พูดไป..เธ๊อะ...พูดไป...
ทำไป..แต่ปัญญาไม่เกิด..ก็..บ้อท่า.. :b13:
ความไม่รู้..ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนพูดหมายถึงอะไร

ด้วยอานิสงส์ของการกล่าวคำจริงตรงสัจจะตามคำตถาคต
ขอให้คนที่อ่านเข้าใจและตาสว่างไม่ทำตามๆกันโดยเชื่อผู้อื่น
โดยขาดการฟังคำสอนเพราะการฟังคำสอนทำให้เห็นแจ้ง...สาธุ๊

จะฟังคำสอน..ขององค์สมเด็จฯ ตรง...ก็อ่านแล้วใช้หูฟังเสียง...ซิครับคุณโรส..ตรงกว่าเยอะ

ไปฟัง...ยูทูป..ของคนอื่นทำไม..

อ่านคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับ
จิตคิดนึกมืดเห็นตัวอักษรผิดไหม
ไตร่ตรองให้เข้าใจตรงสัจจะเดี๋ยวนี้

หูได้ยินเสียงในความมืดดังนั้นตอนเกิดปัญญาไม่มีแสงแต่รู้แจ้งชัดว่าไม่มีใครรู้ความจริงของจิตเห็นดูให้รู้ชัด

แสดงว่า..คุณโรส..ไม่เคยฟังเสียงของตัวเองได้เลย..ไม่เคยหยุดคิด..จะคิดทุกครั้งที่ผัสสะ..เช่นอ่าน...

อ่าน..แต่ไม่คิด..ให้มาคิดหลังจากฟังเสียง..ที่ตนอ่านไปแล้ว...ทำได้มั้ย?

หากทำไม่ได้....อาการที่คุยนักหนาว่า..

"หลักการง๊ายง่ายแสนจะง่ายมากที่สุดเลยจ้ะกบ
ที่กายใจตัวเองมีครบจิตทั้ง6ทางไม่ขาดตอนลืมตา
และตอนลืมตาเห็นและกำลังฟังคำสอนเรื่องเห็น
ถึงจะเข้าใจเห็นที่ตัวเองกำลังเห็นว่าผิดมาก
เพราะตถาคตแสดงว่าจิตเห็นแสงสี1สีค่ะ
ตาเนื้อตัวเองไม่ได้เห็นแค่สี1สีตรงไหม
สีล้วนสีเดียวเป็นยังไงลองไปเอา
กระดาษเปล่ามาบังหน้าแล้วก็
ลืมตาดูนั่นน่ะมีแค่1สีสะท้อนแสง
เข้าตาดำดับในตาดำไม่มีกระดาษ555
แค่หลับตาก็ขาดอายตนะทางตาแล้วดูให้ชัด
ตอนกะพริบตาเป็นจิตครบ6ทางขณะใหม่แล้ว
และรู้ป่าวกิเลสไหลออกมาจากจิตตัวเองตลอดเวลา
จนกว่าจะเริ่มมีเสียงความจริงให้ได้ยินว่าเห็นแค่สี1สีนะ
แล้วก็มืดตลอดเวลาที่มีจิตทางอื่นปรากฏเดี๋ยวนี้คิดมืดๆๆๆ
ถ้าตอนคิดมีแสงแปลว่ากำลังคิดเห็นผิดตรงๆไม่มีอ้อมคริคริคริ
เห็นกิเลสตนเองไหมถ้าฟังน้อยกว่าเห็นแปลว่ากิเลสใหม่เกิดมากกว่าปัญญา...เข้าใจบ๊อออออิอิอิ"

ก็เป็นเพียงราคาคุย..พูดตามตาม..เขาไปอย่างนั้น...ไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเองจริง..นะซี


อ่าน..แต่ไม่คิด..ให้มารู้มาคิดหลังจากฟังเสียง..ที่ตนอ่านไปแล้ว...ทำได้มั้ย?

เอ้า..ท้า

กำลังมีความไม่รู้ความจริงคือมีอวิชชาเดี๋ยวนี้

ไม่เข้าใจหรือคะ...จิตแต่ละทางมันคนละวิถี...ถ้าเป็นตึกก็อยู่กันคนละชั้นเช่น
จิตเห็นอยู่ชั้นล่างสุดมีแสงสว่างมีสว่างมองเห็นแค่สีอยู่ชั้นนี้ชั้นเดียวคือชั้นที่1
จิตทางอื่นอีก5ทางอยู่ชั้นบนมืดและมันอยู่คนละชั้น2,3,4,5,6อยู่ได้แค่ชั้นนั้นๆ
จิตแต่ละ1เหมือนคน6คนเดินอยู่คนละชั้นไม่เคยพบเจอกันเลยจิตทั้ง6ทางนั้น
ตอนนี้ตัวเองปนเปกันไปหมดเอาความคิดไปปนกับเห็นแล้วก็ปรุงไปตามเห็นผิด
โดยไม่รู้ความจริงว่าจิตมันเดินทางสวนทางกันอยู่ไม่ปะปนชั้นกันด้วยคนละวิถีค่ะ
ดังนั้นตอนเห็นสว่างจึงไม่มีการคิดและตอนคิดน่ะเห็นมันดับไปแล้วไม่เหลือซากเลย
จะสะสมปัญญาต้องอาศัยฟังเสียงคนอื่นกล่าวคำจริงให้เข้าใจฟังเสียงจากปรโตโฆสะรู้ยังคะ

เห็นสีทีละ1สีกะพริบตลอดเวลาในความเงียบไม่มีตัวตนแปลว่าเห็นทีละ1สีไม่มีกลิ่นไม่มีเสียงไม่มีอารมณ์อื่นปน
https://youtu.be/FpiQt_zhA3M

เห็นมะ..คุณโรส..ทำอย่างผมว่า..ไม่ได้เลย..แต่พอพูด..โน้น..พูดไปถึงดาวอังคาร..ยังได้เลย..อิอิ

แค่นี้ก็รู้แล้ว..ว่า..ผลไม่มี..

ย้อนไปถึงสิ่งที่กระทำ...การกระทำดั่งว่าของคุณโรส..จึงไม่ใช่มรรค

เห็นมะ....มองคุณโรสได้ง่ายนิดเดียว..

พระองค์บอกว่า..ที่ใดไม่มีมรรค..ที่นั้นไม่มีผล

กระผมมองย้อนกลับ...ก็จะเห็นว่า..วิธีใดไม่มีผล..วิธีนั้นไม่ใช่มรรค

ผล..อันแรกเลย..ดูง่ายๆ..ยังไม่ต้องไปไล่ญาณฌาณอะไรหรอก...

ดูที่ศีล..ก่อนเลย..

หากยังผืดศีลทางวาจา...กล่าวหาคนอื่นไปทั่ว...พูดแง่ร้ายใส่ความทำสงฆ์ทั้งคณะให้ดูแย่ลง...ไม่แยกแยะ..มีปากก็สักว่าแต่พูด...ฯ

เมื่อผล..คือแม้ศีลสังวรก็ไม่มี...วิธีการปฏิบัติของผู้นั้น...ก็ใช้ไม่ได้

ทุกคนตาไม่บอดดูให้รู้ชัดๆว่าตัวเองเห็นผิดมากขนาดไหน

อันที่เห็นแล้วกลายเป็นตัวตนคนสัตว์วัตถุสิ่งของมันเลยปัจจุบันขณะ
มันเห็นผิดไปแล้วแก้ไขไม่ได้มีแต่ต้องเพียรฟังเพื่อให้คิดถูกตามคำสอนหลังเห็น
ทบทวนตาตัวเองแล้วก็หัดคิดให้ตรงทางด้วยแต่ละทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะด้วย
สว่าง1ครั้งมืดต่อ11ครั้งจิตเกิดดับสลับกันวนมาที่สว่าง1ครั้งทุกครั้งดูสิว่าตาคุณเห็นอะไร

มีตาไว้ทำไมถึงไม่รู้จักดูให้มันตรงทางคริคริคริ
จิตเห็นสี1สี(สว่าง)ดับแล้วมืดทันทีมืดต่อจนกว่าเห็นวนมาครบรอบ
มีภวังคจิต(มืด)คั่นครั้งแรก ส่งต่อมโนทวารคือคิดถึงสีที่เห็นก่อนดับมืดมีภวังคจิตครั้งที่2(มืด)
จึงเกิดจิตอื่นๆต่อมันมืดตั้งแต่ตอนคิดถึงสีแล้วจากนั้นมืดสลับอีก5ทางมีคิดคั่นด้วยทุกครั้งมืดมากกว่าสว่าง

1จิตเห็นสี(สว่าง)ดับ(มืด)
ภวังค์(มืด)
คิดดับ(มืด)(ดับในจิตทางมโนทวารวิถีไม่เหลือซากจึงเกิดจิตทางอื่นต่อ)
ภวังค์(มืด)

2จิตได้ยิน(มืด)
ภวังค์(มืด)
คิดดับ(มืด)(ดับในจิตทางมโนทวารวิถีไม่เหลือซากจึงเกิดจิตทางอื่นต่อ)
ภวังค์(มืด)

3จิตได้กลิ่น(มืด)
ภวังค์(มืด)
คิดดับ(มืด)(ดับในจิตทางมโนทวารวิถีไม่เหลือซากจึงเกิดจิตทางอื่นต่อ)
ภวังค์(มืด)

4จิตลิ้มรส(มืด)
ภวังค์(มืด)
คิดดับ(มืด)(ดับในจิตทางมโนทวารวิถีไม่เหลือซากจึงเกิดจิตทางอื่นต่อ)
ภวังค์(มืด)

5จิตรับกระทบสัมผัส(มืด)
ภวังค์(มืด)
คิดดับ(มืด)(ดับในจิตทางมโนทวารวิถีไม่เหลือซากจึงเกิดจิตทางอื่นต่อ)
ภวังค์(มืด)

6จิตคิดนึก(มืด)
ภวังค์(มืด)
คิดดับ(มืด)(ดับในจิตทางมโนทวารวิถีไม่เหลือซากจึงเกิดจิตทางอื่นต่อ)
ภวังค์(มืด)

ถึงจะวนมาที่1คือจิตเห็นใหม่ที่สว่างแค่ครั้งเดียวแล้วก็มืดบอดสนิททำอะไรได้ไหมมมมมม555
ตอนที่คุณกระพริบตามีครบตามที่เขียนให้อ่านมีครบแล้วทั้ง6ทางไม่ต้องไปทำที่ไหนอีก
จะคัดค้านความจริงที่ว่าตัวเองเห็นผิดอย่างงั้นหรือคะตถาคตสอนให้รู้จักกิเลสตัวเอง
มีปัญญาดูไปสิว่าตาตัวเองเห็นอะไรบ้าง...ตาไม่บอดหูไม่หนวกถึงจะฟังคำสอนรู้เรื่อง
จิตเกิดดับสลับกันทีละ1ขณะใหม่ทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์เห็นปกติผลิตกิเลสรู้ไหม

จะพูดอะไรให้พิศดารยังงัย..ก็พูดได้..พูดไปเต๊อะ...

มรรคผล..ดูง่ายนิดเดียว..

โอ๊ยตาเนื้อคนปกติที่ไหนจะเห็นถูกได้ล่ะ555
แค่กิเลสยังไม่รู้จักแล้วจะแก้ยังไงกันล่ะ
ควักลูกตาดำออกมาล้างสีออกหรือ
ตาไม่บอดหูไม่หนวกถึงจะเข้าใจ
ว่าตนเองเห็นผิดขนาดไหน
ไม่ต้องเหาะขึ้นบนฟ้า
แค่มองแล้วคิดตาม
เห็นแค่สีไหม555
แค่นี้เองดูตัวเอง
ไม่ออกแล้วจะ
แก้กิเลสได้ไง

ให้เทียบชัดๆอีกครั้ง



คนไม่รู้จักกิเลสเขาเรียกไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้ไงคะ...ขำกลิ้ง5555

1สว่าง
2-12มืด
1สว่าง
2-12มืด
ไปเรื่อยๆ
จิตเกิดดับสลับกันไม่ซ้ำเก่าแม้แต่ขณะจิตเดียวเวลาใหม่เป็นจิตทั้ง6ทางใหม่
ปรุงอันเก่าให้กิเลสแรงขึ้นดับสะสมใหม่ทุกขณะจิตดับไม่กลับมาให้รู้อีกเลย
เป็นอนันตกาลจนกว่าจะเริ่มฟังคำสอนแล้วเริ่มคิดถูกตามจึงเริ่มมีปัญญาเจ้าค่ะ
ไม่มีใครรู้ความจริงของจิตที่กำลังเกิดดับและผู้ที่จะมากล่าวว่าจิตเห็นสีอีกคือพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่โน่น