วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 14:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 98 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2011, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานเป็น แดนเกษม เป็น อสังขตสถาน เป็นบุรี
ที่ ออกนอกภพ3ไปแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2011, 19:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ
วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้
โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป
เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้
มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์


แต่นิพพานนั้น เป็นแค่ นามธรรม ...............ซึ่งไม่รู้อารมณ์
ปรากฏ อยู่ท้ายๆ พระไตรปิฏก

รูป คือ สภาพ หรือ สภาวะธรรม ที่ไม่รู้อารมณ์
นาม คือ สภาพ หรือ สภาวะธรรม ที่รู้อารมณ์ (ยกเว้นนิพพาน ซึ่งเป็นนามธรรม ที่ไม่รู้อารมณ์)

และ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา


ต้องขออภัย..เรื่องคำพระนี้..ต้องขอคำแนะนำละครับ..

คำว่า...อายตนะนั้น...หมายถึงอะไร..ครับ

หากจะดูคำที่มาประกอบทีหลัง...
เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์

ก็ดูเหมือนว่า..อายตนะนั้น..หมายถึง..นิพพาน..

ผิดยังงัยก็บอกด้วยนะครับ??

ทีนี้...คำว่า.. หาอารมณ์มิได้ ..กับ..คำว่า..ไม่รู้อารมณ์...ไม่น่าจะใช้แทนกันนะ..ครับ

หาอารมณ์มิได้...ตรงๆ เลยคือ..ไม่มีอารมณ์
กับ..ไม่รู้อารมณ์...อารมณ์มีแต่ปิดหูปิดตาไม่รับรู้..ก็เลยไม่รู้ว่ามีอารมณ์

และ...อีกครั้ง..
.
เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์

เข้าใจว่า..การจะบอกว่า..ไม่มี..การมา.การไป..มีสถานที่..การตาย..การเกิด..มีที่ตั้ง..ไม่ได้เป็นไป..ก็ไม่ได้
และ..จะบอกว่า..มี..การมา.การไป..มีสถานที่..การตาย..การเกิด..มีที่ตั้ง..ไม่ได้เป็นไป..ก็ไม่ได้


คำพวกนี้...ก็บอกชัดว่า...ไม่ได้เป็นไปตามไตรลักษณ์..คือ...ไม่เที่ยง..ตั้งอยู่ไม่ได้..สลายไปในที่สุด

ดังนั้น...นิพพาน...ไม่เกี่ยวกับไตรลักษณ์...ไม่ได้เป็นไปตามไตรลักษณ์...

ที่เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์..คือวัฏฏสงสาร..หรือ..สังสารวัฏ.คือตัวไตรลักษณ์..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2011, 19:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา


เพราะ...ความที่มันไม่เที่ยง...จึงไม่อาจทำให้เป็นอยู่อย่างเดิมได้

เพราะ..ความที่ไม่อาจทำให้เป็นอยู่อย่างเดิมได้...มันจึงสลายตัวในที่สุด

คำว่า..ทุกข์.หรือ..ทุกขัง...ในกฎไตรลักษณ์...เขียนเหมือนกันกับ..ทุกข์..ของเวทนา

แล้ว..หมายถึงตัวเดียวกัน..รึเปล่า???
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2011, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาyoutube ไปหนึ่งอัน กบน้อย :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2011, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมจะตอบอย่างงี้ครับ

รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง(ทุกขเวทนา) สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นจึงเป็นทุกข์ นี่คือทุกขสัจจะ :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 03:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา


แต่ถ้าหาก..ทั้งคู่เป้นทุกข์ในไตรลักษณ์...สิ่งที่สื่อออกจากประโยคนี้...จะสมบูรณ์ดี..ก็คือ..บอกถึงกฎของไตรลักษณ์นั้นเอง


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 07 เม.ย. 2011, 08:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 05:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
สนทนาพุทธธรรมถ้าไม่พูดเรื่องนิพพาน แล้วจะให้พูดเรื่องอะไร

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องการดับทุกข

ทุกขที่ดับสิ้นแล้วคือนิพพาน

ธรรมทั้งหลายมีจุดสรุปที่นิพพาน

การสนทนาธรรมจึงต้องคุยกันเรื่องนิพพาน

จะให้สนทนาวิจารณบันเทิงคงไม่ใช่กาละเทศะ

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องดับทุกข์ ท่านสอนวิธีไปนิพพาน
ท่านไม่ได้สอนว่า นิพพานเป็นอย่างไร คนที่มาพร่ำเรื่องนิพพาน
ต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันล้วนเป็นกิเลสของผู้ที่พูด
พระพุทธเจ้า แค่มาบอกหนทางไป แต่บางคนยังไม่เคยไปดันรู้แล้วว่านิพพานเป็นเช่นไร

บางครั้งการสนทนาของบุคคล มันก็อาจกลายเป็นวิจารณ์บันเทิงได้
ถ้าเรื่องที่สนทนาเป็นเรื่องที่ ผู้สนทนาไม่เคยสัมผัส อย่างเช่น คนตาบอดคุยกัน
ถึงเรื่องความงามของผู้หญิง คนหูหนวกคุยเรื่องเสียงเพลง

ดังนั้นคำว่ากาละเทศะ จึงเหมาะที่จะใช่ปรามการพูดคุยในกระทู้นี้
กาละ แปลว่า เวลา
เทศะแปลว่า สถานที่

เวลาก็คือ ช่วงเวลาทีได้เป็นอรหันแล้ว
สถานที่คือ นิพพาน และผู้ที่เหมาะจะคุยเรื่องนิพพานก็คือ พระอรหันต์
มันถึงจะถูกทั้งสถานที่และเวลาครับ

mes เขียน:
ส่วนเรื่องแทงใจดำ เรื่องโกรธเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้าไปยั่ว ไปตั้งใจพูดจาแทงใจดำกวนใจเขา เขาก็ด่าเอา

เพราะยังไม่มีใครถึงนิพพาน ถ้าถึงนิพพานคงเลิกด่า

เมื่อยังไม่ถึงนิพพานก็คงจะคุยเรื่องนิพพานต่อไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ

คงบังคับให้เลิกคุยเรื่องนิพพานไม่ได้

และบังคับให้เข้ามาอ่านก็ไม่ได้

ก็ตามที่ผมบอกไว้ว่า พระพุทธเจ้าสอนวิธีไปนิพพาน
แต่คนพูดเรื่องนิพพาน ยังไม่รู้ถึงวิธีคือยังโกรธอยู่
แต่มาคุยแล้วว่านิพพานเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้

ถ้ามีคนหัวล้านมาขายยาปลูกผมและอวดอ้างสรรพคุณ คุณจะเชื่อมั้ยครับ
หรือคนตัวดำปี๋มาขายครีมกันแดด คุณจะซื้อหรือเปล่า

บางครั้งบางคราว คนอื่นเขาไม่ได้ตั้งใจยั่วหรือเข้ามาเกรียนหรอกครับ
เพียงแต่เขาต้องการให้บุคคลนั้นๆ มีสติมองไปที่จิตที่ใจตัวเอง
ว่าทำได้มั้ยกับสิ่งที่ตัวเองพูด จะได้เลิกหลง เริ่มปฏิบัติหรือตั้งต้นใหม่

ความโกรธเป็นกิเลสที่มองง่ายที่สุด ถ้ายังมองไม่ออกก็เลิกพูดเรื่องธรรมได้แล้วครับ


เราไปบังคับใครไม่ได้ แต่เราหาวิธีให้เขารู้ตัวได้ครับ
บางคนบอกกันตรงๆ เขาไม่เชื่อเราก็ต้องหากุศโลบายมาบอก
ตัวผู้บอกก็ต้องยอมถูกด่า ถูกปรามาสเสียหน่อย คิดแต่เพียงว่ามันเป็นกุศลครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ถ้านิพพานเป็นสุขยิ่ง นิพพานเป็นทุกข์หรือ


นิพพานเป็นวิมุติสุข ไม่ใช่สุขธรรมดา

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องดับทุกข์ ท่านสอนวิธีไปนิพพาน
ท่านไม่ได้สอนว่า นิพพานเป็นอย่างไร คนที่มาพร่ำเรื่องนิพพาน
ต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันล้วนเป็นกิเลสของผู้ที่พูด
พระพุทธเจ้า แค่มาบอกหนทางไป แต่บางคนยังไม่เคยไปดันรู้แล้วว่านิพพานเป็นเช่นไร

บางครั้งการสนทนาของบุคคล มันก็อาจกลายเป็นวิจารณ์บันเทิงได้
ถ้าเรื่องที่สนทนาเป็นเรื่องที่ ผู้สนทนาไม่เคยสัมผัส อย่างเช่น คนตาบอดคุยกัน
ถึงเรื่องความงามของผู้หญิง คนหูหนวกคุยเรื่องเสียงเพลง

ดังนั้นคำว่ากาละเทศะ จึงเหมาะที่จะใช่ปรามการพูดคุยในกระทู้นี้
กาละ แปลว่า เวลา
เทศะแปลว่า สถานที่

เวลาก็คือ ช่วงเวลาทีได้เป็นอรหันแล้ว
สถานที่คือ นิพพาน และผู้ที่เหมาะจะคุยเรื่องนิพพานก็คือ พระอรหันต์
มันถึงจะถูกทั้งสถานที่และเวลาครับ




อ้างคำพูด:
]พระพุทธเจ้าสอนเรื่องดับทุกข์ ท่านสอนวิธีไปนิพพาน
ท่านไม่ได้สอนว่า นิพพานเป็นอย่างไร คนที่มาพร่ำเรื่องนิพพาน
ต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันล้วนเป็นกิเลสของผู้ที่พูด
พระพุทธเจ้า แค่มาบอกหนทางไป แต่บางคนยังไม่เคยไปดันรู้แล้วว่านิพพานเป็นเช่นไร

ผมจะไปเชียงใหม่แต่ถ้าไม่รู้จักเชียงใหม่

ดันผ่าไปหาดใหญ่ก้คงไม่รู้ว่าเป็นหาดใจ เข้าใจว่าเป็นเชียงใหม่

ขึ้นรถไฟที่หัวลำโพงเหมือนกัน


อ้างคำพูด:
ท่านไม่ได้สอนว่า นิพพานเป็นอย่างไร คนที่มาพร่ำเรื่องนิพพาน
ต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันล้วนเป็นกิเลสของผู้ที่พูด
พระพุทธเจ้า แค่มาบอกหนทางไป แต่บางคนยังไม่เคยไปดันรู้แล้วว่านิพพานเป็นเช่นไร


นิพพานเป็นธรรมไหม

และ

ธรรมสากัจฉา เอตัมมังคัลลมุตตมัน ที่พระพุทธเจ้าสอนให้สนทนาธรรมตามกาลเวลา ถูกหรือผิด

การสนทนาธรรมเป็นการขัดเกากิเลส

ท่านกวน มึง โฮ ยกตัวอย่างพระสูตรพระวินัยมาสักบทแสดงว่า การสนทนาธรรมเป็นการสร้างกิเลส

อย่าพูดส่งเดช



อ้างคำพูด:
เวลาก็คือ ช่วงเวลาทีได้เป็นอรหันแล้ว
สถานที่คือ นิพพาน และผู้ที่เหมาะจะคุยเรื่องนิพพานก็คือ พระอรหันต์
มันถึงจะถูกทั้งสถานที่และเวลาครับ



อรหันต์ไม่ต้องสนทนานิพพานแล้ว

พระพุทธเจ้าสอนคนให้เป็นอรหันต์

ที่เป็นอรหันต์เป็นอเสขะ ไม่ต้องสอนแล้ว

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
อ้างคำพูด:
อ้างคำพูด:
]พระพุทธเจ้าสอนเรื่องดับทุกข์ ท่านสอนวิธีไปนิพพาน
ท่านไม่ได้สอนว่า นิพพานเป็นอย่างไร คนที่มาพร่ำเรื่องนิพพาน
ต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันล้วนเป็นกิเลสของผู้ที่พูด
พระพุทธเจ้า แค่มาบอกหนทางไป แต่บางคนยังไม่เคยไปดันรู้แล้วว่านิพพานเป็นเช่นไร

ผมจะไปเชียงใหม่แต่ถ้าไม่รู้จักเชียงใหม่
ดันผ่าไปหาดใหญ่ก้คงไม่รู้ว่าเป็นหาดใจ เข้าใจว่าเป็นเชียงใหม่
ขึ้นรถไฟที่หัวลำโพงเหมือนกัน


ก็ถึงได้บอกงัยว่า ไปนิพพาน มันต้องคุยกันเรื่องหนทางหรือวิธีไป
มันก็เหมือนกับที่คุณบอกจะไปเชียงใหม่ มันต้องรู้หนทางไปวิธีการไป
ขึ้นรถสายไหน เหล่านี้ล้วนเป็นหนทางหรือวิธีการไปเชียงใหม่
ต่อให้คุณรู้ว่าเชียงใหม่มีลักษณะอย่างไร บ้านเมืองมีเขา มีป่า แต่คุณไปไม่ถูกไม่รู้ว่าอยู่ทิศไหน
คุณจะไปถึงเชียงใหม่หรือเปล่า สงสัยไปได้แค่หัวลำโพง

ไอ้ที่คุณบอกว่าขึ้นรถผิดไปหาดใหญ่ มันเพราะรู้ว่ามีเชียงใหม่ในประเทศไทย เชียงใหม่ไม่มีทะเล
อยากเห็นป่าเห็นเขา แต่ดันขึ้นรถผิดไปทะเล
เถียงกันเรื่องนิพพานด้วยความโกรธ มันก็ไปได้แต่อเวจี
มันก็เหมือนจะไปเชียงใหม่แต่กลับขึ้นรถไปหาดใหญ่
mes เขียน:
อ้างคำพูด:
ท่านไม่ได้สอนว่า นิพพานเป็นอย่างไร คนที่มาพร่ำเรื่องนิพพาน
ต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันล้วนเป็นกิเลสของผู้ที่พูด
พระพุทธเจ้า แค่มาบอกหนทางไป แต่บางคนยังไม่เคยไปดันรู้แล้วว่านิพพานเป็นเช่นไร

นิพพานเป็นธรรมไหม
และ
ธรรมสากัจฉา เอตัมมังคัลลมุตตมัน ที่พระพุทธเจ้าสอนให้สนทนาธรรมตามกาลเวลา ถูกหรือผิด
การสนทนาธรรมเป็นการขัดเกากิเลส
ท่านกวน มึง โฮ ยกตัวอย่างพระสูตรพระวินัยมาสักบทแสดงว่า การสนทนาธรรมเป็นการสร้างกิเลส
อย่าพูดส่งเดช

ขี้เกียจยกพุทธ์พจน์ เดียวเถียงกันไม่จบ เอาธรรมง่ายไปพิจารณาเล่นๆก่อน
ผมถามคุณหน่อย พระพุทธเจ้าสอนให้เราอยู่กับปัจจุบันหรือเปล่า
แล้วปัจจุบันที่ว่า คุณเป็นอรหันต์แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่เป็นคุณรู้ได้อย่างไรว่า
นิพพานไปอย่างไร สรุปก็คือสิ่งที่พูดเกินปัจจุบันคือการปรุงแต่ง มันเป็นกิเลส

mes เขียน:
อ้างคำพูด:
เวลาก็คือ ช่วงเวลาทีได้เป็นอรหันแล้ว
สถานที่คือ นิพพาน และผู้ที่เหมาะจะคุยเรื่องนิพพานก็คือ พระอรหันต์
มันถึงจะถูกทั้งสถานที่และเวลาครับ

อรหันต์ไม่ต้องสนทนานิพพานแล้ว
พระพุทธเจ้าสอนคนให้เป็นอรหันต์
ที่เป็นอรหันต์เป็นอเสขะ ไม่ต้องสอนแล้ว

คุณดูให้ดีซิว่าผมพูดว่ากระไร บอกว่า "ผู้ที่เหมาะจะคุยเรื่องนิพพานคือพระอรหันต์"
ผมไม่ได้บอกว่า พระอรหันต์มาสนทนากันถกกันว่านิพพานเป็นเช่นไรเสียหน่อย
คุยในที่นี้คือ พระอรหันต์มาบอกเล่าให้ปุถุชนฟังว่า นิพพานเป็นเช่นไร
ก็เหมือนกับที่คุณบอกว่า พระพุทธเจ้ามาสอนมาบอกคนให้เป็นอรหันต์
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้มาสนทนาเรื่องนิพพานกับอรหัน์สาวกสักกะหน่อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์
ทุกข์ในที่นี้ คือทุกข์ในไตรลักษณ์


สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
ทุกข์ในที่นี้คือ ทุกข์ในขันธ์คือเวทนา


ทุกข์ไม่ว่าในเวทนาหรือในไตรลักษณ์ มีลักษณะเหมือนกัน
แต่จะต่างกันตรงที่ ลักษณะของจิต


ทุกข์เวทนาคือการที่จิตลงไปเป็นหรือยึดในทุก์เวทนานั้น

แต่ทุกข์ในไตรลักษณ์ คือการที่จิตไปเห็นทุกข็เวทนา หรือไม่ยึดทุกข์เวทนานั้นครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเห็นเป็นอย่างอื่นครับ
สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

ทุกข์ ในที่นี้เป็นทุกขสัจจะครับมีความหมายเหมือนกัน

สุขเวทนาก็เป็นทุกข์
ทุกขเวทนาก็เป็นทุกข์
อทุกขมสุขเวทนาก็เป็นทุกข์
และรวมไปถึงสังขตธรรมทั้งหลายก็เป็นทุกข์

การกล่าวว่าทุกข์ในที่นี้ คือ ทุกขเวทนาอย่างเดียวดูจะไม่ครอบคลุมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 07 เม.ย. 2011, 20:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก็ถึงได้บอกงัยว่า ไปนิพพาน มันต้องคุยกันเรื่องหนทางหรือวิธีไป
มันก็เหมือนกับที่คุณบอกจะไปเชียงใหม่ มันต้องรู้หนทางไปวิธีการไป
ขึ้นรถสายไหน เหล่านี้ล้วนเป็นหนทางหรือวิธีการไปเชียงใหม่
ต่อให้คุณรู้ว่าเชียงใหม่มีลักษณะอย่างไร บ้านเมืองมีเขา มีป่า แต่คุณไปไม่ถูกไม่รู้ว่าอยู่ทิศไหน
คุณจะไปถึงเชียงใหม่หรือเปล่า สงสัยไปได้แค่หัวลำโพง

ไอ้ที่คุณบอกว่าขึ้นรถผิดไปหาดใหญ่ มันเพราะรู้ว่ามีเชียงใหม่ในประเทศไทย เชียงใหม่ไม่มีทะเล
อยากเห็นป่าเห็นเขา แต่ดันขึ้นรถผิดไปทะเล

เถียงกันเรื่องนิพพานด้วยความโกรธ มันก็ไปได้แต่อเวจี
มันก็เหมือนจะไปเชียงใหม่แต่กลับขึ้นรถไปหาดใหญ่


ถ้าไม่รู้จักเชียงใหม่เสียก่อนจะรู้หรือว่าเชียงใหม่ไม่มมีทะเล

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขี้เกียจยกพุทธ์พจน์ เดียวเถียงกันไม่จบ เอาธรรมง่ายไปพิจารณาเล่นๆก่อน
ผมถามคุณหน่อย พระพุทธเจ้าสอนให้เราอยู่กับปัจจุบันหรือเปล่า
แล้วปัจจุบันที่ว่า คุณเป็นอรหันต์แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่เป็นคุณรู้ได้อย่างไรว่า
นิพพานไปอย่างไร สรุปก็คือสิ่งที่พูดเกินปัจจุบันคือการปรุงแต่ง มันเป็นกิเลส
อย่าเฉไฉบิดพริ้ว

หาพระพุทธพจน์ไม่ได้ ไม่มี แก้ตัวว่าขี้เกียจ

ไม่มีใครเถียงพุทธพจน์ เจ้า กวน มึง โฮ

ที่เขาค้านน่ะ

ค้านมิจฉทิฎฐิตัวพ่อของ กวน มึง โฮ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
อ้างคำพูด:
ก็ถึงได้บอกงัยว่า ไปนิพพาน มันต้องคุยกันเรื่องหนทางหรือวิธีไป
มันก็เหมือนกับที่คุณบอกจะไปเชียงใหม่ มันต้องรู้หนทางไปวิธีการไป
ขึ้นรถสายไหน เหล่านี้ล้วนเป็นหนทางหรือวิธีการไปเชียงใหม่
ต่อให้คุณรู้ว่าเชียงใหม่มีลักษณะอย่างไร บ้านเมืองมีเขา มีป่า แต่คุณไปไม่ถูกไม่รู้ว่าอยู่ทิศไหน
คุณจะไปถึงเชียงใหม่หรือเปล่า สงสัยไปได้แค่หัวลำโพง

ไอ้ที่คุณบอกว่าขึ้นรถผิดไปหาดใหญ่ มันเพราะรู้ว่ามีเชียงใหม่ในประเทศไทย เชียงใหม่ไม่มีทะเล
อยากเห็นป่าเห็นเขา แต่ดันขึ้นรถผิดไปทะเล

เถียงกันเรื่องนิพพานด้วยความโกรธ มันก็ไปได้แต่อเวจี
มันก็เหมือนจะไปเชียงใหม่แต่กลับขึ้นรถไปหาดใหญ่


ถ้าไม่รู้จักเชียงใหม่เสียก่อนจะรู้หรือว่าเชียงใหม่ไม่มมีทะเล

ก็เพราะมีคนเคยไปเชียงใหม่เขามาเล่าให้ฟังครับ
แล้วเถียงกันเรื่องนิพพาน มีคนเคยไปนิพพานมาเล่าให้ฟังหรือครับ :b10:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 98 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร