วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 29, 30, 31, 32, 33, 34, 35 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2015, 21:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
....เชื่อพระพุทธเจ้าให้หมดหัวใจสิครับ โดยสติปัฏฐาน 4 นั้นเป็นการหักออกที่ช่วงต่อระหว่างเวทนากับตัณหาซึ่งง่ายทีสุดเห็นเหตุทุกข์ชัดที่สุดเหมาะกับบุรุษสตรีธรรมดาทุกรูปทุกนาม



....

:b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2015, 22:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ผมก็ตอบนี่แล้วไงทำไมกบไม่เห็นแถมยังมโนไปอีกยาวเหยียดเลย

อ้างคำพูด:
เป็นพระอรหันต์แล้วอภิชฌาและโทมนัสสังไม่มีหรือมีก็เป็นเพียงกิริยา

แต่สำหรับปุถุชนและอริยะชั้นต้นยังมีอยู่แต่ลดน้อยไปตามลำดับชั้น

onion
แล้วก็กลับไปอ่านดูดีๆให้ละเอียดถี่ถ้วนผมพยายามอธิบายหลายครั้งหลายรอบแล้วว่าประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน4 มันอยู่ที่

"วิเนยยะโลเก อภิชฌาโทมนัสสัง" เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

หรือว่ามันไม่จริงไม่ใช่ กบเห็นจุดไหนหรือที่เป็นประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน4 ที่ดีวิเศษกว่านี้และมีผลในเชิงปฏิบัติ
s006
แล้วที่อ้างว่า.า...ผลของการหักออก....ไม่ว่าตรงไหน...ก็ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ..ได้เหมือนกันครับ) นั้นผมก็อธิบายแล้วว่ามันผิดธรรม
:b20:


แปลกดีเน่อะ....ตอบก็ยังตอบว่า...อรหันต์ไม่มีอภิชฉาและโทมนัส..แล้ว

แต่พอมีใครบอกว่า...หักที่ไหน..ก็เอาออกได้...กลับพูดอีกอย่าง.. :b9: :b9:

แล้วมีใครไปว่าสติปัฏฐาน 4 ละคับ...มีแต่อโสกะนั้นแหละ...เข้าใจเอาเอง สติปัฏฐาน 4 ใช้ได้แค่ตรงเวทนา...

สงสัยเพราะไปเห็นในสติปัฏฐานมีคำว่า..เวทนาในเวทนา..ก็เลยเข้าใจผิดอย่างนั้น

เห็นแล้วเพลีย... :b5: :b5: :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2015, 23:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ในสัมมาทิฏฐิสูตร
พระสารีบุตรเถระ ได้แสดง เหตุเกิดแห่งอวิชชาไว้ ดังนี้
Quote Tipitaka:
[๑๒๘] ดูกรท่านผู้มีอายุ จะพึงมีอยู่หรือ ปริยายแม้อย่างอื่น ... ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
พึงมี ท่านผู้มีอายุ

เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ความดับอวิชชา
และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอวิชชา แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ...
มาสู่พระสัทธรรมนี้

ก็อวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ความดับอวิชชา และปฏิปทาที่จะให้ถึงความ
ดับอวิชชา เป็นไฉน?

ความไม่รู้ในทุกข์ ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ในความดับทุกข์ ในปฏิปทาที่จะให้ถึง
ความดับทุกข์ อันนี้เรียกว่าอวิชชา

เหตุเกิดแห่งอวิชชา ย่อมมีเพราะอาสวะเป็นเหตุให้เกิด
ความดับอวิชชา ย่อมมีเพราะอาสวะดับ
อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือความเห็นชอบ ความตั้งใจชอบ... ชื่อว่าปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอวิชชา

ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ความดับอวิชชา ทางที่จะให้ถึงความดับอวิชชาอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น ท่านละราคานุสัย ... แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้.


แถม
Quote Tipitaka:
[๑๓๐] ท่านพระสารีบุตรตอบว่า พึงมี ท่านผู้มีอายุ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอาสวะ
อาสวสมุทัย อาสวนิโรธ อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่า
เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม
มาสู่พระสัทธรรมนี้ ก็อาสวะ เหตุเกิดแห่งอาสวะ ความดับอาสวะ ทางที่จะให้ถึงความดับอาสวะ
เป็นไฉน? ได้แก่ อาสวะ ๓ เหล่านี้ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ เหตุเกิดแห่งอาสวะ
ย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นเหตุให้เกิด ความดับอาสวะ ย่อมมีเพราะอวิชชาดับ อริยมรรคประกอบ
ด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือ ความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ
พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ชื่อว่าปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอาสวะ ดูกรท่านผู้มีอายุ
เมื่อใด อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอาสวะ เหตุเกิดแห่งอาสวะ ความดับอาสวะ ปฏิปทาที่จะให้ถึงความ
ดับอาสวะ อย่างนี้ๆ เมื่อนั้นท่านละราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทิฏฐานุสัย และ
มานานุสัย โดยประการทั้งปวง ละอวิชชา ยังวิชชาให้เกิด ย่อมกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบัน
เทียว แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้.


อาสวะ>อวิชชา
อวิชชา>อาสวะ

จิตหลุดพ้น เพราะสำรอกราคะได้ และหลุดพ้นด้วยปัญญา
จึงเสร็จกิจพรหมจรรย์


เวียนย้ำเพื่อทราบกันอีกสักรอบ.... :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2015, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่ร่ำ ๆ จะเอาแต่ผล....ก๊อปปี๊อรหันต์ผล....ไม่ทำที่เหตุ
คงเข้าใจยาก...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 04:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
จากพระสูตรที่ยกอ้างมาให้ดูมีอยู่ข้อหนึ่งกล่าวว่า

"ความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ นั่นคืออวิชชา"

เรื่องที่กำลังคุยและถกเถียงกันอยู่นี้ก็กำลังคุยให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ให้ชัดและลึกลงไปกว่าที่มีบอกในคำภีร์ซึ่งมีรองรับอยู่ในสภาวธรรมจริงๆ

การพูดย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อง "วิเนยยะโลเกอภิชฌาโทมนัสสัง" เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกนั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน4 และชี้ไปที่จุดสำคัญที่จะให้เห็นเหตุทุกข์ที่แท้จริงอันจะทำให้เกิดวิชชาตามที่อ้างมาแสดงให้ดูกัน

แต่กบไม่เข้าใจในความนัยอันลึกซึ้งนี้จึงมาโยกโย้ทำให้สับสนวกวนด้วยบัญญัติต่างๆที่ตนตีความและกำหนดเอาเอง อันจะทำให้ผู้ศึกษาเกิดความสับสนลังเลสงสัยจนอาจสูญเสียความเข้าใจอย่างถูกต้องในสาระสำคัญของสติปัฏฐาน . แล้วทำให้พลาดโอกาสอันดีในการจะได้ปฏิบัติไปตามหลักสติปัฏฐาน4 ด้วยความรู้ความเข้าใจอันถูกต้อง จึงขอให้กบย้อนกลับไปวิเคราะห์ข้อคิดความเห็นของตนเองเสียใหม่ว่า

คุณจะถกเถียงเพื่อวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ หรือต้องการเพียงเพื่อเอาชนะคะคานกันด้วยวาทะคำพูดและการอ้างอิงพระสูตรมาสนับสนุนความคิดความเห็นของตนเองอย่างผิดๆด้วยความรู้ไม่จริงรู้ไม่ลึก


แต่ก็ไม่เป็นไรไม่มีอะไรในกอไผ่ แสดงความเห็นกันให้เต็มที่ตามช่องทางของตนเองที่สุดก็ทิ้งไว้ให้ผู้ศึกษาใช้วิจารณญาณตัดสินกันเอาเองก็พอ

หากเต็มที่แล้วก็จะได้ไปวิเคราะห์ธรรมในหมวดอื่นเรื่องอื่นสู่กันฟังต่อไปนะครับ

เจริญสุขเจริญธรรมกันทุกๆท่าน
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 05:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ผมก็ตอบนี่แล้วไงทำไมกบไม่เห็นแถมยังมโนไปอีกยาวเหยียดเลย

อ้างคำพูด:
เป็นพระอรหันต์แล้วอภิชฌาและโทมนัสสังไม่มีหรือมีก็เป็นเพียงกิริยา

แต่สำหรับปุถุชนและอริยะชั้นต้นยังมีอยู่แต่ลดน้อยไปตามลำดับชั้น

onion
แล้วก็กลับไปอ่านดูดีๆให้ละเอียดถี่ถ้วนผมพยายามอธิบายหลายครั้งหลายรอบแล้วว่าประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน4 มันอยู่ที่

"วิเนยยะโลเก อภิชฌาโทมนัสสัง" เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

หรือว่ามันไม่จริงไม่ใช่ กบเห็นจุดไหนหรือที่เป็นประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน4 ที่ดีวิเศษกว่านี้และมีผลในเชิงปฏิบัติ
s006
แล้วที่อ้างว่า.า...ผลของการหักออก....ไม่ว่าตรงไหน...ก็ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ..ได้เหมือนกันครับ) นั้นผมก็อธิบายแล้วว่ามันผิดธรรม
:b20:



กบนอกกะลา เขียน:
แปลกดีเน่อะ....ตอบก็ยังตอบว่า...อรหันต์ไม่มีอภิชฉาและโทมนัส..แล้ว

แต่พอมีใครบอกว่า...หักที่ไหน..ก็เอาออกได้...กลับพูดอีกอย่าง..
:b9: :b9:

แล้วมีใครไปว่าสติปัฏฐาน 4 ละคับ...มีแต่อโสกะนั้นแหละ...เข้าใจเอาเอง สติปัฏฐาน 4 ใช้ได้แค่ตรงเวทนา...

สงสัยเพราะไปเห็นในสติปัฏฐานมีคำว่า..เวทนาในเวทนา.
.ก็เลยเข้าใจผิดอย่างนั้น

เห็นแล้วเพลีย... :b5: :b5: :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 09:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

:b38:
จากพระสูตรที่ยกอ้างมาให้ดูมีอยู่ข้อหนึ่งกล่าวว่า

"ความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ นั่นคืออวิชชา"

เรื่องที่กำลังคุยและถกเถียงกันอยู่นี้ก็กำลังคุยให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ให้ชัดและลึกลงไปกว่าที่มีบอกในคำภีร์ซึ่งมีรองรับอยู่ในสภาวธรรมจริงๆ

การพูดย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อง "วิเนยยะโลเกอภิชฌาโทมนัสสัง" เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกนั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน4 และชี้ไปที่จุดสำคัญที่จะให้เห็นเหตุทุกข์ที่แท้จริงอันจะทำให้เกิดวิชชาตามที่อ้างมาแสดงให้ดูกัน

แต่กบไม่เข้าใจในความนัยอันลึกซึ้งนี้จึงมาโยกโย้ทำให้สับสนวกวนด้วยบัญญัติต่างๆที่ตนตีความและกำหนดเอาเอง อันจะทำให้ผู้ศึกษาเกิดความสับสนลังเลสงสัยจนอาจสูญเสียความเข้าใจอย่างถูกต้องในสาระสำคัญของสติปัฏฐาน . แล้วทำให้พลาดโอกาสอันดีในการจะได้ปฏิบัติไปตามหลักสติปัฏฐาน4 ด้วยความรู้ความเข้าใจอันถูกต้อง จึงขอให้กบย้อนกลับไปวิเคราะห์ข้อคิดความเห็นของตนเองเสียใหม่ว่า

คุณจะถกเถียงเพื่อวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ หรือต้องการเพียงเพื่อเอาชนะคะคานกันด้วยวาทะคำพูดและการอ้างอิงพระสูตรมาสนับสนุนความคิดความเห็นของตนเองอย่างผิดๆด้วยความรู้ไม่จริงรู้ไม่ลึก


แต่ก็ไม่เป็นไรไม่มีอะไรในกอไผ่ แสดงความเห็นกันให้เต็มที่ตามช่องทางของตนเองที่สุดก็ทิ้งไว้ให้ผู้ศึกษาใช้วิจารณญาณตัดสินกันเอาเองก็พอ

หากเต็มที่แล้วก็จะได้ไปวิเคราะห์ธรรมในหมวดอื่นเรื่องอื่นสู่กันฟังต่อไปนะครับ

เจริญสุขเจริญธรรมกันทุกๆท่าน
:b8:


คนที่หยิบยกพระสูตรมาคือ เอกอน นะ...

:b5: :b5: :b5:

ท่านอโศกะจะถามเอกอน หรือ ถามอ๊บซ์ อ๊บซ์ กันแน่

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 10:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เอกอนถือว่าเอกอนจะตอบนะ
ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะ ธรรมอันว่าด้วย อาสวะ และลงถึงอาสวะดับไปนั้น ถือว่าลึกซึ้งมาก
ถ้าเอกอนอธิบายพลาดอะไร ก็ต้องรบกวนผู้รู้ที่ชำนาญออกมาเสริมเพิ่มเติมปรับแก้ไข... :b8:

สำหรับเอกอนแล้ว มองเห็นว่า ทุกอย่างจะรวมลงหักลงที่ตรงนั้นเท่านั้น

เพราะสำหรับเอกอนขึ้นชื่อว่า อุปทานขันธ์ 5 เป็น อาสวะ
ไม่ว่าจะหยิบตรงส่วนไหนของ อุปทานขันธ์ 5 ก็ตาม

ตราบเท่าที่ผู้ปฏิบัติยังเดินจิตไปจนกระทั่งทำให้ อาสวะ ดับลงไม่ได้
ก็จะไม่มีทางได้เห็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า อวิชชา

พระสูตรนี้ ต่างจากตำราที่เรารับทราบกันโดยทั่วไป
ตรงที่

พระสารีบุตรได้กล่าวถึง อวิชชา โดยลำดับสภาวะจิต
คือ อาสวะดับ จิตประกอบด้วยวิชชา/ปัญญา
จิตซึ่งประกอบด้วยวิชชา/ปัญญา เห็นสภาวะที่ดับไป
และเห็น อวิชชา ที่ดำเนิน/ตั้งอยู่ด้วย อาสวะ

ซึ่งขันธ์ 5 เป็นที่ตั้งของ อาสวะ :b1:
การจัดการกับ อวิชชา ด้วย ปัญญา ก็เป็นสภาวะธรรมตรงนี้ล่ะ

ซึ่งจิตที่พ้นไปจาก อาสวะ ก็จะไปตั้งอยู่เหนือความ พอใจ ความไม่พอใจ ต่าง ๆ นานา

:b1:

ปัญญา ที่เห็นความเป็นไปแห่ง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ...

ซึ่ง...โดยระดับปัญญาพระสารีบุตรแล้วท่านจะไม่เห็นการตัดวงจรที่ตรงไหน
จะยิ่งไปกว่า การดับอาสวะ ...

แม้พระพุทธเจ้า ก็จะไม่เห็นการตัดวรจรตรงไหนยิ่งไปกว่า การดับอาสวะ

มีแต่ชั้นหลัง ๆ มา ที่จะสอดแทรกการตัดวงจรในที่ต่าง ๆ
ซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดอะไร เพียงแต่ธรรมนั้นยังไม่ใช่ที่สุด...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 10:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่ครับ...จะดับ..ต้องดับที่อวิชชา...

ที่ว่าดับตรงนั้นตรงนี้...เป็นแต่เพียงจุดที่คนๆนั้นเเข้าไปสู่อวิชชาได้ง่ายตามบุญบารมีที่สั่งสมมา...

นั้นละ..จึงมีผลเสมอกัน...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ใช่ครับ...จะดับ..ต้องดับที่อวิชชา...

ที่ว่าดับตรงนั้นตรงนี้...เป็นแต่เพียงจุดที่คนๆนั้นเเข้าไปสู่อวิชชาได้ง่ายตามบุญบารมีที่สั่งสมมา...

นั้นละ..จึงมีผลเสมอกัน...
พึ่งเห็นตอบถูกตรงนี้แหล่ะดับตรงอวิชา. แต่ทำอย่างไรล่ะอวิชาจะดับ. เห็นกบก็เรียนรู้อยู่มาก อวิชาไม่เห็นดีบสักที. ยังสวดๆๆท่องเรียกเงินอยู่เลยนี่. สงสัยจัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เอกอนถือว่าเอกอนจะตอบนะ
ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะ ธรรมอันว่าด้วย อาสวะ และลงถึงอาสวะดับไปนั้น ถือว่าลึกซึ้งมาก
ถ้าเอกอนอธิบายพลาดอะไร ก็ต้องรบกวนผู้รู้ที่ชำนาญออกมาเสริมเพิ่มเติมปรับแก้ไข... :b8:

สำหรับเอกอนแล้ว มองเห็นว่า ทุกอย่างจะรวมลงหักลงที่ตรงนั้นเท่านั้น

เพราะสำหรับเอกอนขึ้นชื่อว่า อุปทานขันธ์ 5 เป็น อาสวะ
ไม่ว่าจะหยิบตรงส่วนไหนของ อุปทานขันธ์ 5 ก็ตาม

ตราบเท่าที่ผู้ปฏิบัติยังเดินจิตไปจนกระทั่งทำให้ อาสวะ ดับลงไม่ได้
ก็จะไม่มีทางได้เห็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า อวิชชา

พระสูตรนี้ ต่างจากตำราที่เรารับทราบกันโดยทั่วไป
ตรงที่

พระสารีบุตรได้กล่าวถึง อวิชชา โดยลำดับสภาวะจิต
คือ อาสวะดับ จิตประกอบด้วยวิชชา/ปัญญา
จิตซึ่งประกอบด้วยวิชชา/ปัญญา เห็นสภาวะที่ดับไป
และเห็น อวิชชา ที่ดำเนิน/ตั้งอยู่ด้วย อาสวะ

ซึ่งขันธ์ 5 เป็นที่ตั้งของ อาสวะ :b1:
การจัดการกับ อวิชชา ด้วย ปัญญา ก็เป็นสภาวะธรรมตรงนี้ล่ะ

ซึ่งจิตที่พ้นไปจาก อาสวะ ก็จะไปตั้งอยู่เหนือความ พอใจ ความไม่พอใจ ต่าง ๆ นานา

:b1:

ปัญญา ที่เห็นความเป็นไปแห่ง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ...

ซึ่ง...โดยระดับปัญญาพระสารีบุตรแล้วท่านจะไม่เห็นการตัดวงจรที่ตรงไหน
จะยิ่งไปกว่า การดับอาสวะ ...

แม้พระพุทธเจ้า ก็จะไม่เห็นการตัดวรจรตรงไหนยิ่งไปกว่า การดับอาสวะ

มีแต่ชั้นหลัง ๆ มา ที่จะสอดแทรกการตัดวงจรในที่ต่าง ๆ
ซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดอะไร เพียงแต่ธรรมนั้นยังไม่ใช่ที่สุด...

:b1:

อนุโมทนา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 05:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เอกอนถือว่าเอกอนจะตอบนะ
ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะ ธรรมอันว่าด้วย อาสวะ และลงถึงอาสวะดับไปนั้น ถือว่าลึกซึ้งมาก
ถ้าเอกอนอธิบายพลาดอะไร ก็ต้องรบกวนผู้รู้ที่ชำนาญออกมาเสริมเพิ่มเติมปรับแก้ไข... :b8:

สำหรับเอกอนแล้ว มองเห็นว่า ทุกอย่างจะรวมลงหักลงที่ตรงนั้นเท่านั้น

เพราะสำหรับเอกอนขึ้นชื่อว่า อุปทานขันธ์ 5 เป็น อาสวะ
ไม่ว่าจะหยิบตรงส่วนไหนของ อุปทานขันธ์ 5 ก็ตาม

ตราบเท่าที่ผู้ปฏิบัติยังเดินจิตไปจนกระทั่งทำให้ อาสวะ ดับลงไม่ได้
ก็จะไม่มีทางได้เห็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า อวิชชา

พระสูตรนี้ ต่างจากตำราที่เรารับทราบกันโดยทั่วไป
ตรงที่

พระสารีบุตรได้กล่าวถึง อวิชชา โดยลำดับสภาวะจิต
คือ อาสวะดับ จิตประกอบด้วยวิชชา/ปัญญา
จิตซึ่งประกอบด้วยวิชชา/ปัญญา เห็นสภาวะที่ดับไป
และเห็น อวิชชา ที่ดำเนิน/ตั้งอยู่ด้วย อาสวะ

ซึ่งขันธ์ 5 เป็นที่ตั้งของ อาสวะ :b1:
การจัดการกับ อวิชชา ด้วย ปัญญา ก็เป็นสภาวะธรรมตรงนี้ล่ะ

ซึ่งจิตที่พ้นไปจาก อาสวะ ก็จะไปตั้งอยู่เหนือความ พอใจ ความไม่พอใจ ต่าง ๆ นานา

:b1:

ปัญญา ที่เห็นความเป็นไปแห่ง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ...

ซึ่ง...โดยระดับปัญญาพระสารีบุตรแล้วท่านจะไม่เห็นการตัดวงจรที่ตรงไหน
จะยิ่งไปกว่า การดับอาสวะ ...

แม้พระพุทธเจ้า ก็จะไม่เห็นการตัดวรจรตรงไหนยิ่งไปกว่า การดับอาสวะ

มีแต่ชั้นหลัง ๆ มา ที่จะสอดแทรกการตัดวงจรในที่ต่าง ๆ
ซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดอะไร เพียงแต่ธรรมนั้นยังไม่ใช่ที่สุด...

:b1:

smiley
ก็มองกันคนละมุมเห็นชัดกันคนละจุดนะครับคุณเอก้อน
:b8:
แต่ผมมองเรื่องกำจัดอาสวะนั้นดูเป็นเรื่องใหญ่มีงานเยอะที่จะต้องศึกษาและทำ

ผมกลับไปมองเห็นการหักออกที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหาเป็นเรื่องง่ายและสอดคล้องกับสติปัฏฐาน 4. พอดีแล้วก็ได้ดีจากการทำตรงนี้จึงมาชักชวนมิตรสหายในธรรมพิสูจน์กันดูนะครับ

s004
ในที่สุดก็คงต้องทางใครทางมัน ทางหนูหนูไต่ ทางไก่ไก่เดิน
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 05:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ใช่ครับ...จะดับ..ต้องดับที่อวิชชา...

ที่ว่าดับตรงนั้นตรงนี้...เป็นแต่เพียงจุดที่คนๆนั้นเเข้าไปสู่อวิชชาได้ง่ายตามบุญบารมีที่สั่งสมมา...

นั้นละ..จึงมีผลเสมอกัน...

:b13:
นักวิชาการมั่นในตำราทั้งหลายก็มักจะตอบและพูดกันว่า

"ดับที่อวิชชา"


แต่นักปฏิบัติการทั้งหลายกลับชอบที่จะตอบว่า

"ดับที่อัตตา ความเห็นผิดยึดผิด" ซึ่งเห็นง่ายรู้ง่ายและตรงประเด็นสำหรับการปฏิบัติ


พระบรมศาสดาทรงเปิดพระโอฐแสดงธรรมวันที่ 2. ก็ทรงแสดงเรื่อง อนัตตาหรือการดับอัตตาทันที ไม่ใชเรื่องอื่น

นักวิชาการทั้งหลายน่าจะฉุกใจคิดหรือสะกิดใจว่าทำไมพระบรมศาสดาจึงทรงสอนและชี้เน้นเรื่องนี้ทันทีต่อจากปฐมเทศนา น่าจะมีนัยยะสำคัญอะไรซ่อนอยู่ ก่อนที่พระธรรมวินัยจะเพิ่มจาก 1 - 2. ไปเป็น 84,000 พระธรรมขันธ์อันยากจะศึกษาและเข้าใจได้ถูกต้องจบทั้งหมด



การดับอวิชชา เป็นผลพลอยได้ของการเจริญมรรค8

การเจริญสติปัฏฐาน4 ก็คือการเจริญมรรค8 หรือการเจริญการทำลายอาสวะและอวิชชา

อริยสัจ . มรรค 8. อนัตตา โพธิปักขิยธรรม 37 ประการล้วนรวมลงที่การเจริญการพอกพูนความดู เห็น รู้ สังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 06:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
smiley
ก็มองกันคนละมุมเห็นชัดกันคนละจุดนะครับคุณเอก้อน
:b8:
แต่ผมมองเรื่องกำจัดอาสวะนั้นดูเป็นเรื่องใหญ่มีงานเยอะที่จะต้องศึกษาและทำ

ผมกลับไปมองเห็นการหักออกที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหาเป็นเรื่องง่ายและสอดคล้องกับสติปัฏฐาน 4. พอดีแล้วก็ได้ดีจากการทำตรงนี้จึงมาชักชวนมิตรสหายในธรรมพิสูจน์กันดูนะครับ

s004
ในที่สุดก็คงต้องทางใครทางมัน ทางหนูหนูไต่ ทางไก่ไก่เดิน
:b44:


จะตรงไหน..ก็ใช้สติปัฏฐาน 4 ทั้งนั้นแหละคับ...ต่างก็ต้องมุ่งไปที่กำจัดอาสวะอวิชชาเหมือน ๆ กัน..จะมากจะน้อยสติปัฏฐาน 4 ก็ต้องมี...

อย่างอโสกะ..อาจถนัดดูตรงเวทนาต่อตัญหา...
อโสกะอาจคิดไม่ถึงว่าผมก็ถนัดดูตรงนี้...

และไม่ว่า..จะดูตรงจุดไหน...หากอภิชฉาและโทมนัส..สงบลง...เพราะสติรู้ทันและเข้าใจ...เกิดปราโมทย์..ปีติ..กายใจสงบ...มีอุเบกขา..สุขสงบ..ก็อย่าด่วนว่า..เราเข้าถึงแล้ว..เราเข้าใจแล้ว..นะครับ...ผมว่ามันยังไม่ถึงที่สุด...

ถ้าจะพูดแบบเอาใจกันนะ..ก็จะพูดว่า..สมยวิมุตติ...
ถ้าจะพูดแบบกลาง ๆ ก็จะพูดว่า...โลกียวิมุตติ
แต่ถ้าจะพูดแบบคนฟังรับไม่ได้..ก็จะพูดว่า..เป็นสมถะอยู่
(พอพูว่าสมถะ..คนฟังก็นึกเถียงว่า.ก็ฉันเข้าใจ..เห็นตามจริง..จริง ๆนะ..จะเป็นสมถะได้ยังงัย..100 ละ 90 ก็จะคิดอย่างนี้ )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 07:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามเห็นการเกิดดับ. กิจอื่นให้ทำยิ่งขึ้นไปกว่านี้ไม่มี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 29, 30, 31, 32, 33, 34, 35 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร