วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 22:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 23:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5016


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
มังกรน้อย สบายดีเน๊าะ


ทำไมเพิ่งจะขยับนิ้วล่ะท่าน

huh huh

ปล่อยให้เอกอนรอแล้วรออีก

onion onion onion

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 00:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ :b8:
**ขอผมแบ่งบันประสบการณ์ตรงของผมเองในเรื่อง มรรค ด้วยคนนะครับ หลังจากที่เห็นบางคนกล่าวว่า ปัญญาต้องนำหน้ามาก่อนศีลและสมาธิบ้าง ศีลมาก่อนแล้วสมาธิและปัญญาจึงตามมาบ้าง มรรคคือผลของวิปัสสนาบ้าง มรรคเป็นเหตุแห่งนิโรธบ้าง ซึ่งผมไม่ขอวิจารณ์ใดๆทั้งนั้น จะขอกล่าวแต่เรื่องของผมอย่างเดียวนะครับ
**ตอนผมยังเด็กพ่อแม่ผมสอนว่าให้เป็นเด็กดีอย่าทำบาปให้รักษาศีล 5 ไว้ ไม่อย่างนั้นตายไปจะตกนรกลงกะทะทองแดง แต่ถ้ารักษาศีล 5 และเป็นคนดีตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ แล้วตอนเด็กๆผมก็เป็นเด็กดีรักษาศีล 5 เพราะกลัวตกนรกไงครับ...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ...
**พอโตขึ้นมาระดับม.ต้น ผมก็เริ่มไม่กลัวบาปไม่กลัวตกนรกแล้ว ศีล 5 ก็ไม่สนใจแล้ว ทั้ง 5 ข้อเห็นมีแต่ข้อ 3 ข้อเดียวที่ไม่ได้ล่วงละเมิด...เพราะไม่มีโอกาสนะครับ...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ
**เพราะการที่ผมทำตัวไม่ดีไม่รักษาศีล ใจของผมจึงไม่ค่อยสงบมีแต่ความทุกข์ใจ กังวลใจ กลัวโน่นกลัวนี่ กลัวว่าความไม่ดีของตัวจะโดนพ่อแม่หรือคนอื่นๆรู้ เพราะงั้นการโกหกปกปิดมันก็เลยยิ่งมีมากขึ้นๆเรื่อยๆ จนมาถึงจุดจบและจุดเปลี่ยน...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ
**ในที่สุดความลับก็ไม่มีในโลก...พ่อแม่ก็รู้เรื่องไม่ดีทั้งหลายที่ผมทำจนได้...ด้วยอะไรหลายๆอย่างผมจึงสำนึกได้และเริ่มปรับปรุงตัวเองใหม่...กลับตัวเป็นคนดีของพ่อและแม่ เลิกทำตัวไม่ดีค่อยๆลดละมันไปเรื่อยๆ ศีล 5 ที่แทบจะไม่มีก็ค่อยๆก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นลำดับๆ เพราะสำนึกในบาปกรรมที่ตัวเองทำกับพ่อแม่และในเรื่องต่างๆได้ที่เคยทำได้...หิริ โอตตัปปะเริ่มมีขึ้นมาแล้ว... คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ
**พอรักษาศีล 5 ได้อีกครั้งคราวนี้มันรู้สึกถึงความแตกต่างจากตอนไม่มีศีล 5 ชัดเจน เพราะใจมันสงบมันไม่มีอะไรให้กังวล กายก็สงบไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาทำร้าย จะคิดจะพูดจาจะทำอะไรๆมันก็สบายใจ...มันรู้สึกได้ถึงตรงนั้นทีนี้มันก็เลยยึดไว้ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือแบบว่ามันเสียดายไม่อยากไปเริ่มนับหนึ่งใหม่แล้ว...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ
**ก็อยู่ก็เป็นแบบนั้นมาจนถึงอายุ 25 คือรักษาแต่ศีลแต่ด้านสมาธิด้านปัญญานี่ไม่ได้ศึกษาเลย..เรื่องรักๆหลงๆก็เลยมีเหมือนคนปกติ แต่ความโกรธกับความโลภนี่ตอนนั้นละเอียดแล้วแทบไม่มีแล้ว...แล้วก็ได้บวชอายุ25 นี่แหละ บวชวัดป่าแถวๆบ้านนอก พระอาจารย์ท่านก็ดำเนินปฏิปทาตามแนวคำสอนของพระอาจารญ์ใหญ่คือหลวงปู่มั่นครับ คำสอนท่านก็บอกเพียงว่าบวชน้อยวันแบบนี้ให้ปฏิบัติให้มาก เอาให้มันได้เยอะๆ เราเป็นพระแล้วทำกิจของพระให้เต็มที่ แล้วท่านก็ชี้ไปที่ตู้เก็บหนังสือครูบาอาจารย์ทั้งหลายบอกว่าให้เอาไปอ่านไปศึกษาดู...หยิบเล่มแรกก็ได้นี่เลยครับ...หยดน้ำบนใบบัว
**ใช้เวลาอ่านไม่นานนักก็อ่านจบเล่ม เกิดศรัทธาความปลาบปลื้มใจตามมา เพราะตอนที่อ่านนั้นอ่านด้วยความมีสมาธิจดจ่อ สติก็ตามรู้ตามพิจารณาตามธรรมที่อ่าน เกิดความเห็นจริงเกี่ยวกับความวุ่นวายทางโลกและทางใจ...แล้วก็น้อมเข้ามาสู่ตอนปัจจุบันที่เป็นพระที่กำลังศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่ในตอนนั้น มันแตกต่างกันมากมันสงบกว่ากันมาก จนรู้สึกว่าตัวเรานี้เบาเหลือเกิน...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ
**ก็ศึกษาตำราและหมั่นปฏิบัติอย่างเต็มกำลังใจในขณะนั้นจนครบ 7 วันก็ลาสิกขา...แต่ใจที่มันเห็นธรรมแล้ว ดวงธรรมเกิดขึ้นในใจแล้ว มันไม่ได้สึกตามมาด้วยมันยังเต็มไปด้วยความศรัทธาเทิดทูนในพระธรรมคำสอน ในผลแห่งการปฏิบัติ...ผ่านมาเกือบ 3 ปี ก็ยังหมั่นปฏิบัติอยู่เนืองๆแต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อตอนที่บวช เพราะสถานะไม่อำนวยเท่าไร...ผลที่ได้ก็มีเจริญขึ้นบ้าง อยู่ที่เดิมบ้างและมีถอยลงบ้างในบางอย่าง แต่ก็รู้ตัวอยู่เสมอจึงยังพอแก้ใขได้ทัน...คิดว่าตอนนี้ผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ
**การปฏิบัติของผมนั้น ผมเริ่มที่ศีลก่อน เมื่อมีศีลมากขึ้น ความสงบมันก็มีมากขึ้น เมื่อใจสงบมากขึ้นๆ สติของผมก็รู้สึกตัวได้ชัดขึ้นว่ามีศีลแล้วมันทำให้ใจและกายสงบแบบนี้เองนะ...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ...แล้วก็จนได้บวชนั้นแหละครับผมถึงกล้าพูดว่าได้ทำ ไตรสิกขาครบสมบูรณ์ทั้ง 3 อย่าง คือ ศีล สมาธิและปัญญา...ที่นี้พอมันครบองค์แล้วอุปมาก็เหมือนลากดินสอเป็นวงกลมนั่นแหละครับ อะไรก่อนอะไรหลังไม่เรื่องสำคัญที่จะมาใส่ใจแล้ว มันลากมาครบรอบแล้วทีนี้ก็ลากเป็นวงซ้ำๆไปเรื่อยๆ รอยดินสอมันก็จะเข้มขึ้นเรื่อยๆเรื่อยๆ เมื่อถึงที่สุดแล้วกระดาษที่เราลากวงกลมมันก็ต้องขาดทะลุหลุดออกไปจนได้ฉันใด ไตรสิกขาหรือมรรคเมื่อครบองค์แล้วทำให้เข้มขึ้นเรื่อยๆก็ย่อมไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้เช่นกันครับ...
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 00:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5016


 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)
อ้างคำพูด:
๓. มหาเวทัลลสูตร

เรื่องประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ

ก. พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยอะไร?
สา. พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ.
ก. ปัญญา มีอะไรเป็นประโยชน์?
สา. ปัญญา มีความรู้ยิ่งเป็นประโยชน์ มีความกำหนดรู้เป็นประโยชน์ มีความละเป็น
ประโยชน์.
[๔๙๗] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มีเท่าไร?
สา. ธรรม ๒ ประการ คือความได้สดับแต่บุคคลอื่น ๑ ความทำในใจโดยแยบคาย ๑
เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ ธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นปัจจัยเมื่อความเกิดขึ้นแห่ง
สัมมาทิฏฐิ.
ก. สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญา
วิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย
อันองค์ธรรมเท่าไรอนุเคราะห์แล้ว?
สา. สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญา
วิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการ อนุเคราะห์
แล้ว คือ สัมมาทิฏฐิ อันศีลอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสากัจฉาอนุเคราะห์
แล้ว ๑ อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว ๑
สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็น
ผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติ
เป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการนี้แล อนุเคราะห์แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 00:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5016


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับ :b8:

**การปฏิบัติของผมนั้น ผมเริ่มที่ศีลก่อน เมื่อมีศีลมากขึ้น ความสงบมันก็มีมากขึ้น เมื่อใจสงบมากขึ้นๆ สติของผมก็รู้สึกตัวได้ชัดขึ้นว่ามีศีลแล้วมันทำให้ใจและกายสงบแบบนี้เองนะ...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ...แล้วก็จนได้บวชนั้นแหละครับผมถึงกล้าพูดว่าได้ทำ ไตรสิกขาครบสมบูรณ์ทั้ง 3 อย่าง คือ ศีล สมาธิและปัญญา...ที่นี้พอมันครบองค์แล้วอุปมาก็เหมือนลากดินสอเป็นวงกลมนั่นแหละครับ อะไรก่อนอะไรหลังไม่เรื่องสำคัญที่จะมาใส่ใจแล้ว มันลากมาครบรอบแล้วทีนี้ก็ลากเป็นวงซ้ำๆไปเรื่อยๆ รอยดินสอมันก็จะเข้มขึ้นเรื่อยๆเรื่อยๆ เมื่อถึงที่สุดแล้วกระดาษที่เราลากวงกลมมันก็ต้องขาดทะลุหลุดออกไปจนได้ฉันใด ไตรสิกขาหรือมรรคเมื่อครบองค์แล้วทำให้เข้มขึ้นเรื่อยๆก็ย่อมไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้เช่นกันครับ...
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ :b8:


ก็ทำนองเดียวกัน

:b16: :b27: :b27: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 00:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ :b8:


ไม่เป็นไร...ครับ smiley smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 00:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับ :b8:

**การปฏิบัติของผมนั้น ผมเริ่มที่ศีลก่อน เมื่อมีศีลมากขึ้น ความสงบมันก็มีมากขึ้น เมื่อใจสงบมากขึ้นๆ สติของผมก็รู้สึกตัวได้ชัดขึ้นว่ามีศีลแล้วมันทำให้ใจและกายสงบแบบนี้เองนะ...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ...แล้วก็จนได้บวชนั้นแหละครับผมถึงกล้าพูดว่าได้ทำ ไตรสิกขาครบสมบูรณ์ทั้ง 3 อย่าง คือ ศีล สมาธิและปัญญา...ที่นี้พอมันครบองค์แล้วอุปมาก็เหมือนลากดินสอเป็นวงกลมนั่นแหละครับ อะไรก่อนอะไรหลังไม่เรื่องสำคัญที่จะมาใส่ใจแล้ว มันลากมาครบรอบแล้วทีนี้ก็ลากเป็นวงซ้ำๆไปเรื่อยๆ รอยดินสอมันก็จะเข้มขึ้นเรื่อยๆเรื่อยๆ เมื่อถึงที่สุดแล้วกระดาษที่เราลากวงกลมมันก็ต้องขาดทะลุหลุดออกไปจนได้ฉันใด ไตรสิกขาหรือมรรคเมื่อครบองค์แล้วทำให้เข้มขึ้นเรื่อยๆก็ย่อมไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้เช่นกันครับ...
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ :b8:


ก็ทำนองเดียวกัน

:b16: :b27: :b27: :b16:


:b16: :b27: :b27: :b16:[/quote]

คือผมเคยฟังคำตอบจากพระรูปหนึ่งเรื่องนี้ครับ ท่านว่า อะไรก่อน หรือหลัง ก็ไม่สำคัญ เพียงแต่ว่า
ท่านต้องมี สติเพื่อรักษาศิลให้บริสุทธิ์ เมื่อสติเกิด ให้ทำจิตมีสมาธิเพื่อให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองธรรมและจงใช้วนรอบกันอยู่ตลอด จนกว่าปัญญาจะทำให้จิตหลุดพ้นเข้าสู่นิพพานได้ ปัญญาเพิ่มได้จากการหาความรู้ แต่จะใช้ได้ดีที่สุด เมื่อมีสมาธิ สมาธิไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา ที่พระท่านสอนว่า มีสมาธิแล้วจะเกิดปัญญานั้น ความนัยคือ จิตจะใช้ปัญญา จากความรู้ต่างๆที่สะสมไว้ ได้ดีที่สุดก็ตอนที่จิต มีสมาธิ ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 05:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับ :b8:
**ตอนผมยังเด็กพ่อแม่ผมสอนว่าให้เป็นเด็กดีอย่าทำบาปให้รักษาศีล 5 ไว้ ไม่อย่างนั้นตายไป
จะตกรกลงกะทะทองแดง แต่ถ้ารักษาศีล 5 และเป็นคนดีตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ แล้วตอนเด็กๆ
ผมก็เป็นเด็กดีรักษาศีล 5 เพราะกลัวตกนรกไงครับ...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญา
หรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ
...

ขออนุญาติวิจารณ์ด้วยฐานะกัลยาณมิตรครับ
พ่อแม่ของคุณพระป่าสอนถูกแล้วครับ สิ่งแรกที่ชาวพุทธควรปฏิบัติก็คือ
ถือศีลทำทาน ที่จริงจะต้องมีสติด้วย แต่ด้วยความเป็นเด็ก อาจจะยังไม่เข้าใจ
ว่าสติเป็นอย่างไร สอนให้เด็กมีศีลมีทานถูกแล้วครับ เรื่องสติโตขึ้นเข้าใจแล้ว
จึงค่อยปฏิบัติ อีกเรื่องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนรกสวรรค์ ที่เอามาสอนเด็ก
บางคนเห็นด้วย บางคนไม่เห็นด้วย ส่วนตัวผมเห็นด้วยเพราะเด็กยังไม่มีความเข้าใจ
เราจึงต้องหาอะไรมาเป็นกุศโลบายสอนเด็กครับ
ถามถึงเรื่องทิฐิ ตอนนี้คุณเป็นแค่มิจฉาทิฐิครับ เพราะคุณทำทุกอย่างไป
เพราะความกลัว เชื่อคำพ่อแม่ ไม่ใช่เชื่อจากศรัทธา
ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับ :b8:
**พอโตขึ้นมาระดับม.ต้น ผมก็เริ่มไม่กลัวบาปไม่กลัวตกนรกแล้ว ศีล 5 ก็ไม่สนใจแล้ว ทั้ง 5 ข้อเห็นมีแต่ข้อ 3 ข้อเดียวที่ไม่ได้ล่วงละเมิด...เพราะไม่มีโอกาสนะครับ...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ
[/color]

อันนี้ต้องพิจารณาก่อนครับว่า ที่คุณทำไปเพราะไม่เชื่อว่า ผลกรรมมีจริงหรือไม่
ถ้าไม่เชื่อว่าผลกรรมมีจริงเป็น มิจฉาทิฐิ
แต่ถ้าทำไปเพราะตัณหาจึงทำลงไป แต่มาคิดได้ว่ามันผิดศีล อีกหน่อยต้องชดใช้
นี่เป็นสัมมาทิฐิแต่เป็นแค่โลกียะ เรื่องปัญญายังไม่ต้องพูดถึงเลยครับ
ลูกพระป่า เขียน:
**เพราะการที่ผมทำตัวไม่ดีไม่รักษาศีล ใจของผมจึงไม่ค่อยสงบมีแต่ความทุกข์ใจ กังวลใจ กลัวโน่นกลัวนี่ กลัวว่าความไม่ดีของตัวจะโดนพ่อแม่หรือคนอื่นๆรู้ เพราะงั้นการโกหกปกปิดมันก็เลยยิ่งมีมากขึ้นๆเรื่อยๆ จนมาถึงจุดจบและจุดเปลี่ยน...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ:

ความกลัวแบบของคุณ คนไม่มีศาสนาก็เป็นครับ มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์
เป็นกิเลสตัณหาครับ การไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจก็เป็นตัณหาอย่างหนึ่งครับ
จุดเปลี่ยนมันต้องดูว่าเปลี่ยนจากสาเหตุใด ถ้าเปลี่ยนเพราะกลัวพ่อแม่เสียใจ
เขาไม่เรียกว่าเปลี่ยนครับ แต่ถ้าเปลี่ยนเพราะเห็นทุกข์อันเกิดจากการกระทำ
แบบนี้ถึงเรียกว่าจุดเปลี่ยน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
**ในที่สุดความลับก็ไม่มีในโลก...พ่อแม่ก็รู้เรื่องไม่ดีทั้งหลายที่ผมทำจนได้...ด้วยอะไรหลายๆอย่างผมจึงสำนึกได้และเริ่มปรับปรุงตัวเองใหม่...กลับตัวเป็นคนดีของพ่อและแม่ เลิกทำตัวไม่ดีค่อยๆลดละมันไปเรื่อยๆ ศีล 5 ที่แทบจะไม่มีก็ค่อยๆก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นลำดับๆ เพราะสำนึกในบาปกรรมที่ตัวเองทำกับพ่อแม่และในเรื่องต่างๆได้ที่เคยทำได้...หิริ โอตตัปปะเริ่มมีขึ้นมาแล้ว... คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ

ที่ว่าหิริโอตัปปะหรือศีลห้าที่คุณว่า มันไม่ใช่ครับ มันเป็นแค่ แต่จะสติหรือไม่ก็ต้องดูก่อนว่า
ที่ไม่ทำเพราะกลัวพ่อแม่เสียใจหรือไม่ ถ้าทำแล้วพ่อแม่ไม่เสียใจแต่ผิดศีลก็ทำ
อันนี้ไม่เรียกสติเรียกการปรุงแต่งเป็นกิเลส

หิริโอตัปปะหรือศีล จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ มีความเชื่อในกรรมที่กระทำ
หรือเรื่องของชาตินี้ชาติหน้านั้นแหล่ะ ไม่ใช่กลัวพ่อแม่เสียใจ
ลูกพระป่า เขียน:
****พอรักษาศีล 5 ได้อีกครั้งคราวนี้มันรู้สึกถึงความแตกต่างจากตอนไม่มีศีล 5 ชัดเจน เพราะใจมันสงบมันไม่มีอะไรให้กังวล กายก็สงบไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาทำร้าย จะคิดจะพูดจาจะทำอะไรๆมันก็สบายใจ...มันรู้สึกได้ถึงตรงนั้นทีนี้มันก็เลยยึดไว้ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือแบบว่ามันเสียดายไม่อยากไปเริ่มนับหนึ่งใหม่แล้ว...คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ

อันนี้เรียกว่า กิเลสในเรื่องศีลพรตปรามาสเต็มเปี่ยม อย่าถามถึงปัญญาเลยครับ
ลูกพระป่า เขียน:
ก็อยู่ก็เป็นแบบนั้นมาจนถึงอายุ 25 คือรักษาแต่ศีลแต่ด้านสมาธิด้านปัญญานี่ไม่ได้ศึกษาเลย..เรื่องรักๆหลงๆก็เลยมีเหมือนคนปกติ แต่ความโกรธกับความโลภนี่ตอนนั้นละเอียดแล้วแทบไม่มีแล้ว...แล้วก็ได้บวชอายุ25 นี่แหละ บวชวัดป่าแถวๆบ้านนอก พระอาจารย์ท่านก็ดำเนินปฏิปทาตามแนวคำสอนของพระอาจารญ์ใหญ่คือหลวงปู่มั่นครับ คำสอนท่านก็บอกเพียงว่าบวชน้อยวันแบบนี้ให้ปฏิบัติให้มาก เอาให้มันได้เยอะๆ เราเป็นพระแล้วทำกิจของพระให้เต็มที่ แล้วท่านก็ชี้ไปที่ตู้เก็บหนังสือครูบาอาจารย์ทั้งหลายบอกว่าให้เอาไปอ่านไปศึกษาดู...หยิบเล่มแรกก็ได้นี่เลยครับ...หยดน้ำบนใบบัว
:

เรื่องรักๆหลงๆนั้นแหล่ะคือ ความโกรธ ความโลภครับ
สังขารคนเรามีสามตัวคือ จิตสังขาร วจีสังขาร กายสังขาร
ที่คุณบอกว่ามีแต่รักๆหลงๆ มันก็คือโลภและโทสะ มันเป็นจิตสังขาร
แต่ที่บอกว่าไม่มีโลภและโกรธ ก็เพราะคุณไปกดข่มเอาไว้ อาจด้วยสติ
หรือเป็นเพราะกลัว

แปลกดีครับ พระอาจารย์บอกว่าบวชน้อยวันให้ปฏิบัติให้มากๆ
แล้วทำไมชี้ไปที่ตู้หนังสือ ให้อ่านให้ศึกษาดู
สงสัยทำไมอาจารย์ไม่สอนวิธีปฏิบัติเองเลยล่ะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 07:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


จากที่กล่าวกันว่า มรรคคือผลของวิปัสสนาบ้าง ผมจึงแสวงหาคำตอบจาก นาย กูเกิลมา ได้ดังนี้
ตัวอย่าง
ภาวนาแบบไหนดี (จาก อุปลมณี หลวงปู่ชา สุภัทโท)
แนวทางทำสมาธิใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง ไปสู่การไม่ยึดมั่น เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง
การภาวนาคือการทำความคิดเห็นที่ถูกต้อง ทำเพื่อปล่อยวาง ท่านใช้ "อานาปานสติ" เป็นหลักเพราะง่ายแก่การปฏิบัติเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ อาการบังคับตัวเองให้กำหนดลมหายใจ ข้อนี้เป็น "ศีล" การกำหนดลมหายใจได้และติดต่อกันไปจนจิตสงบ เรียกว่า "สมาธิ" การพิจารณากำหนดลมหายใจว่า ไม่เที่ยง ทนได้ยาก มิใช่ตัวตนแล้วรู้การปล่อยวาง เรียกว่า "ปัญญา"
การทำอานาปานสติภาวนา จึงกล่าวได้ว่าเป็นการบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญาไปพร้อมกัน เมื่อทำได้ครบก็ชื่อว่าเดินทางตามมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นทางสายเอก ประเสริฐกว่าทางทั้งหมด เพราะเข้าถึงนิพพานได้นั่นเอง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประโยชน์ของสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานมีประโยชน์มาก คือ
ผมยกข้อ 19 มาข้อเดียว
19.ชื่อว่าได้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ทางสายกลาง

จากตอนหนึ่งของหนังสือชื่อว่า ชีวิตคืออะไร ของ ท่านพุทธทาส
สัจธรรมเรื่องสุดท้าย คือ แนวทางปฏิบัติ เพื่อบรรลุเป้าหมาย การพ้นทุกข์ เรียกว่า มรรค ประกอบด้วย กิจกรรมที่ต้องปฏิบัติกาย ปฏิบัติใจทั้งสิ้น 8 กิจกรรมด้วยกัน เริ่มตั้งแต่การศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจ จนเกิดความเห็นชอบ หรือ สัมมาทิฐิ ปฏิบัติเรื่อยไป จนถึงการเจริญสมาธิ วิปัสสนา ตามแนวทางที่ถูกต้องเป็นสัมมาสมาธิการพิจารณา อริยสัจ ทั้ง 4 เพื่อค้นหาสิ่งที่เป็นแก่น เป็นหัวใจของศาสนา หากลองแบ่ง สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เช่นแบ่งออกตามลักษณะการเกิดจำแนกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ

ส่วนที่เกิดก่อนและส่วนที่เกิดในยุคพระพุทธเจ้า ส่วนที่เกิดก่อน ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย และ นิโรธ เป็นส่วนที่พระพุทธเจ้าได้ชี้นำให้เรา เห็นให้เราเข้าใจในธรรมชาติ เป็นธรรมะ เป็นความจริงของโลก เป็นสภาวะที่มีอยู่แล้วตามปกติ เรื่องเหล่านี้มีเกิดดับอยู่ใน ธรรมชาติมานานแล้ว ไม่ใช่ของใหม่ อริยสัจ

ส่วนหลัง คือ มรรค เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้คิดค้นขึ้นมา เป็นนวัตกรรมทางชีวิต จิต และ วิญญาณ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว และยังเป็นที่เลื่อมใส เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธถึงทุกวันนี้ การบ่งบอกว่าผู้ใดเป็นชาวพุทธให้ดูจากวิถีปฏิบัติ ผู้คนอาจมีความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องโลก เรื่องทุกข์ เหมือนกัน แต่หากหาทางพ้นทุกข์ด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่ มรรคทั้ง 8 นั้น ไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้า

หวังว่าเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ต้องรู้จักก่อนว่า รถยนต์คันนี้มันจะขับยังไง
อะไรต้องทำก่อน อะไรต้องทำทีหลัง

คนทุกคนมีสิทธิที่จะขับรถยนต์ได้ทุกคน
แต่การขับรถยนต์เป็นได้ ใช่ว่าจะทำได้หมดทุกๆคน :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 10:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8: ขอบคุณมากครับสำหรับข้อวิจารณ์และแนะนำที่พี่ให้ผมมา แต่มี 2-3 เรื่องที่ผมขออนุญาตชี้แจงเพิ่มนะครับ
1.
อ้างคำพูด:
ลูกพระป่า เขียน:
**ในที่สุดความลับก็ไม่มีในโลก...พ่อแม่ก็รู้เรื่องไม่ดีทั้งหลายที่ผมทำจนได้...ด้วยอะไรหลายๆอย่างผมจึงสำนึกได้และเริ่มปรับปรุงตัวเองใหม่...กลับตัวเป็นคนดีของพ่อและแม่ เลิกทำตัวไม่ดีค่อยๆลดละมันไปเรื่อยๆ ศีล 5 ที่แทบจะไม่มีก็ค่อยๆก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นลำดับๆ เพราะสำนึกในบาปกรรมที่ตัวเองทำกับพ่อแม่และในเรื่องต่างๆได้ที่เคยทำได้...หิริ โอตตัปปะเริ่มมีขึ้นมาแล้ว... คิดว่าตอนนั้นผมมีปัญญาหรือยัง มีสัมมาทิฏฐิหรือยังครับ

ที่ว่าหิริโอตัปปะหรือศีลห้าที่คุณว่า มันไม่ใช่ครับ มันเป็นแค่ แต่จะสติหรือไม่ก็ต้องดูก่อนว่า
ที่ไม่ทำเพราะกลัวพ่อแม่เสียใจหรือไม่ ถ้าทำแล้วพ่อแม่ไม่เสียใจแต่ผิดศีลก็ทำ
อันนี้ไม่เรียกสติเรียกการปรุงแต่งเป็นกิเลส

หิริโอตัปปะหรือศีล จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ มีความเชื่อในกรรมที่กระทำ
หรือเรื่องของชาตินี้ชาติหน้านั้นแหล่ะ ไม่ใช่กลัวพ่อแม่เสียใจ

พี่อ่านไม่ดีหรือว่าพี่ใช้จิตพี่ปรุงแต่งถึงทำให้ประโยคที่เป็นสีแดงนั้นกลายเป็นในความหมายอื่นที่พี่ต้องการไป...
อ้างคำพูด:
ลูกพระป่า เขียน:
ก็อยู่ก็เป็นแบบนั้นมาจนถึงอายุ 25 คือรักษาแต่ศีลแต่ด้านสมาธิด้านปัญญานี่ไม่ได้ศึกษาเลย..เรื่องรักๆหลงๆก็เลยมีเหมือนคนปกติ แต่ความโกรธกับความโลภนี่ตอนนั้นละเอียดแล้วแทบไม่มีแล้ว...แล้วก็ได้บวชอายุ25 นี่แหละ บวชวัดป่าแถวๆบ้านนอก พระอาจารย์ท่านก็ดำเนินปฏิปทาตามแนวคำสอนของพระอาจารญ์ใหญ่คือหลวงปู่มั่นครับ คำสอนท่านก็บอกเพียงว่าบวชน้อยวันแบบนี้ให้ปฏิบัติให้มาก เอาให้มันได้เยอะๆ เราเป็นพระแล้วทำกิจของพระให้เต็มที่ แล้วท่านก็ชี้ไปที่ตู้เก็บหนังสือครูบาอาจารย์ทั้งหลายบอกว่าให้เอาไปอ่านไปศึกษาดู...หยิบเล่มแรกก็ได้นี่เลยครับ...หยดน้ำบนใบบัว
:

เรื่องรักๆหลงๆนั้นแหล่ะคือ ความโกรธ ความโลภครับ
สังขารคนเรามีสามตัวคือ จิตสังขาร วจีสังขาร กายสังขาร
ที่คุณบอกว่ามีแต่รักๆหลงๆ มันก็คือโลภและโทสะ มันเป็นจิตสังขาร
แต่ที่บอกว่าไม่มีโลภและโกรธ ก็เพราะคุณไปกดข่มเอาไว้ อาจด้วยสติ
หรือเป็นเพราะกลัว

แปลกดีครับ พระอาจารย์บอกว่าบวชน้อยวันให้ปฏิบัติให้มากๆ
แล้วทำไมชี้ไปที่ตู้หนังสือ ให้อ่านให้ศึกษาดู
สงสัยทำไมอาจารย์ไม่สอนวิธีปฏิบัติเองเลยล่ะครับ

พี่อ่านไม่ดีหรือว่าพี่ใช้จิตพี่ปรุงแต่งถึงทำให้ประโยคที่เป็นสีแเดงนั้นกลายเป็นในความหมายอื่นที่พี่ต้องการไป ผมก็บอกอยู่ว่ามันยังมีนะ :b23: ...ถ้าความรักคือความโกรธคือความโลภ กราบขออภัยนะครับ :b8: ถ้าผมถามพี่แบบนี้ว่าพี่คิดยังไงกับพ่อแม่พี่ครอบครัวของพี่ เพื่อนๆของพี่ พี่น้องของพี่...พี่มีความโกรธมีความโลภให้กับพวกเค้าหรือครับและจากคำที่เป็นสีเขียวแสดงว่าพี่คิดว่าคนทั้งหลายที่ผมกล่าวมานั้นเค้ามีความโกรธมีความโลภให้กับพี่หรอครับ...
เกี่ยวกับพระอาจารย์ผมนั้นผมไม่สงสัยเลยครับ...แต่ถ้าพี่ต้องการคำตอบซึ่งเป็นคำตอบที่ผมคิดได้เองก็คือ ท่านต้องการดูความตั้งใจของผมก่อนนั่นแหละ...หวังว่าคงคลายข้อสงสัยในตัวพระอาจารย์ผมได้บ้างนะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 11:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
.......
คือผมเคยฟังคำตอบจากพระรูปหนึ่งเรื่องนี้ครับ ท่านว่า อะไรก่อน หรือหลัง ก็ไม่สำคัญ เพียงแต่ว่า
ท่านต้องมี [color=000]สติ[/color]เพื่อรักษาศิลให้บริสุทธิ์ เมื่อสติเกิด ให้ทำจิตมีสมาธิเพื่อให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองธรรมและจงใช้วนรอบกันอยู่ตลอด จนกว่าปัญญาจะทำให้จิตหลุดพ้นเข้าสู่นิพพานได้ ปัญญาเพิ่มได้จากการหาความรู้ แต่จะใช้ได้ดีที่สุด เมื่อมีสมาธิ สมาธิไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา ที่พระท่านสอนว่า มีสมาธิแล้วจะเกิดปัญญานั้น ความนัยคือ จิตจะใช้ปัญญา จากความรู้ต่างๆที่สะสมไว้ ได้ดีที่สุดก็ตอนที่จิต มีสมาธิ ครับ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 11:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5016


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:

คือผมเคยฟังคำตอบจากพระรูปหนึ่งเรื่องนี้ครับ ท่านว่า อะไรก่อน หรือหลัง ก็ไม่สำคัญ เพียงแต่ว่า
ท่านต้องมี สติเพื่อรักษาศิลให้บริสุทธิ์ เมื่อสติเกิด ให้ทำจิตมีสมาธิเพื่อให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองธรรมและจงใช้วนรอบกันอยู่ตลอด จนกว่าปัญญาจะทำให้จิตหลุดพ้นเข้าสู่นิพพานได้ ปัญญาเพิ่มได้จากการหาความรู้ แต่จะใช้ได้ดีที่สุด เมื่อมีสมาธิ สมาธิไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา ที่พระท่านสอนว่า มีสมาธิแล้วจะเกิดปัญญานั้น ความนัยคือ จิตจะใช้ปัญญา จากความรู้ต่างๆที่สะสมไว้ ได้ดีที่สุดก็ตอนที่จิต มีสมาธิ ครับ


:b27: :b27: :b27:

ใช่ทำนองนั้น ทำอะไรต้องมีสติประกอบ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
พี่อ่านไม่ดีหรือว่าพี่ใช้จิตพี่ปรุงแต่งถึงทำให้ประโยคที่เป็นสีแดงนั้นกลายเป็นในความหมายอื่นที่พี่ต้องการไป...

อย่าพึ่งโกรธซิครับ แหม่! ยังแสดงความเห็นไม่จบเลย
เอาไว้โกรธรวบยอดที่เดียวเลยก็ได้ครับ :b13:
ลูกพระป่า เขียน:
พี่อ่านไม่ดีหรือว่าพี่ใช้จิตพี่ปรุงแต่งถึงทำให้ประโยคที่เป็นสีแเดงนั้นกลายเป็นในความหมายอื่นที่พี่ต้องการไป ผมก็บอกอยู่ว่ามันยังมีนะ :b23: ...ถ้าความรักคือความโกรธคือความโลภ กราบขออภัยนะครับ

ที่พูดก็พูดตามพระอภิธรรม เปรียบเทียบปรมัตถ์ธรรมให้ดู
รวบลัดให้ฟัง พ่อแม่สอนศีลธรรม ไม่ให้ทำบาป
ตัวเองไม่ทำบาปเพราะกลัวพ่อแม่เสียใจ มันไม่ได้ครับ
มันต้องดูต้องเชื่อที่ผลบาปผลกรรม ไม่ใช่กลัวพ่อแม่เสียใจ

สมมุตินะครับ ถ้ามีพ่อแม่คนอื่นที่มีอาชีพค้าขาย
สอนวิธีขายของเอากำไรมากๆ โดยไม่ดูความเดือดร้อนคนอื่น
แบบนี้เราก็ต้องปฏิบัติตามเพราะกลัวพ่อแม่เสียใจหรือครับ

ในทศชาติชาดกก็มีหลายท่านที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ เพราะยึดมั่นในศีล
แม้พระพุทธเจ้าเองก็ทำให้พระราชบิดาเสียพระทัย เพราะไม่อยากเป็นกษัตริย์
ลูกพระป่า เขียน:
ถ้าผมถามพี่แบบนี้ว่าพี่คิดยังไงกับพ่อแม่พี่ครอบครัวของพี่ เพื่อนๆของพี่ พี่น้องของพี่...พี่มีความโกรธมีความโลภให้กับพวกเค้าหรือครับและจากคำที่เป็นสีเขียวแสดงว่าพี่คิดว่าคนทั้งหลายที่ผมกล่าวมานั้นเค้ามีความโกรธมีความโลภให้กับพี่หรอครับ...

ใช่ครับใจผมมีโลภะทุกครั้ง เมื่ออยากให้พ่อแม่พี่น้องและเพื่อนมีความสุข
บางครั้งใครสักคนที่กล่าวมา ได้รับความลำบาก ใจผมจะเกิดโทสะครับ
ลูกพระป่า เขียน:
เกี่ยวกับพระอาจารย์ผมนั้นผมไม่สงสัยเลยครับ...แต่ถ้าพี่ต้องการคำตอบซึ่งเป็นคำตอบที่ผมคิดได้เองก็คือ ท่านต้องการดูความตั้งใจของผมก่อนนั่นแหละ...หวังว่าคงคลายข้อสงสัยในตัวพระอาจารย์ผมได้บ้างนะครับ :b8:

ถ้าผมเป็นอาจารย์ของคุณพระป่า ผมจะบอกคุณว่า...
อยากทำก็อะไรก็ทำไปเถอะ บวชแค่เจ็ดวันเอง ได้ถ่ายรูปไว้อวดลูกหลาน
ก็ดีถมถืดแล้ว :b13:

ผมบวชตั้งพรรษา หลวงตายังว่าเลย แค่พรรษาเดียวจะอะไรกันหนักหนา
หนังสือไม่มีได้แตะหรอกครับ ต้องขึ้นเขาไปทำไร่ ปลูกสมุนไพร่โน้นครับ
หลวงตาบอกว่า การทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม แต่ต้องมีสติกับงานที่ทำ

ถ้าอยากอ่านหนังสือ หรือบวชเพื่อถือศีล ทำอยู่ที่บ้านก็ได้
ไม่ต้องมาบวชมันเปลืองข้าวชาวบ้านเขา

หลวงตาเขาว่าอย่างนี้จริงๆไม่ได้ประชดนะครับ
เอามาเล่าสู่กันฟัง :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 15:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อย่าพึ่งโกรธซิครับ แหม่! ยังแสดงความเห็นไม่จบเลย
เอาไว้โกรธรวบยอดที่เดียวเลยก็ได้ครับ :b13:

สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
ผมไม่ได้โกรธจริงๆนะ แต่ผมแค่ไม่เข้าใจว่าตรงที่ผมได้ใส่ดีแดงไว้นั่นแหละครับ คือมันดูเหมือนว่าพี่อ่านแล้วตีความว่าผมสำนึกแต่ที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ แต่ไม่ได้สำนึกในบาปกรรมที่ผมก่อไว้กับพ่อแม่และคนอื่นๆ ในเรื่องที่เคยทำผิดไปนะครับ ผมถึงตั้งคำถามนั้นกับพี่ว่าพี่อ่านไม่ดีรึเปล่าหรือว่าพี่ปรุงแต่งความหมายเกินกว่าประโยคที่ผมใส่สีแดงเอาไว้ พี่ถึงบอกว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ หิริ โอตตัปปะ ซึ่งผมทราบว่าพี่รู้จักหิริ โอตตัปปะดี จึงได้ถามย้ำกลับไปอีกครั้งแค่นั้นเอง
อ้างคำพูด:
ใช่ครับใจผมมีโลภะทุกครั้ง เมื่ออยากให้พ่อแม่พี่น้องและเพื่อนมีความสุข
บางครั้งใครสักคนที่กล่าวมา ได้รับความลำบาก ใจผมจะเกิดโทสะครับ

อันนี้ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดินนะเนี่ย...ถ้าพี่บอกว่าเรื่องรักๆหลงๆคือเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของโมหะนี่ผมจะไม่ค้านซักคำเลยครับ แต่พี่กลับบอกว่าเรื่องรักๆหลงๆคือความโกรธ ความโลภ ผมรับไม่ได้จริงๆครับ พิจารณาดีๆครับ ความโลภมันคือความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ไม่มีพอดี ความโกรธ โทสะ มันคือความคิดเบียดเบียน พยาบาทอาฆาตมาตร้าย นะครับ ทั้งอารมณ์และอาการอะไรมันตรงข้ามกับความรักเลยนะครับ แต่ถ้าไม่ว่ายังไงก็จะเอามันมารวมกันให้เป็นก้อนเดียวกันให้ได้ ผมก็จนใจครับ :b8:
อ้างคำพูด:
ถ้าผมเป็นอาจารย์ของคุณพระป่า ผมจะบอกคุณว่า...
อยากทำก็อะไรก็ทำไปเถอะ บวชแค่เจ็ดวันเอง ได้ถ่ายรูปไว้อวดลูกหลาน
ก็ดีถมถืดแล้ว

โชคดีของผมครับที่พระอาจารย์ของผมท่านไม่ได้กล่าวแบบนี้ ไม่งั้นผมคงไม่นับถือท่านและไม่มีโอกาสเห็นธรรมถึงเพียงนี้
ขอบคุณครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร