วันเวลาปัจจุบัน 24 ก.ค. 2025, 03:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2016, 04:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล.ทาน...เป็นปัจจัยให้ถึงนิพพาน..ได้..นะเอ้า..

นี้แหละความรู้พื้นฐานที่ชาวพุทธทุกคนควรมี...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2016, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ใช่แล้ว....ไม่ใช่พูดเอา...ไม่ใช่จำตำราเยอะๆ...จำศัพท์แสงโน้นนั้นนี้...แต่ศีลตัวเดียวเอาไม่รอด..


:b32: :b32: :b32:


ศีล ตามเข้าใจของกบนอกกะลาเป็นไง ไหนลองว่าไปสิ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2016, 05:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ศีล.ทาน...เป็นปัจจัยให้ถึงนิพพาน..ได้..นะเอ้า..

นี้แหละความรู้พื้นฐานที่ชาวพุทธทุกคนควรมี...



ไหนลองว่าไปสิ ศีล ทาน เป็นปัจจัยให้ถึงนิพพานได้ยังไง นะฮ่ะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2016, 08:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ใช่แล้ว....ไม่ใช่พูดเอา...ไม่ใช่จำตำราเยอะๆ...จำศัพท์แสงโน้นนั้นนี้...แต่ศีลตัวเดียวเอาไม่รอด..




ศีล ตามเข้าใจของกบนอกกะลาเป็นไง ไหนลองว่าไปสิ :b10:



ถ้าถามว่า กบนอกกะลา เอาคำว่า ศีล,ทาน, นิพพาน เป็นต้น จากไหนมาพูด ?

ตอบ ก็เอามาจากตำรานั่นแหละ ไม่ได้ตรัสรู้แล้วบัญญัติศัพท์ขึ้นเองดอก :b32: จริงไม่จริง

แต่ปัญหาเกิด ก็ตอนที่นำศัพท์แสงเขามาพูดแล้ว ดันฝ่าไฟแดงมโนความหมายเอาเอง จึงได้เพี้ยนจากความหมายของเขา เลยไปไม่เป็น จึงได้เละเป็นเต้าหู้ตกตึกมหานคร :b13: ฟาดด้วยไม้หน้าสามอีกคนไหมเนี่ย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2016, 13:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกน่าจะเข้าใจที่กรัชกายพูดแน่ๆเลย จึงหายไป ก็บอกแล้ว :b1: :b13: บอกนานแล้ว :b32:

s004
เรื่องราวที่กรัชกายเอามาอ้างถามส่วนใหญ่เป็นเรื่องของลูกศิษย์ที่ฟุ้งซ่านและติดนิมิตปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ
กรัชกายไปคิดแก้เรื่องราวที่ฟุ้งไปด้วยนิมิตแต่ไม่คิดแก้ตรงต้นเหตุแห่งความฟุ้งไป

ต้นเหตุแห่งความฟุ้งเป็นเรื่องเป็นราวไปก็เพราะสติไม่ทันปัจจุบันอารมณณ์ สัมปชัญญะขาด ต้องย้ำให้ศิษย์คนนี้เพิ่มสติให้มาก สังเกตให้ดีๆก่อนที่จิตจะแวบไปปรุงแต่งเป็นเสียงเป็นเรื่องเป็นราวอะไรต่างๆ มันเกิดผัสสะ อารมณ์หรือความรู้สึกอะไรขึ้นก่อน สังเกตดูดีๆเช่น หูได้ยินอะไรสักอย่างแล้วแวบแว่วออกไปปรุงเป็นเสียงโน้นเสียงนี้ทันที ต้องไล่ให้ทัน
ตรงนี้
เสียงกระทบหู รู้ทันเสียง
จิตคิด รู้ทันคิด
ใจอยากคิดปรุงไปตามเรื่องที่เคย รู้ทัน
กลับมาอยู่กับกรรมฐานของตนให้ได้เช่นกลับมารู้ลมเข้าออก
คำบริกรรมพุทโธ หรือ อนัตตา

เมื่อมีสติรู้ทันสิ่งที่เกิด การปรุงยาวออกไปเป็นสิ่งนั้นเรื่องนี้ต่างๆจะไม่มี จิตใจจะเป็นสมาธิตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์กรรมฐานของตนได้ดี จนชำนาญในการอยู่และปล่อยอารมณ์กรรมฐาน
จิตและสติปัญญาควรแก่งานแล้ว จึงค่อยมายกขึ้นเจริญวิปัสสนาภาวนาจริงๆ ตอนที่จะเจริญวิปัสสนาภาวนาได้นั้นเราจะรู้ตัวเองคือ
นามตัวสติและจิตรู้ กับ รูปหรือนามที่ถูกรู้ จะแยกออกจากกันเป็น 2 ฝ่าย 2 ส่วน ชัดเจน

การที่ยังมีเรื่องมีราวหรือเป็นเป็นราวยาวเฟื้อยอยู่นั้นแสดงว่าสันตติยังไม่ขาด นามรูปยังแยกกันไม่ออกถ้าบอกว่าเจริญวิปัสสนา มันจะกลายเป็นวิปัสสนึกไปทันที เพราะมันจะไปนึกคิดเอาเป็นธรรมตามตำราที่เรียนมา มันจะเป็นการสู้กับกิเลสตัณหาที่ปรุงแต่งขึ้นมาหลอกตัวเอง ไม่ใช่ของจริงนะครับ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2016, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกน่าจะเข้าใจที่กรัชกายพูดแน่ๆเลย จึงหายไป ก็บอกแล้ว :b1: :b13: บอกนานแล้ว :b32:


เรื่องราวที่กรัชกายเอามาอ้างถามส่วนใหญ่เป็นเรื่องของลูกศิษย์ที่ฟุ้งซ่านและติดนิมิตปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ
กรัชกายไปคิดแก้เรื่องราวที่ฟุ้งไปด้วยนิมิตแต่ไม่คิดแก้ตรงต้นเหตุแห่งความฟุ้งไป

ต้นเหตุแห่งความฟุ้งเป็นเรื่องเป็นราวไปก็เพราะสติไม่ทันปัจจุบันอารมณณ์ สัมปชัญญะขาด ต้องย้ำให้ศิษย์คนนี้เพิ่มสติให้มาก สังเกตให้ดีๆก่อนที่จิตจะแวบไปปรุงแต่งเป็นเสียงเป็นเรื่องเป็นราวอะไรต่างๆ มันเกิดผัสสะ อารมณ์หรือความรู้สึกอะไรขึ้นก่อน สังเกตดูดีๆเช่น หูได้ยินอะไรสักอย่างแล้วแวบแว่วออกไปปรุงเป็นเสียงโน้นเสียงนี้ทันที ต้องไล่ให้ทัน
ตรงนี้
เสียงกระทบหู รู้ทันเสียง
จิตคิด รู้ทันคิด
ใจอยากคิดปรุงไปตามเรื่องที่เคย รู้ทัน
กลับมาอยู่กับกรรมฐานของตนให้ได้เช่นกลับมารู้ลมเข้าออก
คำบริกรรมพุทโธ หรือ อนัตตา

เมื่อมีสติรู้ทันสิ่งที่เกิด การปรุงยาวออกไปเป็นสิ่งนั้นเรื่องนี้ต่างๆจะไม่มี จิตใจจะเป็นสมาธิตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์กรรมฐานของตนได้ดี จนชำนาญในการอยู่และปล่อยอารมณ์กรรมฐาน
จิตและสติปัญญาควรแก่งานแล้ว จึงค่อยมายกขึ้นเจริญวิปัสสนาภาวนาจริงๆ ตอนที่จะเจริญวิปัสสนาภาวนาได้นั้นเราจะรู้ตัวเองคือ
นามตัวสติและจิตรู้ กับ รูปหรือนามที่ถูกรู้ จะแยกออกจากกันเป็น 2 ฝ่าย 2 ส่วน ชัดเจน

การที่ยังมีเรื่องมีราวหรือเป็นเป็นราวยาวเฟื้อยอยู่นั้นแสดงว่าสันตติยังไม่ขาด นามรูปยังแยกกันไม่ออกถ้าบอกว่าเจริญวิปัสสนา มันจะกลายเป็นวิปัสสนึกไปทันที เพราะมันจะไปนึกคิดเอาเป็นธรรมตามตำราที่เรียนมา มันจะเป็นการสู้กับกิเลสตัณหาที่ปรุงแต่งขึ้นมาหลอกตัวเอง ไม่ใช่ของจริงนะครับ



อิอิ ลูกศิษย์หลานสิตอีกแระ

ท่านอโศก ไม่มีพื้นฐานภาคปฏิบัติเลย นี่แหละฟุ้งซ่านทำของแท้ ไม่ลอกไม่ดำ จำนำไม่ได้ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2016, 22:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
น่าสงสารกรัชกายนะ ไม่รู้จริงแต่ยังอวดเก่งอีก จะไปแก้ปัญหาชาวโลกแบบโลกย์ๆ แก้จนตายก็ไม่จบ เหนื่อยเปล่า
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2016, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
grin
น่าสงสารกรัชกายนะ ไม่รู้จริงแต่ยังอวดเก่งอีก จะไปแก้ปัญหาชาวโลกแบบโลกย์ๆ แก้จนตายก็ไม่จบ เหนื่อยเปล่า
:b7:



ท่านอโศกดูหมิ่นประมาทพระพุทธเจ้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2016, 20:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
grin
น่าสงสารกรัชกายนะ ไม่รู้จริงแต่ยังอวดเก่งอีก จะไปแก้ปัญหาชาวโลกแบบโลกย์ๆ แก้จนตายก็ไม่จบ เหนื่อยเปล่า
:b7:



ท่านอโศกดูหมิ่นประมาทพระพุทธเจ้า

s002
กรัชกายเสียละมั่งที่กำลังกล่าวตู่พระพุทธเจ้า เอาปัญหาโลกย์ๆมาคิดปรุงว่าเป็ปัญหาธรรม
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2016, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
grin
น่าสงสารกรัชกายนะ ไม่รู้จริงแต่ยังอวดเก่งอีก จะไปแก้ปัญหาชาวโลกแบบโลกย์ๆ แก้จนตายก็ไม่จบ เหนื่อยเปล่า
:b7:



ท่านอโศกดูหมิ่นประมาทพระพุทธเจ้า

s002
กรัชกายเสียละมั่งที่กำลังกล่าวตู่พระพุทธเจ้า เอาปัญหาโลกย์ๆมาคิดปรุงว่าเป็ปัญหาธรรม
s004


อิอิ คำสอนเรื่อง ทิศ 6 เป็นต้น เป็นธรรมไหม ตอบนะ อย่าชิ่งหนีนะ :b13:

1. ไม่เป็น

2. เป็น

ข้อไหน 1 หรือ 2

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2016, 07:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_no
ฆราวาสธรรม เป็นธรรมเพื่ออยู่ในโลก ไม่ใช่ธรรมเพื่อพ้นโลก ตามทางเดินเส้นที่ 5 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

พระองค์สอนฆราวาสธรรมเผื่อไว้สำหรับคนด้อยปัญญาและคนดื้อด้านอย่างกรัชกายที่ไม่ยอมเดินตามเส้นทางวิปัสสนาภาวนาที่พระบรมศาสดาทรงชี้เน้นและแนะนำ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2016, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Onion_no
ฆราวาสธรรม เป็นธรรมเพื่ออยู่ในโลก ไม่ใช่ธรรมเพื่อพ้นโลก ตามทางเดินเส้นที่ 5 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

พระองค์สอนฆราวาสธรรมเผื่อไว้สำหรับคนด้อยปัญญาและคนดื้อด้านอย่างกรัชกายที่ไม่ยอมเดินตามเส้นทางวิปัสสนาภาวนาที่พระบรมศาสดาทรงชี้เน้นและแนะนำ


อ้างคำพูด:
ฆราวาสธรรม เป็นธรรมเพื่ออยู่ในโลก ไม่ใช่ธรรมเพื่อพ้นโลก


"โลก" ตามที่ท่านอโศกคิดได้แก่ อะไร ?

คนที่ทำวิปัสสนาแล้วจะไปอยู่ที่ไหน หือ :b10: :b14: ไปอยู่รูหรอ :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2016, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
Onion_no
ฆราวาสธรรม เป็นธรรมเพื่ออยู่ในโลก ไม่ใช่ธรรมเพื่อพ้นโลก ตามทางเดินเส้นที่ 5 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

พระองค์สอนฆราวาสธรรมเผื่อไว้สำหรับคนด้อยปัญญาและคนดื้อด้านอย่างกรัชกายที่ไม่ยอมเดินตามเส้นทางวิปัสสนาภาวนาที่พระบรมศาสดาทรงชี้เน้นและแนะนำ


อ้างคำพูด:
ฆราวาสธรรม เป็นธรรมเพื่ออยู่ในโลก ไม่ใช่ธรรมเพื่อพ้นโลก


"โลก" ตามที่ท่านอโศกคิดได้แก่ อะไร ?

คนที่ทำวิปัสสนาแล้วจะไปอยู่ที่ไหน หือ :b10: :b14: ไปอยู่รูหรอ :b9:

:b12:
โลก คือผัสสะของทวารทั้ง 6

คนทีทำวิปัสสนาสำเร็จแล้วจะอยู่กับโลกโดยไม่ข้องกับโลก
ดุจน้ำกลิ่งบนใบบอนฉนั้น


:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2016, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศกไปผัสสะที่ไหน :b1: ไม่มา

ธรรมะก็เรื่องในตัวในกายในจิตใจ (วิญญาณ) นี่แหละ จะไปหาที่ไหน

นำมาดูนิดหน่อย

อายตนะ + อารมณ์ + วิญญาณ = ผัสสะ > เวทนา

ทางรับรู้ - - สิ่งที่ถูกรู้ - ความรู้ - - การรับรู้ - ความรู้สึกต่ออารมณ์


ผัสสะ หรือสัมผัส ตามรูปศัพท์แปลว่า การกระทบ แต่มีความหมายทางธรรมว่า การประจวบหรือบรรจบพร้อมกันแห่งอายตนะ อารมณ์ และวิญญาณ

พูดอย่างเข้าใจกันง่ายๆ ผัสสะก็คือการรับรู้นั่นเอง

ผัสสะหรือสัมผัส หรือการรับรู้นี้ มีชื่อเรียกแยกเป็นอย่างๆไปตามทางรับรู้ คืออายตนะนั้นๆ ครบจำนวน ๖ คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส

อารมณ์ แปลว่า สิ่งอันเป็นที่สำหรับจิตมาหน่วงอยู่ หรือสิ่งสำหรับยึดหน่วงของจิต แปลง่ายๆว่า สิ่งที่ถูกรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรู้

ทวาร แปลว่า ช่อง,ประตู มี ๖ ช่อง เช่น จักขุทวาร โสตทวาร เป็นต้น

อายตนะ แปลว่า ที่ต่อ หรือแดน หมายถึงที่ต่อกันให้เกิดความรู้ แดนเชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือแหล่งที่มาของความรู้ แปลอย่างง่ายๆว่า ทางรับรู้ มี ๖ อย่าง ดังที่เรียกในภาษาไทยว่า ตา (จักขุ) หู (โสต) จมูก (ฆาน) ลิ้น (ชิวหา) กาย (กาย) ใจ (มโน) (คำในวงเล็บเป็นบาลี)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2016, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อารมณ์ = สิ่งที่ถูกรู้


รูปภาพ

ตัวอย่างภาคฝึกฝนอบรมจิต

ถ้าผู้ปฏิบัติกรรมฐานแบบพอง-ยุบ อาการท้องที่พอง กับ อาการท้องยุบลง เรียกว่า "อารมณ์" (สิ่งที่ถูกรู้)

ถ้าใช้ลมหายใจเข้า กับ ลมหายใจออก ลมเข้า-ออก ก็เรียกว่า "อารมณ์" (สิ่งที่ถูกรู้)

จะยักเยื้องเรียก กรรมฐาน บ้าง กรรมฐาน แปลว่า ที่ทำงานของจิต

อาการท้องที่พองขึ้น กับ อาการท้องยุบลง เรียกว่า กรรมฐาน (เป็นที่ทำงานของจิตหรือที่ให้จิตทำงาน)

(ใช้ลมเข้า-ออกก็ทำนองเดียวกัน)

พูดให้เห็นภาพกว้างขึ้นอีก ถ้าปฏิบัติแนวสติปัฏฐาน อาการท้องที่พองขึ้น กับ อาการท้องยุบลง จัดเป็นกายานุปัสสนา เดินจงกรม ก็เป็นกายานุปัสสนา ฯลฯ

ภาพกว้างครอบคลุมทั้งหมด อารมณ์มี ๖ คือ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธรรมารมณ์

ท่านอโศกไม่เห็นด้วยค้านได้นะขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร