจคุณไปรับรู้อะไรมาสักอย่าง
อย่างเช่น คุณได้ยินคำว่า"แม่ " สมองของคุณจะคิดดึงเอาอดีตเก่าๆมา และจินตนาการ
เพิ่มเขาไปอีก เรื่องที่คุณบอกมันเกิดจากสมอง
ส่วนสภาวะที่เป็นนามมันไม่มีหรอกครับ ความรัก
มันมีแค่สภาวะสั้นๆสลับกัน ที่เห็นเป็นเรื่องเป็นราวมันเกิดจากสมอง

โทสะและโลภะไม่ได้มีความหมายโกรธอย่างที่คุณเข้าใจ
มันมีรากฐานมาจากผัสสะและเวทนา ยามใดได้รับผัสสะเกิดเวทนา
จะเกิดตัณหาในลักษณะ โมหะ มีโลภะและโทสะสลับกันไป

อย่างเช่นเกิดเวทนาพอใจขึ้น สภาวะก็จะกลายเป็นโลภะอยากได้
อยากให้อยู่นานๆ แต่ถ้าไม่ได้หรือมันสลายไปก็จะเปลี่ยนเป็นโทสะ
เพราะความพอใจดับไปแล้ว เพราะใจไปรับเอาผัสสะตัวใหม่
คือไปรู้ถึงอารมณ์พอใจมันดับไปแล้ว
ในส่วนของความเวทนาไม่พอใจก็เช่นกัน
มันก็สลับกันแบบนี้
สภาวะอารมณ์ที่เป็นโทสะและโลภะจะครอบคลุมด้วยโมหะตลอดเวลา

**ในส่วนนี้ที่พี่อธิบายมานั้น มันก็จับเข้าไปในอาการของไตรลักษณ์ไม่ใช่หรือครับ เกิดๆดับๆ วนไปอยู่อย่างนั้น ผมถึงได้ขอไว้ก่อนยังไงล่ะครับว่าอยากจะให้พี่อธิบายนอกเหนือจากสภาวะไม่เที่ยงหรือการปรุงแต่ง เพราะเรื่องของกิเลสทั้งหลายมันเป็นเรื่องของการปรุงแต่ง การยึดมั่นถือมั่น และสภาวะของกิเลสก็เป็นไปตามกฏของไตรลักษณ์
**เราลองย้อนไปที่จุดเริ่มต้นกันใหม่ดูนะครับ เอาตรงที่กิเลสคือความรักมันเกิดขึ้นและตั้งอยู่อย่างเดียว ตอนที่มันดับเก็บไว้ก่อนไม่ต้องเอามาคิด เอาเรื่องของไตรลักษณ์ออกไปก่อน เรามาพิจารณาดูที่ตรงนั้นกันว่า ตอนที่ความรักความพอใจมันตั้งอยู่นั้นยังไม่ดับลงนั้น ความรักความพอใจคือโทสะและโลภะได้ยังไง อันนี้คำถามที่1นะครับ ซึ่งที่จริงจากคำตอบของพี่นั้นได้บอกเป็นนัยๆแล้วว่ามันเกิดกันคนละสภาวะ คือตัวหนึ่งเกิดขึ้นและดับไปแล้วตัวหนึ่งจึงเกิดตามมา
**คำถามที่2ครับ แต่มีหลายข้อย่อยหน่อย 2.1 โทสะ สำหรับพี่นั้นมินัยว่าอย่างไรในความหมายทั่วๆไป 2.2 โทสะ ในความหมายที่ถูกอธิบายไว้ในพระสูตรท่านว่าอย่างไรครับ
**คำถามที่3ครับ แต่มีหลายข้อย่อยหน่อย 3.1 โลภะ สำหรับพี่นั้นมินัยว่าอย่างไรในความหมายทั่วๆไป 3.2 โลภะ ในความหมายที่ถูกอธิบายไว้ในพระสูตรท่านว่าอย่างไรครับ
**สุดท้ายครับ ผมไม่ได้มีเจตนายกตนใดๆเลย ไม่เคยคิดเอาพระอาจารย์ท่านใดมาอ้างมาทำให้เสื่อมเสีย ถ้าสิ่งใดที่เป็นธรรมของพระอาจารย์ท่าน เวลาผมเอามาบอกกล่าวผมจะบอกทุกครั้งนะครับว่าผมขออาราธนาคำท่านมาเสมอ สิ่งใดที่ผมไม่รู้ผมก็บอกไม่รู้ครับ สิ่งใดรู้ถ้าพูดได้ก็บอกครับถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์อันใดก็เก็บไว้รู้อยู่คนเดียวครับ ถึงบวชพระน้อยวันก็น้อยที่กายบวชครับ และที่ท้วงพี่ก็เพราะเห็นว่าไม่ถูก ที่พี่กล่าวว่า ควาามรักคือความโกรธความโลภ ด้วยความหวังดีเท่านั้น ขอให้พิจารณาดูดีๆเถอะครับ
ปล.คำถามที่ผมถามพี่ในนี้นั้นพี่ไม่ต้องตอบผมก็ได้นะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอให้สว่างทั้งทางโลกและทางธรรมนะค่ะ

อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 03:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
**ในส่วนนี้ที่พี่อธิบายมานั้น มันก็จับเข้าไปในอาการของไตรลักษณ์ไม่ใช่หรือครับ เกิดๆดับๆ วนไปอยู่อย่างนั้น ผมถึงได้ขอไว้ก่อนยังไงล่ะครับว่าอยากจะให้พี่อธิบายนอกเหนือจากสภาวะไม่เที่ยงหรือการปรุงแต่ง เพราะเรื่องของกิเลสทั้งหลายมันเป็นเรื่องของการปรุงแต่ง การยึดมั่นถือมั่น และสภาวะของกิเลสก็เป็นไปตามกฏของไตรลักษณ์

ก็อธิบายไปแล้วคุณไม่เข้าใจเอง แต่มันก็ไม่ผิดอะไรครับ มันเป็น เรื่องของ
การไม่ยอมรับสิ่งใหม่ เพราะในใจมีของเก่าอยู่ เหตุนี้ในตอนแรกถึงแนะนำให้ไปศึกษา
พระอภิธรรม(จิต เจตสิก รูป นิพพาน) เอาเอง จะได้ไม่ต้องมาโต้แย้งกัน และอีกอย่าง
มันไม่ใช่จะอธิบายความกันสั้นๆแล้วจะรู้เรื่อง ยิ่งกับคุณแล้วรู้สึกว่าจะไม่มีความเข้าใจ
ในเรื่องนี้เลย

ที่คุณฟังผมอธิบายไม่รู้เรื่องเพราะไม่รู้เรื่อง รูปนาม
ไม่รู้การเกิดดับของจิต และสันตติแห่งจิต
ไม่รู้อาการ(เจตสิก) เป็นอย่างไรและมีอะไรบ้าง

ที่สำคัญคุณยังไม่เข้าใจ ถึงสภาวะเกิดดับแต่กลับห้ามไม่ให้คู่สนทนาพูด
ไม่ให้นำจุดที่เป็นประเด็นที่สุดมากล่าวถึง
คุณถึงได้มีอาการเหมือนคนเถียงคำไม่ตกฟากแบบนี้
ลูกพระป่า เขียน:
**เราลองย้อนไปที่จุดเริ่มต้นกันใหม่ดูนะครับ เอาตรงที่กิเลสคือความรักมันเกิดขึ้นและตั้งอยู่อย่างเดียว ตอนที่มันดับเก็บไว้ก่อนไม่ต้องเอามาคิด เอาเรื่องของไตรลักษณ์ออกไปก่อน เรามาพิจารณาดูที่ตรงนั้นกันว่า ตอนที่ความรักความพอใจมันตั้งอยู่นั้นยังไม่ดับลงนั้น ความรักความพอใจคือโทสะและโลภะได้ยังไง อันนี้คำถามที่1นะครับ ซึ่งที่จริงจากคำตอบของพี่นั้นได้บอกเป็นนัยๆแล้วว่ามันเกิดกันคนละสภาวะ คือตัวหนึ่งเกิดขึ้นและดับไปแล้วตัวหนึ่งจึงเกิดตามมา
:


ที่คุณยังไม่เข้าใจเพราะคุณไม่แยกรูปกับนามออกจากกัน คุณเอาการทำงานของ
รูป(กาย) มาผสมปนกับจิต จิตที่ว่าคือจิตตัวรู้
คุณกำลังเอาสิ่งที่เรียกว่า ความคิด(สมอง)มาเป็นจิต
ที่คุณบอกความรัก ความพอใจยังไม่ดับ ที่มันยังไม่ดับ
เพราะสมองในส่วนที่เป็น รูปกายของคุณยังไม่เลิกคิดยังไปขุดคุ้ย
สมมุติบัญญัติเก่าๆอยู่เรื่อยๆ และที่สำคัญจิตที่ไม่มีคุณภาพ
แทนที่จะไปรู้อาการของจิต กลับไปดูความคิด ถ้าจิตไปดูจิตเอง
ก็จะเห็นอาการของจิตที่เกิดขึ้น แต่ถ้าจิตไปดูความคิด ก็จะเห็นเป็น
ความรักพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 04:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
**คำถามที่2ครับ แต่มีหลายข้อย่อยหน่อย 2.1 โทสะ สำหรับพี่นั้นมินัยว่าอย่างไรในความหมายทั่วๆไป 2.2 โทสะ ในความหมายที่ถูกอธิบายไว้ในพระสูตรท่านว่าอย่างไรครับ
**คำถามที่3ครับ แต่มีหลายข้อย่อยหน่อย 3.1 โลภะ สำหรับพี่นั้นมินัยว่าอย่างไรในความหมายทั่วๆไป 3.2 โลภะ ในความหมายที่ถูกอธิบายไว้ในพระสูตรท่านว่าอย่างไรครับ

อธิบาย ข้อ2และ3รวมกันเลย
คำว่า โทสะกับโลภะนี้มันเป็น สมมุติที่บัญญัติขึ้น เพื่อให้เราเข้าใจสภาวะ
ที่เกิดในใจ เรียกว่าปรมัตถ์

สิ่งที่เรียกว่าปรมัตถ์มันเป็นสิ่งที่เกิดตามความจริง ลักษณะเฉพาะเจาะจงเป็นหนึ่ง
เดียว ไม่ได้มีหลายอย่างหลายความหมายแบบสมมุติบัญญัติ
ผมจะอธิบายถึงอารมณ์ปรมัตถ์ให้ฟัง ส่วนสมมุติบัญัติคุณก็ไปหาเองตามพจนาณุกรม

อารมณ์ปรมัตถ์ของโทสะ เป็นอาการที่ได้รับสิ่งที่มากระทบแล้วมีความรู้สึกว่า
อยากจะดันสิ่งที่มากระทบออกไป หรือเรียกอีกอย่างว่าไม่ต้องการสิ่งที่มากระทบ

ส่วนอารมณ์ปรมัตถ์ของโลภะ เป็นอาการที่ได้รับสิ่งที่มากระทบแล้วมีความรู้สึกว่า
อยากจะเหนี่ยวรั้งสิ่งที่มากระทบเอาไว้ หรือเรียกว่าต้องการสิ่งที่มากระทบ


แล้วเรื่องที่คุณถามหาพระสุตตฯ โดยเบื้องต้นคุณยังไม่มีความเข้าใจ
เรื่องที่มาที่ไปวิธีใช้พระไตรปิฎกเลย อย่าสักแต่ว่าพูดโต้แย้งเรื่อยเปื่อย

คุณจำได้มั้ยหรือลองย้อนไปดูความเห็นก่อนหน้า ผมบอกคุณว่า
คุณไม่มีความเข้าใจในเรื่องพระอภิธรรม ผมแนะนำให้ไปศึกษาเรื่อง
จิต เจตสิก รูปนิพพาน พอมาตอนนี้คุณมาถามหาพระสุตตฯกับผม
คุณไม่รู้หรือว่า มันคนละเรื่อง
ผมถามหน่อย ถ้าผมยกพระสุตตฯมาคุณจะรู้เรื่องหรือครับ
แนะนำเรื่องที่เกี่ยวกันโดยตรง คุณยังไม่สนใจเลย จิตคืออะไร เจตสิกเป็นอย่างไร
รูปคืออะไร ยังไม่รู้ ดันถามหาเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาตีความอีก เฮ่อ! :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 05:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
**สุดท้ายครับ ผมไม่ได้มีเจตนายกตนใดๆเลย ไม่เคยคิดเอาพระอาจารย์ท่านใดมาอ้างมาทำให้เสื่อมเสีย ถ้าสิ่งใดที่เป็นธรรมของพระอาจารย์ท่าน เวลาผมเอามาบอกกล่าวผมจะบอกทุกครั้งนะครับว่าผมขออาราธนาคำท่านมาเสมอ สิ่งใดที่ผมไม่รู้ผมก็บอกไม่รู้ครับ สิ่งใดรู้ถ้าพูดได้ก็บอกครับถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์อันใดก็เก็บไว้รู้อยู่คนเดียวครับ ถึงบวชพระน้อยวันก็น้อยที่กายบวชครับ และที่ท้วงพี่ก็เพราะเห็นว่าไม่ถูก ที่พี่กล่าวว่า ควาามรักคือความโกรธความโลภ ด้วยความหวังดีเท่านั้น ขอให้พิจารณาดูดีๆเถอะครับ
ปล.คำถามที่ผมถามพี่ในนี้นั้นพี่ไม่ต้องตอบผมก็ได้นะครับขอบคุณครับ :b8:

ที่คุณพูดมามันเป็นสูตรสำเร็จของการแก้ตัวครับ
พุทโถ่! เขาแสดงความเห็นในเรื่องธรรม ตามความรู้ความเข้าใจกัน
คุณดันมาจารนัย ประวัติของตัวเองทำอย่างโน้นทำอย่างนี้
มีรายการสอดแทรกว่าเป็นสายเดียวกับหลวงปู่ และยิ่งกว่านั้นเอา
เรื่องที่เกี่ยวกับประวัติหลวงตา มาปะกบกับเรื่องตัวเอง
แล้วมาสรุปถามชาวบ้านว่า "ตัวเองมีปัญญา มีสัมมาทิฐิหรือยัง"

ผมแค่เข้ามาตอบและแสดงความเห็นของคุณ แต่ความเห็นผมมันไม่เป็น
ไปในทางที่คุณต้องการ คุณเลยหยอกย้อนกลับมาเหมือนคนที่ถูกแทงใจดำแบบนี้ไงครับ :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2012, 02:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
เหตุที่ผมเอาเรื่องของตัวเองมาเล่าเพราะอยากให้เห็นเรื่องทิฏฐิในเรื่องปัญญากับสัมมาทิฏฐิเท่านั้นครับ ตามข้อความข้างล่าง
อ้างคำพูด:
ทักทาย เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ

ขออนุญาตร่วมแสดงความเห็น(ส่วนตัว)นะค่ะ

ทุกตอนของคำถาม เห็นแต่สติ กับทิฐิ
คราวใดที่คุณเริ่มมีสติ ก็เริ่มมีสัมมาทิฐิ
คราวใดที่คุณเผลอสติ ก็เห็นแต่มิจฉาทิฐิ

อ่านทุกคำถามแล้ว เห็นแค่นี้จริงๆ ค่ะ

สวัสดีครับ พี่ทักทาย
ที่พี่กล่าวมาข้างต้นผมเห็นด้วยที่สุดกับข้อความที่เป็นสีม่วงครับ ผมถึงได้ใส่สีแดงที่คำถามนั้นตลอดเพื่อเน้นตรงนั้น แล้วก็มีคนเห็นจนได้ และขอขอบคุณสำหรับคำเตือนสติที่เป็นสีเขียวด้วยนะครับ

...............................................................................
อ้างคำพูด:
ส่วนสภาวะที่เป็นนามมันไม่มีหรอกครับ ความรัก
มันมีแค่สภาวะสั้นๆสลับกัน ที่เห็นเป็นเรื่องเป็นราวมันเกิดจากสมอง

โทสะและโลภะไม่ได้มีความหมายโกรธอย่างที่คุณเข้าใจ
มันมีรากฐานมาจากผัสสะและเวทนา ยามใดได้รับผัสสะเกิดเวทนา
จะเกิดตัณหาในลักษณะ โมหะ มีโลภะและโทสะสลับกันไป

อย่างเช่นเกิดเวทนาพอใจขึ้น สภาวะก็จะกลายเป็นโลภะอยากได้
อยากให้อยู่นานๆ แต่ถ้าไม่ได้หรือมันสลายไปก็จะเปลี่ยนเป็นโทสะ
เพราะความพอใจดับไปแล้ว เพราะใจไปรับเอาผัสสะตัวใหม่
คือไปรู้ถึงอารมณ์พอใจมันดับไปแล้ว
ในส่วนของความเวทนาไม่พอใจก็เช่นกัน
มันก็สลับกันแบบนี้
สภาวะอารมณ์ที่เป็นโทสะและโลภะจะครอบคลุมด้วยโมหะตลอดเวลา

**ผมทราบครับว่าความรักคือสิ่งที่จิตปรุงแต่งจากสิ่งที่มากระทบทางอายตนะและบางขณะก็เอาสัญญามาปรุงแต่งให้เกิดเวทนาต่างๆตามมา...แต่โมหะก็คือโมหะ โทสะก็คือโทสะ โลภะก็คือโลภะ มันเกิดขึ้นมาคนละสภาวะอาจจะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันได้แต่ไม่พร้อมกัน และเมื่อมันเป็นคนละสภาวะมันก็ไม่ใช่ตัวเดียวกัน เพราะจิตนี้สามารถเกิดสภาวะใดขึ้นมาได้เพียงหนึ่ง ไม่สามารถเกิดขึ้นมาพร้อมกันมากกว่าหนึ่งได้ ต้องให้สภาวะที่เกิดขึ้นมาดับไปก่อน สภาวะต่อมาถึงจะเกิดขึ้นมาได้ หากแต่การเกิดดับของจิตนี้มันเกิดขึ้นและดับไปเร็วมาก จนสติปัญญาที่ยังไม่ละเอียดตามรู้ไม่ทัน
**ดูที่คำพูดของพี่ที่ผมใส่สีแดงไว้นะครับ นี่คือหลักฐานที่ยืนยันว่า โลภ โกรธ หลง มันไม่ใช่ตัวเดียวกัน จริงๆแล้วโมหะตัวนี้เราจะดูว่าเป็นของหยาบก็ได้ละเอียดก็ได้ แต่โทสะกับโลภะนั้นพระพุทธเจ้าท่านแสดงว่ามันเป็นกิเลสอย่างหยาบ เพราะกิเลสอย่างหยาบนี้เราสามารถรับรู้ถึงมันได้แม้คนธรรมดาทั่วไป แม้ในสติปัญญาอย่างหยาบๆ ทั้งยังสามารถรู้ได้ด้วยหูและตา
**ความพอใจไม่พอใจนี้คงไม่ใช่โลภะและโทสะ เพราะความพอใจไม่พอใจเป็นสภาวะที่ละเอียดกว่ามาก มันเป็นเรื่องของโมหะ กิเลสกาม ตัณหาและราคะ ผู้ที่เห็นสภาวะปรมัตถ์ของกิเลสตัวนี้ได้ ถ้าถือเอาสมมติบัญญัติมาแสดงผมว่าก็ต้องระดับสกิทาคามีขึ้นไป เพราะถ้าเห็นสภาวะปรมัตถ์ของตัณหาราคะ จิตย่อมคลายกำหนัดลง เรื่องของกามคุณย่อมเบาบางลงเรื่อยๆ แน่นอนว่าผมยังไม่เคยได้สัมผัสสภาวะระดับละเอียดเช่นนี้ครับ
**ส่วนเรื่องที่ผมถามความหมายของ โทสะและโลภะ ตามแบบทั่วไปและตามพระสูตร เพราะสมมติบัญญัติก็ต้องอธิบายด้วยสมมติบัญญัติ ซึ่งพอผมขอให้พี่ตอบโดยไม่ใช้สมมติบัญญัติพี่ก็คิดว่าผมประชด แต่พอผมขอให้อธิบายเป็นสมมติบัญญัติพี่ก็เอาเรื่องปรมัตถ์มากล่าว มันก็เลยกลายเป็นแย้งกันไปแย้งกันมา และผมก็ไม่ปรารถนาการสนทนาในลักษณะเช่นนี้เลย ผมเลยจะขอพูดถึงเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ ถ้าสมมติพี่ตอบกลับมาแล้วผมไม่ตอบอะไรกลับไปอีกก็อย่าเข้าใจว่าผมไม่พอใจอะไรนะครับ ผมแค่อยากจบการสนทนาเรื่องนี้เท่านั้นครับ โอกาสหน้าเราค่อยคุยกันเรื่องใหม่นะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2012, 04:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
เหตุที่ผมเอาเรื่องของตัวเองมาเล่นเพราะอยากให้เห็นเรื่องทิฏฐิในเรื่องปัญญากับสัมมาทิฏฐิเท่านั้นครับ ตามข้อความข้างล่าง
อ้างคำพูด:
ทักทาย เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ

ขออนุญาตร่วมแสดงความเห็น(ส่วนตัว)นะค่ะ

ทุกตอนของคำถาม เห็นแต่สติ กับทิฐิ
คราวใดที่คุณเริ่มมีสติ ก็เริ่มมีสัมมาทิฐิ
คราวใดที่คุณเผลอสติ ก็เห็นแต่มิจฉาทิฐิ

อ่านทุกคำถามแล้ว เห็นแค่นี้จริงๆ ค่ะ

สวัสดีครับ พี่ทักทาย
ที่พี่กล่าวมาข้างต้นผมเห็นด้วยที่สุดกับข้อความที่เป็นสีม่วงครับ ผมถึงได้ใส่สีแดงที่คำถามนั้นตลอด
เพื่อเน้นตรงนั้น แล้วก็มีคนเห็นจนได้ และขอขอบคุณสำหรับคำเตือนสติที่เป็นสีเขียวด้วยนะครับ

คุณนี่มันเหลือเกินจริงๆนะครับ กะแค่ฉันแพ้ไม่ได้ ยอมทำทุกอย่างทั้งๆที่
การกระทำนั้นเสียมรรยาทฉันก็จะทำ

คุณพระป่า ผมเคยเตือนสติคุณไปแล้วที่หนึ่งว่า คุยกับผมอย่าพยายามดึงคนอื่น
เข้ามาเกี่ยวข้อง นี่เอาอีกแล้ว ผมถามหน่อยถ้าผมเผลอไปวิจารณ์ความเห็นของ
คนที่คุณยกมา คุณจะรับผิดชอบกับการกระทำของคุณมั้ย

คุณพระป่าคุณยิ่งแสดงความเห็น ผมยิ่งดูว่าอายุคุณจะลดน้อยถอยลงนะครับ
ทำอะไรให้มีสติอยู่กับสิ่งที่กระทำซิครับ ไม่ใช่เห็นอะไรคว้าได้ก็รีบคว้า
ถ้าคุณจะเอาแค่คำตอบแบบที่คุณเอามาอ้าง ผมแนะนำให้คุณไปถามเด็กวัด
แถวบ้านมันก็ตอบได้ครับ

พุทโธ่! จะตอบคำถามใครมันต้องให้เหตุผลประกอบด้วย และถ้าให้ดี
เราต้องธรรมแทรกลงไปด้วย มันถึงจะเป็นกัลยาณมิตร ไม่ใช่แค่มาแสดง
ความเห็นในเชิงขอมีส่วนร่วม

คำตอบของผมที่แสดงในตอนแรก ผมพยายามชี้ให้เห็นในแต่ละช่วง
บอกให้รู้ถึงเหตุปัจจัยว่าเพราะอะไร มาจากไหน แบบนี้ครับมันถึงจะถูกต้อง
แต่ที่มันมีปัญหา(เฉพาะคุณ) เพราะคุณรับไม่ได้กับความเห็นผม
ถ้าผมบอกไปว่า คุณมีปัญญา คุณมีสัมมาทิฐิโดยไม่ต้องให้เหตุผล
เรื่องมันก็คงจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง(แบบของคุณ)

แต่ถ้าแสดงความเห็นในลักษณะชี้ให้เห็นหรือตรงประเด็น
กลับเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้ ต้องย้อนกลับประชดผู้ให้ความเห็น

คุณพระป่าคุณลืมไปมั้งครับ คุณเคยตั้งกฎในกระทู้ของคุณว่าอย่างไร
ไอ้เรื่องปุฉา-วิสัชชนานั้นน่ะ ที่ว่า ถามมาตอบไป ถ้าไม่รู้ให้ถามใหม่
นี่คุณถามมา ผมก็ตอบไป คุณไม่เข้าใจแทนที่จะถามใหม่ กลับย้อนประชด
ประชัน คุณไปบังคับคนอื่นให้ทำ ทำไมตัวคุณกลับทำตรงกันข้ามครับ

จะบอกให้ครับไอ้การสนทนาในลักษณะนี้ ผมเฉยๆครับ
ขออย่างเดียว มันต้องรู้สึกตัวก่อนว่าใครเป็นคนเริ่ม
ไม่ใช่ตัวเองเป็นคนเริ่ม แต่พอเวลาอยากจบก็จบแบบ
น่าไม่อาย โยนทุกอย่างไปให้อีกฝ่าย ให้ดูเหมือนว่า
อีกฝ่ายเป็นอันธพาล ชอบหาเรื่อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2012, 16:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


"สรรพสิ่งไม่เที่ยง สรรพสิ่งเป็นทุกข์ สรรพสิ่งไม่มีตัวตน"

"ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง ขันธ์ 5 เป็นทุกข์" เพราะ รูป นาม ไม่เที่ยง
"กายไม่เที่ยง กายเป็นทุกข์" เพราะ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่เที่ยง
"จิตไม่เที่ยง จิตเป็นทุกข์" จิตไม่เที่ยงเพราะ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร