วันเวลาปัจจุบัน 04 มิ.ย. 2025, 01:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 404 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22 ... 27  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2015, 10:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s005 ...แต่ก็ยังมีไปพูดกับพระอ...
..อย่างนี้หนูเรียกว่ามันแค่หายไปนะ ไม่ใช่ดับ..
ดับต้องเหมือนคราวนั้น มันดับไปเลย พอรู้ขึ้นมา..จิตมันสว่างไสว
มันออกตามหา..ตัวรู้ๆอยู่นี้มันหายไปไหน..
มันไม่เหมือนกัน :b12:
นี่มันรู้ขึ้นมา..ใจมันก็ชื่นขึ้น..แต่ด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน

แต่ที่แน่ๆ..มันสะท้อนใจ..มันได้เห็นความไม่เที่ยง
เกิดดับสลายไป..มันรู้สึกเบื่อหน่าย..จางคลาย..สลายความเป็นตัวเป็นตน
มันไม่คิดจะไปยึดมั่นถือมั่นในความไม่แน่นอนกับสิ่งใด
มันก็คงเป็นการสะสมปัญญาในการเห็นตรงนี้

คือ..ที่เล่ามาได้เป็นเรื่องเป็นราว
เพราะการปฏิบัติของเรา..ค่อนข้างรู้เร็ว..
นานๆเข้าที5-6วัน..ก็ได้เห็นสภาวะในขั้นต้นที่ละเอียดพอที่จะเล่าได้
ก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง^^...สร้างเหตุนะนี่ :b9: :b9: :b14:

และด้วยความที่ไม่ได้ปฏิบัติต่อเนื่องก็เลยออกมาเล่าได้ไปเรื่อยๆ
ถ้าปฏิบัติต่อเนื่องจริงๆ..คงออกมาเล่าแบบนี้ไม่ได้
การเล่าเรื่องความฟุ้งปรุงแต่งเยอะ..สวนทางกับการปฏิบัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2015, 12:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาด้วยคับ

ไปปฎิบัติที่ ยุวพุทธิกสมาคม ศูนย์1 กรุงเทพ หรือเปล่าครับ หรือไปวัดใหน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2015, 14:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
. อนุโมทนาด้วยคับ

ไปปฎิบัติที่ ยุวพุทธิกสมาคม ศูนย์1 กรุงเทพ หรือเปล่าครับ หรือไปวัดใหน

:b4: :b20: :b39:


แก้ไขล่าสุดโดย idea เมื่อ 14 เม.ย. 2016, 19:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2015, 06:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s006 เมื่อคืนเจอสภาวะที่แปลก...
มองความฝันเหมือน..การเกิด-ดับมันต่อเนื่องกัน
คือกลางดึกอยู่ๆก็เหมือนรู้สึกตัว..แต่ไม่ได้ตื่นแบบลุก
มันเหมือนกึ่งฝันแต่มีสติ..แล้วกำหนดสภาวะทันที
ไม่ใช่เฉพาะความฝันที่เป็นเรื่องราว..แต่เป็นสภาวะแต่ละอารมณ์สลับกัน
เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวเหมือนกัน
การเกิดดับแปรเปลี่ยนเหมือนสายน้ำไหล
สภาวะทั้งหยาบทั้งละเอียด
เหมือนเพ่งแล้วปล่อยก็มี
:b53: :b55: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2015, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธะ ความตื่นรู้
การปฏิบัติเพื่อความตื่นรู้ อยู่กับปัจจุบัน เป็นหนทางที่ถูกต้อง

การดับรู้ การปฏิบัติแล้ววูบบ้าง ดับรู้บ้าง ล้วนไม่ใช่พุทธวิถี

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2015, 17:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พุทธะ ความตื่นรู้
การปฏิบัติเพื่อความตื่นรู้ อยู่กับปัจจุบัน เป็นหนทางที่ถูกต้อง

การดับรู้ การปฏิบัติแล้ววูบบ้าง ดับรู้บ้าง ล้วนไม่ใช่พุทธวิถี


:b8:
ขอบคุณค่ะ.. :b27: :b27:
ก็..พอ..เข้าใจอยู่บ้างค่ะเรื่องนี้..

เพราะระแวง..ระวัง..ใช่ไม่ใช่มาตั้งนาน
วันนี้เริ่มยอมรับ..ก็ยังแค่พอเข้าใจ
ถ้าเข้าใจจริงๆเมื่อไหร่..เดียวมาเล่าต่อ

..อยู่กับปัจจุบัน..
ขอบคุณมากๆเลย^^
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2015, 03:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมทั้งปวงล้วนเกิด-ดับ

ในที่นี้ความหมายคือด้วยความเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

แต่ไม่ใช่กิเลสทั้งปวงล้วนเกิดดับ กิเลสอาจจะเบาบางได้ด้วยการเดินทางตามมรรคมีองค์8จนถึงขั้นหมดสิ้นเชื้อ

แต่เพราะความมีเชื้อนี่แหละจึงมีสิ่งอาศัย

เพราะอวิชชามีจึงมีสังขาร
เพราะสังขารมีจึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณมีจึงมีนามรูป
เพราะนามรูปมีจึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะมีจึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะมีจึงมีเวทนา
เพราะเวทนามีจึงมีตัญหา
เพราะตัญหามีจึงอุปทาน
เพราะอุปทานมีจึงมีภพ
เพราะภพมีจึงมีชาติ
เพราะชาติมีจึงมีชรา มรณะ โสกาปริเทวะ

ความเห็นผมกล่าวในนัยหนึ่งว่า การเกิดดับของธรรมต้องมองในความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา

แต่ถ้ามองกิเลส ต้องมองด้วยความประพฤติปฎิบัติ ด้วยแนวทางในการสร้างกุศลส่งตน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2015, 14:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ธรรมทั้งปวงล้วนเกิด-ดับ

ในที่นี้ความหมายคือด้วยความเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

แต่ไม่ใช่กิเลสทั้งปวงล้วนเกิดดับ กิเลสอาจจะเบาบางได้ด้วยการเดินทางตามมรรคมีองค์8จนถึงขั้นหมดสิ้นเชื้อ

แต่เพราะความมีเชื้อนี่แหละจึงมีสิ่งอาศัย

เพราะอวิชชามีจึงมีสังขาร
เพราะสังขารมีจึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณมีจึงมีนามรูป
เพราะนามรูปมีจึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะมีจึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะมีจึงมีเวทนา
เพราะเวทนามีจึงมีตัญหา
เพราะตัญหามีจึงอุปทาน
เพราะอุปทานมีจึงมีภพ
เพราะภพมีจึงมีชาติ
เพราะชาติมีจึงมีชรา มรณะ โสกาปริเทวะ

ความเห็นผมกล่าวในนัยหนึ่งว่า การเกิดดับของธรรมต้องมองในความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา

แต่ถ้ามองกิเลส ต้องมองด้วยความประพฤติปฎิบัติ ด้วยแนวทางในการสร้างกุศลส่งตน

สังขตธรรม จึงมีความเกิด-ดับ
อสังขตธรรม ไม่มีความเกิด-ดับ
ทั้งสังขตธรรม และอสังขตธรรม ล้วนไม่มีลักษณะของตัวตน

ความที่เป็นสิ่งปรุงแต่ง จึงมีความเกิด-ดับ เกิดเพราะเหตุปัจจัยของสิ่งๆนั้นมีอยู่ ดับเพราะความดับไปของเหตุปัจจัยของสิ่งนั้นๆ

กิเลส เป็นความเศร้าหมองของจิต ก็มีความเกิด-ดับ เศร้าหมองมาก หรือน้อยก็มีความเกิด-ดับ ไปในแต่ละคราวๆ
เมื่อปรุงแต่งเช่นเดิมๆ บ่อยๆ จิตก็จะมีความเคยชินขึ้นมา การสั่งสมความเคยชิน เรียกว่าอนุสัย
มีความเคยชินมาก จิตก็ว่องไวมากในการที่จะปรุงเหตุปัจจัยของกิเลสอย่างนั้นๆซ่านตัวปรากฏออกมา
แม้ความเคยชินเองก็เป็นเหตุปัจจัยของกิเลสเช่นกัน

ดังนั้น กิเลสทั้งปวงล้วน มีความเกิด-ดับครับ
กิเลสเบาบาง ด้วยการขัดเกลาจิตให้จิตก่อบารมีแทนอนุสัย คือว่องไวในการที่ละความเคยชินในการที่จะปรุงแต่งให้กิเลสปรากฏครับ

แม้บารมีเองก็มีความเกิด-ดับเช่นกันครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2015, 01:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
student เขียน:
ธรรมทั้งปวงล้วนเกิด-ดับ

ในที่นี้ความหมายคือด้วยความเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

แต่ไม่ใช่กิเลสทั้งปวงล้วนเกิดดับ กิเลสอาจจะเบาบางได้ด้วยการเดินทางตามมรรคมีองค์8จนถึงขั้นหมดสิ้นเชื้อ

แต่เพราะความมีเชื้อนี่แหละจึงมีสิ่งอาศัย

เพราะอวิชชามีจึงมีสังขาร
เพราะสังขารมีจึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณมีจึงมีนามรูป
เพราะนามรูปมีจึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะมีจึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะมีจึงมีเวทนา
เพราะเวทนามีจึงมีตัญหา
เพราะตัญหามีจึงอุปทาน
เพราะอุปทานมีจึงมีภพ
เพราะภพมีจึงมีชาติ
เพราะชาติมีจึงมีชรา มรณะ โสกาปริเทวะ

ความเห็นผมกล่าวในนัยหนึ่งว่า การเกิดดับของธรรมต้องมองในความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา

แต่ถ้ามองกิเลส ต้องมองด้วยความประพฤติปฎิบัติ ด้วยแนวทางในการสร้างกุศลส่งตน

สังขตธรรม จึงมีความเกิด-ดับ
อสังขตธรรม ไม่มีความเกิด-ดับ
ทั้งสังขตธรรม และอสังขตธรรม ล้วนไม่มีลักษณะของตัวตน

ความที่เป็นสิ่งปรุงแต่ง จึงมีความเกิด-ดับ เกิดเพราะเหตุปัจจัยของสิ่งๆนั้นมีอยู่ ดับเพราะความดับไปของเหตุปัจจัยของสิ่งนั้นๆ

กิเลส เป็นความเศร้าหมองของจิต ก็มีความเกิด-ดับ เศร้าหมองมาก หรือน้อยก็มีความเกิด-ดับ ไปในแต่ละคราวๆ
เมื่อปรุงแต่งเช่นเดิมๆ บ่อยๆ จิตก็จะมีความเคยชินขึ้นมา การสั่งสมความเคยชิน เรียกว่าอนุสัย
มีความเคยชินมาก จิตก็ว่องไวมากในการที่จะปรุงเหตุปัจจัยของกิเลสอย่างนั้นๆซ่านตัวปรากฏออกมา
แม้ความเคยชินเองก็เป็นเหตุปัจจัยของกิเลสเช่นกัน

ดังนั้น กิเลสทั้งปวงล้วน มีความเกิด-ดับครับ
กิเลสเบาบาง ด้วยการขัดเกลาจิตให้จิตก่อบารมีแทนอนุสัย คือว่องไวในการที่ละความเคยชินในการที่จะปรุงแต่งให้กิเลสปรากฏครับ

แม้บารมีเองก็มีความเกิด-ดับเช่นกันครับ



อนุโมทนาครับคุณเช่นนั้นสำหรับความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ปฎิบัติ

การเกิดดับของกิเลสอาจจะต้องแยกรายละเอียดออกมา คือ การเกิดดับของสังขารขันธ์

หรือเจตสิกที่เกิดพร้อมสังขาร บางองค์เกิดพร้อมกัน บางองค์เกิดขึ้นแต่อีกองค์จะไม่เกิด
เช่น เมตตาเกิด ความอาฆาตจะไม่เกิด

แต่ในแง่ของปฎิจจสมุปบาท กิเลสไม่ได้ดับลงอย่างสิ้นเชิง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2015, 13:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ไม่น่าจะมีอะไรมาเล่าแล้วเนาะ..แต่ก็มีอีก.. :b32: :b32:
:b44: ด้วยสังเกตุตัวเองที่ผ่านการเข้าปฏิบัติก็หลายรอบ
แม้สภาวะที่เจอจะละเอียดขึ้นบ้างสักเล็กน้อยในแต่ละรอบ
และแม้จะบอกว่า..เริ่มรู้จักปรับอินทรีย์..ได้เป็นบ้าง

คือที่พูดถึงอินทรีย์5นี้บ่อยๆ...เพราะเป็นคนไม่ชอบจำอะไรมาก
หัวข้อธรรมแต่ละข้อให้มานั่งคิดถึงความหมายนี่..เหนื่อย..
แต่มันก็จำเป็น...และอันนี้มันก็จำง่ายดี..
หลักธรรม2อย่าง..อย่างรองที่ใช้เสริมเวลาจะ..
สวมบทลงภาคสนามจริงจัง :b9: ..คือ..สัมมัปธาน4..เพิ่มเข้ามา
ก็เฉพาะตอนเริ่มต้น..ค่อยประคับประคอง..สักพักมันก็จะทรงตัวได้เอง
มันเป็นหลักสูตรแบบที่เข้าใจว่าสำหรับเรานั้นกำจัดนิวรณ์ได้เร็วดี
เพราะชอบทิ้งช่วงไง..ก็เลยต้องหาตัวช่วย.. :b22: :b22:

แต่คำว่าทิ้งช่วง..มันก็ไม่ขนาดที่ว่าไม่เอาซะทีเดียว
แต่มันแค่พอรักษาไม่ให้ถอยไปมากแค่นั้นเอง
..กำลังใจไม่พอหรือ?..อิๆ..กึ่งๆขี้เกียจน่านแหละ :b34: :b34:

มันเบาสบายอ่ะนะอารมณ์..รัก,โลภ,โกรธ,หลง..มันเบา..แค่เบาลงหน่อย
บางทีความรู้สึกลึกๆก็เหมือนมันจะบอกอ่ะนะ..ว่าแค่นี้พอแล้วแหละ
มันจึงไม่ก้าวสักที..กลับมาบ้านก็ติดอารมณ์เบาๆสบายๆ
จะขึ้นจะลงมันก็ไม่มาก..สติมีนิดๆสมาธิมีหน่อยๆแบบอัตโนมัติ
แต่โดยรวม..ก็แค่นิดๆหน่อยๆเอง
..พออะไร?อะไรจะพอ?..จะทำอะไร?..ทำไปเพื่ออะไร?..
ถามตัวเองนะตอนนี้..ปฏิบัติไปเพื่อเป้าหมายคืออะไร?..
ไม่มีอ่ะ..รู้แต่ต้องปฏิบัติ..ต้องไปต่อ..
แล้วไปไหน..ปฏิบัติไปเพื่ออะไร..
ไม่รู้นะ..ไม่ต้องไปคิดมากหรอก..มันบอกไม่ถูกเลยจริงๆ..มันอยู่ในใจนี้
พูดไม่ออก :b7: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2015, 14:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คงถึงเวลาหล่ะ..กลับมาบ้านทีไรบอกให้ทำก็ไม่ทำ..
เอาแต่ชอบสบาย..ใจสบาย..ทั้งที่ยังไม่เท่าไหร่เลยเฮ้อ!!

หลายรอบละ..เริ่มคิดบ้าง..ต้องไม่ยอมแพ้มัน :b12:
บางทีก็ต้องอะลุ้มอะล่วย..ตามใจมันบ้างเนาะ..
บอกให้เจริญสติ..ก็เหมือนมันคงคิดแหละ..ว่ามีบ้างอยู่..
แต่ฉันว่า..ฉันมองแทบไม่เห็นมันเลยนะ..ตัวสติหน่ะ..วันๆแทบไม่เห็นเลย
ก็ไม่เป็นไร..มันชอบอะไร..ฉันก็จะปล่อยตามมัน..
ขอเพียงแต่ให้เป็นเรื่องกุศลเถิด..ถ้าทำให้ไปต่อได้..ก็เอา :b27: :b27:

ป.ล..ลักษณะการเล่าวันนี้มันมาแนวแปลกไปหน่อยนะ
ช่วงนี้ต้องหาแรงผลักดัน..สร้างกำลังใจ
ถือซะว่า..ตัวปัญญามันกะลังจะสั่งสอนจิตใจ^^
แต่ผลจะเป็นไง..ไว้คอยดูอีกที :b12: :b12:

:b46: ฟังเกี่ยวกับการทำสมาธิ..นั่งสมาธิ..ความสงบ..ทีไร
จิตมันลิงโลดมากกกกกกกๆค่ะ.......ไม่ได้พูดเวอร์นะ
ถึงขั้นอยากจะทิ้งการทิ้งงาน หลับตาทำเดี๋ยวนั้นทีเดว
มันอยากจะไปทำเดี๋ยวนั้นให้ได้จริงๆ
มันมีกำลังใจที่จะไปทำมากกก..เหมือนมีแรงผลักดันมากกกก
เป็นอย่างนี้ตลอดมาเลย

ก็ลองดู^^
ทบทวนแล้วในระดับหนึ่ง
ต้องทบทวนค่ะ..เพราะการปฏิบัติสมาธิ..จิตย่อมมีอำนาจพิเศษชวนหลงไหล
ปกติทำแล้วเคยได้บ้าง..แต่นิดหน่อย..เพราะนั่นก็ทำไม่จริงจัง
แต่ได้ง่าย
ทบทวนแล้ว..ตรวจสอบแล้ว..ความอยากในใจ
ในที่สุดแล้ว..เรากระทำเพื่อหวังผลอันใด

แต่..คำว่าได้ง่าย..ก็ไม่ใช่จะเสมอไป..มันเป็นอดีตไปแล้ว..
ก็แค่ทบทวนไปงั้นๆสอบสวนเบื้องต้นหลายๆข้อด้วยไม่ใช่แค่เรื่องนี้
หลักๆ..คือต้องไปต่อ..
แต่ไปแล้วจะหลงทางใหม..อันเนี๊ยะ..วัดใจที่สุด..

บอกตรงๆแต่ก่อนอ่านตำรา..ฌาน1,2,3,4แบบนี้..เข้าใจ
ถึงเวลาปฏิบัติมันก็ลงล็อคตามนั้น..อ๋อๆๆๆๆ
แต่ตั้งแต่เน้นเจริญสติ..อันไหนเป็นอันไหนไม่รู้..แทบไม่รู้เรื่องเลย
อารมณ์มันไม่ได้..มันไม่ใช่..มันไม่ลงล็อคเลย
จะรู้ลม..มันก็เป็นแค่ลม..จะเข้าจะออกมันไม่ไปรู้เลย
ถึงเวลามันก็ข้ามไปนิ่ง..และก็รู้อารมณ์นั้นนี้ต่อ
ยิ่งทำสมาธิช่วงหลังนี้
มันเข้าไปรู้อารมณ์แบบใดไม่รู้
ก็ตามรู้นั่นแหละ..เหมือนเคลิ้มเหมือนสว่างเหมือนอะไรอารมณ์เปลี่ยน
ไปเรื่อยก็รู้..แต่พอรู้สึกตัวคือคงออกจากสมาธิมั้ง..มันเหมือนเพิ่งตื่นจากหลับ
มันเหมือนหลับไปแต่ไม่ใช่..ตามรู้ตลอด..
ทำสมาธิทีไรเป็นงี้ทุกที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2015, 20:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s002 ปัญหาคือตรงนี้แหละ...เหมือนเริ่มต้นใหม่เลย
ไม่รู้เรื่องเลย..ลองนั่งกำหนดดู..มันเข้าไปนิ่งหายไปเลย
โอ้โห.......คิดมาตลอดนะ..คนที่นั่งๆไปแล้วเขาไม่รู้ตัวมันเป็นยังไง?
งงมาก :b9: :b9: เพราะปกติเราจะเป็นแบบรู้ตลอด
ก็คิดว่า..นั่งแล้วไม่รู้ตัวมันเป็นยังไง
:b39: ก็เลยได้รู้เลยคราวนี้..สมาธิแบบนี้
..แต่มันก็เหมือนมาแค่ให้ได้รู้จัก,ศึกษา..มันเป็นอยู่ไม่กี่ครั้ง
แต่ก็นั่นแหละ....ยังไงก็ไปไม่ถูกเลย....
ปรึกษาใครก็กลัวเขามาเสียเวลากับเรา..เพราะเป็นคนทำไรไม่จริงจัง

มันไม่เป็นขั้นเป็นตอน :b14: กำหนดไปมันก็ข้ามไปนิ่งเลย
นิ่งแบบรู้..และออกมารู้อารมณ์อื่นๆ
แต่ไงก็ตาม..ไม่เคยหูดับกายดับนะ
มากสุดมันจะแบบเหมือนมีก็ไม่มีกาย..แค่นี้..เสียงไรได้ยินอยู่
ก็เอ้..เริ่มกำหนด..จิตมันรวมไปนิ่งเลย..แล้วถ้ามันเป็นฌาน1,2,3,4มันมีไหน
:b5: ท้อเนาะ..เดี๋ยวนี้ไงไม่รู้จักเลย..ทำไม่ได้เลย
แล้วจะไปทางนี้..จะไปยังไง..คิดหนัก :b21: :b21:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2015, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b40: แต่จิตมันชอบ...ถ้ามาทางนี้...แล้วไปต่อ
สมาธิก็สร้างความสงบ...การเจริญสติ...มันต้องมีอยู่แล้ว
ถ้าจะหลงจะเพลิน..ก็อาศัยเพื่อนในลานนี้ติติงหน่อยนะคะ :b12:
คือว่า..ต่อไปนี้แอบคิดว่า..หนูจะไปมั่วรึเปล่านี่
ถ้าพูดมากผิดพลาดไป..ไม่ดี..ขอขมาด้วยเน้อ..
หนูเป็นแค่นักศึกษาที่กำลังพยายามออกเดินทางอยู่ค่ะ

s005 ก็เริ่มประมาณ2อาทิตย์ผ่านมา..ยังไปไม่ถึงไหนเลย :b9: :b9: :b9:
เลือกจับกสิณไฟ(อยู่ในใจมาตลอดเลย..มันไม่ลืมจริงๆ..)
แต่สับสนอ่ะ..เรื่องอารมณ์..
มันไม่เพ่ง..มันคอยไปพิจารณาแทน..พิจารณาลงที่อนิจจัง,ทุกขัง
เห็นสภาพจิตใจมันยึด,มันอยาก,มันจะให้อยู่ให้ได้....โอ้ย..สารพัด
จนเบื่อจนหน่าย เห็นจิตชัดขึ้นมาเลย
ก็เอ้..อะไร?555....แล้วฉันจะไปยังไง?

คือ..ใจหนึ่งก็อดคิดว่าจะเสียเวลา..ทีจะมาเรียนรู้ตรงนี้
ปล่อยมันเป็นแบบที่เป็นก็ดีอยู่แล้ว...ค่อยเป็นค่อยไป
ยังจะชะแว๊ปออกมาอีกเส้นทาง
คือ..ถึงจะเป็นทางอ้อม..แต่มันอาจจะไปถึงได้เร็วกว่านะ..ใครจะรู้..อิๆ
ก็มันชอบมาทางนี้..มันอาจจะขยันขึ้นมากกว่าปกติ^^
ก็ลองดู..เดินต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2015, 21:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอเริ่มทำได้บ้าง..รู้สึกว่าเป็นกรรมฐานที่มีพลังจริง
แค่พอมันเริ่มเคลื่อนย้ายไปตามใจนึกได้ก็สัมผัสถึงพลัง
มันไม่ใช่เหมือนนั่งนึกถึงภาพไฟมันอยู่หน้า_หลัง_ซ้าย_ขวา
อันนี้เคยชอบ..เพราะทำแล้วใจมันสงบสบาย..
เมื่อก่อนเอามาใช้เวลาอยู่ในชีวิตประจำวัน..
ช่วงเวลาสถานที่ที่มันยุ่งๆวุ่นวาย..ตั้งใจนึกขึ้นมาเลยแบบนี้

มันจะอธิบายยังไงดี..มันนึกมันไปพร้อมกันเลยอ่ะ..ถึงว่ามันมีพลังไง
ภาพกสิณกับใจมันประสานกลมกลืนกันเหมือนเป็นอันเดียว
มีอยู่ครั้ง..เห็นไฟลุกท่วมเต็มไปหมด
แต่ตอนนั้นไม่กลัวนะ..เพราะไฟมันไม่ร้อน..อิๆ

แต่ยังนะ..ยังแค่เล่นๆ..ยังไปไม่เป็นหรอก..แค่ฝึกหัดสะเปะสะปะไปเรื่อยอยู่
เวลาไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้นั่งหลับตาทำสมาธิ
เพียงแต่ลองทำดู..แค่พอสัมผัสได้ว่ามันมีพลังจริง
แต่มันหนัก..มันไม่เบาเลย
ขนาดว่ายังไปไม่ถึงไหน..สมาธิมันเป็นแบบสงบนิ่งดื่มด่ำไงไม่รู้
เริ่มเห็นความอยาก
อยากจะหลบไปนั่งสมาธิ..อยากจริงๆ..
อยากจะเข้าไปรับอารมณ์แบบนั้นมั้ง
มันคงติด..หรือนี่ที่เรียกว่าติดสมาธิ
มันเหมือนไม่อยากจะเอาอะไร..อยากหลบอยู่คนเดียว
ก็ว่านะ..เราสรุปเร็วไปรึเปล่า..สงสัยใจร้อน..
เอาแต่นะอยากเร่งรัดหลักสูตร
แต่ที่แน่ๆ..หลักสูตรอะไร
ฉานจะไปยังไงเนียะ555

คือ..ก็คิดๆดูนะ..แบบนี้เวลาในการนั่งต้องเป็นส่วนมาก
คงไม่เหมาะที่จะเสียเวลาค้นหา..เอาจริงเอาจัง
เพราะระหว่างที่พยายามต่อไป..เห็นท่ามันจะดิ่งนิ่งอย่างเดียวเป็นหลัก
ก็เสียดายเหมือนกันที่คิดว่าจะยังไม่ต่อ..
ใจสงบมันดีนะ....แต่สงบแบบไม่เอาอะไรนี่มันคงไม่เข้าท่า
แต่ถ้ามีเวลา...ก็ยังน่าลองไปต่ออยู่ :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2015, 22:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้..เข้าเรื่อง..
เอาที่ถนัด..ทำแล้วสบาย
จับลมหายใจ :b27: :b27:
แต่ก็น่านแหละ.....อารมณ์ในสมาธิเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
จับลมก็แค่ลม..ลมหมุนวนไปทั่วตัวเลย
จิตมันเร็ว..มันก็คอยดูไปเรื่อย..แล้วก็เปลี่ยนไปแบบอื่น..คอยดูอย่างเดียว
อารมณ์นั้นนี้มันอวดรู้ไปเองเลย..แต่รู้แบบสงบนะ :b43:
แต่ให้ทรงอารมณ์เป็นฌานนี้..ไปไม่เป็นแล้ว..อารมณ์มันหลากหลายเกิน
ถึงเป็นก็ไม่รู้เรื่อง..เพราะมันเริ่มต้นมันก็พาไปเรื่อย

ก็ท้อนะ..คนใจด่วนใจเร็วอย่างเรา..ท้อมากๆ
แต่ท้อก็แค่รู้..ก็มันมีความอยากนี่ :b32: :b32: :b32:
อยากมันก็เห็น..ผิดหวังมันก็เห็น..มันท้อตามมามันก็เป็นเรื่องธรรมดา :b9:

เรื่องอะไรที่ควรทำ..เราก็ทำไป..แต่จะทำด้วยความรู้สึกยังไง
เราก็รู้ตัวเราเสมอ..แต่ก็ยกให้มันเป็นเรื่องของจิตไป
คนมันยังมีกิเลสอ่ะเนาะ..เมื่อมันยอมทำกุศลแล้ว
ก็ค่อยประคับประคองกันไป..ไม่ให้มันสุดโต่งจนออกนอกลู่นอกทาง
เวลาอยู่ในหน้าที่..จิตมันเป็นยังไงก็พยายามรู้มันไป
แต่ไม่ให้เสียงาน..และก็ไม่ให้เอางานอย่างเดียว
คิดว่านะ..คิดว่ารูปแบบของเรามันออกมาลักษณะนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 404 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22 ... 27  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร