วันเวลาปัจจุบัน 17 ก.ค. 2025, 21:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2015, 15:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
คุณเอก้อนได้นำความละเอียดละออวิจิตรพิสดารของปัญญาในนัยยะต่างๆมาแสดงแจงให้ดูจนแตกลูกแตกหน่อออกไปโดยกบ บิ๊กทูและคุณRossarin อีกมากมาย ได้ความรู้ความบันเทิงใจกันเยอะแยะ ขออนุโมทนา
:b8:
บัดนี้เราน่าจะได้กลับมาวิเคราะห์กันต่อในเรื่องของมรรค ๘ ภาคปฏิบัติในนัยยะแห่ง

ปัญญา ศีล สมาธิ

ทำไมเมื่อตอนแสดงโอวาทปาติโมกข์พระองค์ทรงสรุปหลักธรรมของพระองค์ไว้ว่า

ละชั่ว ทำดี ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ อันได้ความหมายเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

แต่พอตอนจะเจริญมรรค ๘ ซึ่งก็คือกระบวนการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ พระองค์กลับทรงเอาปัญญามานำหน้า แล้วเอาศีล สมาธิมาตามหลัง

ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะว่าผู้ที่ได้ปรับปรุงรากฐานของตนเองมาตามขั้นตอนของการละชั่ว ทำดีมาพอเพียงแล้วเมื่อจะมาชำระจิตของตนให้ขาวรอบนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาปัญญามานำหน้า ปัญญาที่จะนำมานำหน้านี้คือปัญญาวิปัสสนาภาวนา ได้แกปัญญาที่จะไปขุดค้นหาเหตุแห่งทุกข์ตามกระบวนการของมรรค ๘ โดยมีศีลและสติ สมาธิเป็นกองหนุน

ในเวลาที่ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนานั่งลงหลับตามีมนสิการ เอาสติ และปัญญามาสังเกตรู้เข้าไปในกายและจิตหรือ รูป นาม
เฝ้าดูอยู่ที่สัมผัสของทวารทั้ง ๖ และตั้งสติปัญญาคอบสังเกตพิจารณาที่ช่วงต่อระหว่าง เวทนากับตัณหา ซึ่ง เวทนาที่จะเกิดขึ้นกับผัสสะของทวารทั้ง ๖ นั้นเมื่อเกิดที่กายจะเป็น สุข ทุกข์หรือเฉย ถ้าเกิดที่จิตก็จะเป็น โสมนัส โทมนัส หรืออุเบกขา อุเบกขา ไม่มีปัญหาอะไรเพราะตัณหาไม่เกิดแต่นอกเหนือจากนั้นไปจะมารวมลงที่ อภิชฌา และ โทมนัสสัง หรือความ ยินดียินร้าย

พระบรมศาสดาทรงสอนไว้ว่า เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก (โลกในที่นี้ก็คือผัสสะทางทวารทั้ง ๖ นั่นเอง)อันเป็นสาระสำคัญของมหาสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นทางอันเอกที่อาจทำให้ผู้เจริญได้เข้าถึงนิพพานทันในปัจจุบันชาติ

การเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกนี้พระพุทธองค์มิได้ทรงแนะนำวิธีการไว้ตรงๆคงทิ้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติได้ค้นคว้าและพิสูจน์ธรรมเอาด้วยตนเอง เราจะได้วิเคราะห์เรื่องนี้โดยละเอียดในตอนต่อไป เชิญติดตาม

s004
s006
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2015, 19:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


huh ...ตามบาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2015, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
tongue
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ที่บอกว่าเด็ก ๆ..นั้น

เป็นเรื่องเด็ก ๆ จริง ๆ ....ไม่ใช่ดูถูก Bigtoo นะ.. :b9: :b9: :b9:

อายุ..8 - 9 ขวบ.นี้แหละ..แต่ไม่เกิน 10 ขวบ แน่

เหตุการณ์นี้..จำได้แม่นฝังใจ....เป็นครั้งแรก..ที่พิจารณาเงิน......เห็นเงินเป็นกระดาษ..เป็นของที่โลกสมมุติขึ้นมา....รู้สึกสมเพชนิด ๆ ที่เรา ๆ ต่างหลงผิด...เข้าใจว่า..นี้เงินของเรา..เงินนี้มีค่า.. s002 s002
สมเพชที่เรา ๆ หลงสมมุติ..จนลืมไปแล้วว่าเราสมมุติมันขึ้นมาเอง...แท้ ๆ

เด็ก ๆ...
นี้เป็นเด็ก จริง ๆ..
มันก็แค่คิดได้นิดหน่อยเพราะมันทำจากการดาษ แต่จะสละนะมันเรื่องยากย๊ากๆๆกบ. ของจริงไม่ได้โม๊

คุนน้องว่าชาตินี้ถ้าบิ๊กทู่ไม่เป็นอรหันต์..ต้องไปต่อยอดเพื่อให้นิพพานตามพระสมณโคดม..ก่อนจะสิ้นศาสนาคงมีทางเดียว..คือบิ๊กทู่ต้องไปเกิดเป็นเด็กวัด..เพราะบิ๊กทู่อธิษฐานไม่ขอมีศรัพสมบัติ
มีแต่ปัญญา..บิ๊กทู่ก็จะได้ต่อยอดอีกครั้ง..อานิสงค์การให้ทานจะทำให้บิ๊กทู่ เป็นเด็กวัดที่ มีอันจะกิน.. :b32: แถมเลือกกินได้สารพัดเลยนะเออ..เพราะยาติโยม มาถวาย ..ทั้งของคาวของหวาน..แถมยังได้อยู่ใกล้หลวงปู่หลวงตาในวัด.ได้ศึกษาพระธรนมคำสอนของพระศาสดาต่อยอดอีกครั้ง..อาจจะทำให้บิ๊กทู่ตัดสินใจอออกบวช..และสำเร็จอรหันต์ในชาตินั้น..แต่ก็ไม่แน่ อาจจะไปปิ้งสาว..และพยายามแอคทีฟตนเอง..ทำงานอยากรวย อยากมีเหมือนคนอื่น..เพราะตนไม่เคยมี..ทางสองแพ่งที่ต้องเลือกเดิน..ขอให้โชคดีในอนาคตกาลป๋าบิ๊ก :b4:
ปล.คุนน้องถนัดมโนเรื่องราวของผู้อื่น :b32:

:b12:
ถ้าเป็นไปตามคำทำนายของคุณน้องสงสัยท่านบิกทู่คงคิดหนักมั่กถ้าเกิดว่ายังมิถึงนิพพานชาตินี้
:b32: :b32:
ผมว่าพวกคุณนะที่จะต้องคิดนักกัน เพราะชาตินี้ยังตัดอะไรกันไม่ค่อยได้เรื่องราวเยอะไปหมด บิ๊กตู่ แทบจะไม่มีเรื่องคิดอะไรนอกจากคอยสอนผู้คนที่ยึดติดอะไรแบบละเอียดโดยไม่รู้ไม่เข้าใจ แบบท่องคาถาเงินล้าน แบบตามหาอรหันต์ แบบติดดีอีกเยอะ. เส้นทางนี้มีแต่ตัดๆๆๆๆไม่มีติดๆๆๆๆไม่ว่าดีหรือไม่ดี เข้าใจบ่


Kiss
ขอยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่าต้องสวดพระคาถา
ยืนยันอีกครั้ง พระอรหันต์ท่านก็มีพระคาถาให้สวด
โดยเฉพาะพระสายป่ากรรมฐานหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น

:b17:
พระคาถา พระพุทธเจ้าชนะมาร

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

(ตั้งนะโม ๓ จบ ก่อนสวดสาธยาย )

ปัจจะมาเรชิโนนาโถ ปัตโตสัมโพธิมุตตะมัง

จะตุสัจจังปะกาเสติ ธัมมะจักกังปะวัตตะยิ

เอเตนะสัจจะวัชเชนะ โหตุเมชะยะมังคะลัง.

:b20:

พระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของโลกทรงชนะมารทั้ง ๕ บรรลุ

สัมโพธิญาณอันอุดม ทรงประกอบอริยสัจ ๔ ยังล้อแห่งธรรมให้หมุนไป

แล้วจริง ด้วยการกล่าวคำสัจนี้ ขอชัยมงคง จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเถิด.

(ภาวนาป้องกันอันตรายทั้งปวง และให้เกิดสรรพสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว

ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก สวดในเวลาบ่ายสี่โมงเย็น ใส่น้ำมะพร้าว ไม่ต้องเทออกจากลูก สวดจบแล้วเป่า

ลงในน้ำมะพร้าวก่อนดื่ม เป็นพระคาถาอันประเสริฐ เพิ่มพลัง ชนะหมู่มารทั้งหลายทั้งปวง)
:b12:
มีอีกนะ พระคาถายูงทอง
พระคาถาแคล้วคลาด (หลวงปู่มั่น)

พระคาถาแคล้วคลาดโมรปริต (นกยูงทอง)

โมระปะริตตัง (คาถายูงทอง)

ในบรรดาพระป่าสายพระอาจารย์มั่น ส่วนมากได้ให้ความนับถือพระคาถาบทหนึ่ง คือพระคาถาโมรปริตหรือชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า"พระคาถานกยูงทอง"

ความเดิมมีอยู่ว่า มีพญายูงทอง ตัวหนึ่งที่มีชีวิตแคล้วคลาดจากการถูกเข่นฆ่ามาได้โดยตลอด แม้พระราชาหรือนายพรานที่มีความชำนาญก็ยังจับไม่ได้ พญายูงทองได้ท่องพระคาถานี้มาโดยตลอด แม้จะถูกดักด้วยแร้ว กลไกของแร้วก็ไม่ลั่น จนกระทั่งมีนายพรานที่มีปัญญาหลักแหลมจึงหาอุบายเอานกยูงตัวเมียที่ฝึกไว้จนเชื่องและปฎิบัติตามคำสั่ง ได้เข้าไปล่อและส่งเสียงร้องก่อนที่พญายูงทองจะท่องพระคาถา พญายูงทองก็เกิดความกระสันด้วยกิเลส ลืมร่ายมนต์และเข้ามาหานางนกยูง เลยถูกบ่วงแร้วรัดตัวและถูกจับไว้ได้ในที่สุด

พระคาถาที่พญายูงทองได้สวดท่องทุกเช้าและค่ำมีดังนี้

บทสวดตอนเช้า

อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา
หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส
ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง
ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง
เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม
เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ
นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา
อิมัง โส ปะริตตัง กัตวา โมโร จะระติ เอสะนา ฯ

บทแปล

พระอาทิตย์เป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้าแห่งแสงสว่าง กำลังอุทัยขึ้นมา ผู้สาดแสงสีทองส่องพื้นปฐพี ข้าพจ้าทั้งหลาย อันท่านคุ้มครองแล้ว พึงอยู่เป็นสุข ตลอดเวลากลางวันวันนี้
ท่านผู้ลอยบาปได้แล้ว เหล่าใด เป็นผู้รู้จบในธรรมทั้งปวง ขอท่านผู้ลอยบาปแล้วเหล่านั้น จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้าเถิด ขอท่านผู้ลอยบาปแล้วเหล่านั้น โปรดรักษาข้าพเจ้าด้วยเถิด ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่พระโพธิญาณ ความนอบน้อมของข้าพจ้า จงมีแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว จากกิเลสทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่วิมุตติธรรม นกยูงนั้น กระทำปริตรอันนี้แล้ว จึงเที่ยวไปแสวงหาอาหาร


บทสวดตอนค่ำ

อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา
หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส
ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง
ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ รัตติง
เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม
เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ
นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา
อิมัง โส ปะริตตัง กัตวา โมโร วาสะมะกัปปะยีติ ฯ

นะมัตถุ พุทธานัง : ความนอบน้อมของข้าฯ จงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
นะมัตถุ โพธิยา : ความนอบน้อมของข้าฯ จงมีแด่พระโพธิญาณ
นะโม วิมุตตานัง : ความนอบน้อมของข้าฯ จงมีแด่ท่านผู้พ้นแล้วทั้งหลาย
นะโม วิมุตติยา : ความนอบน้อมของข้าฯ จงมีแด่วิมุตติธรรม

บทแปล

พระอาทิตย์เป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้าแห่งแสงสว่าง กำลังลาลับไป จากการส่องแสงแก่พื้นปฐพี เพราะเหตุนั้น ข้าเจ้าขอนอบน้อม ซึ่งพระอาทิตย์นั้น ผู้สาดแสงสีทองส่องพื้นปฐพี ข้าพเจ้าทั้งหลาย อันท่านคุ้มครองแล้ว พึงอยุ่เป็นสุขตลอดรา...ี้
ท่านผู้ลอยบาปได้แล้วเหล่าใด เป็นผู้รู้จบในธรรมทั้งปวง ขอท่านผู้ลอยบาปแล้วเหล่านั้น จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้าเถิด ขอท่านผู้ลอยบาปแล้วเหล่านั้น โปรดรักษาข้าพเจ้าด้วยเถิด ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่พระโพธิญาณ ความนอบน้อมของข้าพเจ้า จงมีแด่ผู้หลุดพ้นแล้ว จากกิเลสทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้าเจ้า จงมีแด่วิมุตติธรรม นกยูงนั้น กระทำปริตรอันนี้แล้ว จึงพักผ่อนหลับนอนแล

เรื่องราวข้างล่างนี้ลอกมาจากเวปนะครับ ลองอ่านดู

ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นปีที่คณะเสรีไทยกำลังโด่งดังมาก บ้านหนองผือก็เป็นอีกแห่งที่ คณะเสรีย์ไทยได้เข้าไปตั้งค่าย เพื่อฝึกอบรมคณะครูและประชาชนชายหนุ่มให้ไปเป็นกองกำลังทหาร ต่อสู้ ขับไล่ทหารญี่ปุ่นในสมัยนั้น คุณครูหนูไทย สุพลวานิช ( ชาวบ้านหนองผือ ผู้อยู่ในเหตการณ์และเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว ปัจจุบัน ( พ.ศ. ๒๕๔๔ ) ใช้ชีวิตอยู่ในอำเถอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ) เป็นผู้หนึ่งที่ถูกเกณฑ์ให้ไปฝึกอบรมในค่ายนี้ ท่าน เกิดที่บ้านหนองผือนี่เอง เป็นธรรมดาสัญชาตญาณของคนเรา เมื่อตกอยู่ในภาวะเหตุการณ์เช่นนี้ จึงทำให้ แสวงหาสิ่งพึ่งพิงทางใจในยามคับขัน ช่วงเวลาว่างในการฝึกก็นั่งพักผ่อนตามอัธยาศัย พูดคุยสรวลเสเฮฮา กับหมู่เพื่อนร่วมค่ายหลายเรื่องหลายราว จนกระทั่งมาถึงเรื่องของดีของขลังของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อป้องกัน อันตรายที่จะมาถึงตัว มีเพื่อนคนหนึ่งในจำนวนนั้นได้พูดขึ้นว่า " ท่านพระอาจารย์ใหญ่ในวัดป่าบ้านหนองผือ ทราบข่าวว่าท่านเป็นพระดีองค์หนึ่ง พวกเราจะไม่ลองไปขอของดีกับท่านดูบ้างหรือ ท่านคงจะให้พวกเรา "

ด้วยคำพูดของเพื่อนจึงทำให้คุณครูหนูไทยนำไปคิดเป็นการบ้าน วันต่อมาคุณครูหนูไทยหาแผ่นทอง มาได้แผ่นหนึ่ง มาตัดเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ วางใส่จานขันธ์ห้า แล้วให้โยมผู้เฒ่าทายกวัดที่เป็นญาติซึ่งไปจังหัน ที่วัดในตอนเช้านำแผ่นทองถวายท่านพระอาจารย์มั่น เพื่อให้ท่านทำหลอดยันต์ให้แต่โยมผู้ที่นำแผ่นทองไปนั้น ไม่กล้าเข้าไปหาท่านพระอาจารย์มั่นโดยตรง จึงให้พระอุปัฏฐากเข้าไปลองถามท่านดูก่อน ท่านพระอาจารย์มั่น ได้พูดตอบพระอุปัฏฐากว่า " เขาอยากได้ กะเฮ็ดให้เขาสั้นตั๊ว " ( หมายความว่า เขาต้องการก็ทำให้เขาได้จะเป็น อะไร ) เมื่อพระอุปัฏฐากเข้าใจแล้วจึงบอกให้โยมเอาแผ่นทองมาให้ท่าน รออยู่ประมาณสามวันพระอุปัฏฐาก ท่านก็นำหลอดยันต์นั้นมาให้โยมแล้วโยมผู้เฒ่าคนนั้นจึงนำมาให้คุณครูหนูไทยอีกทีหนึ่ง คุณครูหนูไทยเมื่อได้ ของดีแล้วก็มีความดีอกดีใจเป็นอันมาก ทะนุถนอมเก็บรักษาไว้ในที่มิดชิด และนำติดตัวไปในทุกสถานที่เลย ทีเดียว

วันหนึ่งว่างจากการฝึกอบรมจึงเดินเที่ยวเล่นไปทางด้านหลังสนาม เผอิญเหลือบไปเห็นพวกเพื่อน สามสี่คนกำลังทำอะไรกันอยู่ข้างมุมสนาม คุณครูหนูไทยจึงเดินไปดูก็เห็นพวกเขากำลังทดลองจะยิง " เขี้ยวหมูตัน " ด้วยอาวุธปืนคาร์ไบน์ ( ชื่อเรียกในสมัยนั้น ) เมื่อเขาทดลองยิงแล้วปรากฎว่า " เขี้ยวหมูตัน " ที่ถือว่าเป็นของขลังศักดิ์สิทธิ์นั้น แตกกระจายไปคนละทิศละทาง เพื่อนคนที่เป็นเจ้าของเขี้ยวหมูตันหน้าถอดสี ไปหมด ส่วนเพื่อนคนที่เป็นคนยิงคงจะย่ามใจ หันหน้ามาถามคุณครูหนูไทยที่เดินเข้าไปสมทบทีหลังว่า " มีของดีอะไรมาลองบ้างเพื่อน " ด้วยความซื่อและความเป็นเพื่อน คุณครูหนูไทยจึงตอบเขาไปว่า " มีอยู่ " แค่นั้นแหละเพื่อนคนนั้นก็ก้าวเท้าเข้ามาเอามือล้วงปั๊บไปทีกระเป๋าเสื้อของคุณครูหนูไทยพร้อมกับพูดขึ้นว่า " ไหนเอาของดีมาลองดูหน่อยซิ " โดยคุณครูหนูไทยคิดไม่ถึงว่าเพื่อนจะกล้าทำได้เช่นนั้น แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว วัตถุสิ่งนั้นจึงติดมือเพื่อนคนนั้นไป คุณครูหนูไทยวอนขอเขาอย่างไร เขาก็ไม่ยอมคืนให้ท่าเดียว

ในที่สุดเขาก็นำตะกรุดยันต์นั้นไปวางที่ระยะห่างประมาณสัก ๓ - ๔ วา แล้วเขาก็ถอยกลับมายกปืน ขึ้นเล็งไปที่ตะกรุดยันต์นั้น เพื่อนทุกคนที่อยู่ที่นั่นเงียบกริบ ต่างคนก็ต่างเอาใจไปจดจ่อที่จุดเดียวกัน สักครู่คนยิงจึงกดไกปืนเสียงดัง " แชะ แชะ " แต่ไม่ระเบิด ทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นต่างตกตะลึง ครั้งที่สามเขา ลองหันปลายกระบอกปืนนั้นขึ้นบนฟ้าแล้วกดไกอีกครั้ง ปรากฎว่าเสียงปืนกระบอกนั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว บริเวณ ส่วนคุณครูหนูไทยนึกขึ้นได้จึงใช้จังหวะนั้นกระโดดวิ่งเข้าไปหยิบตะกรุดยันต์นั้นอย่างรวดเร็ว แล้ว กำไว้ในมืออย่างหวงแหนที่สุด ถึงแม้พวกเพื่อน ๆ จะขอดูขอชม ก็ไม่อยากให้เขาดูเขาชม เดินบ่ายเบี่ยง ไปทางอื่น แต่พวกเพื่อนก็ขอดูขอชมจนได้ เสร็จแล้วทุกคนจึงพากันเลิกลา กลับไปที่พักของตนด้วยความ ฉงนสนเท่ห์และตื่นเต้นในอภินิหารตะกรุดยันต์ของท่านพระอาจารย์มั่นเป็นอย่างมาก อันนี้คุณครูหนูไทยเล่าให้ ฟังอย่างนั้น

ภายหลังต่อมาบางคนทราบข่าวจึงพากันไปขอจากท่านพระอาจารย์มั่นที่วัด ส่วนมากจะได้เป็น แผ่นผ้าลงอักขระคาถาด้วยยันต์ สำหรับตะกรุดแผ่นทองนั้นไม่ค่อยมี เพราะแผ่นทองสมัยนั้นหายากมาก ต่อมาไม่นานท่านพระอาจารย์มั่นคงเห็นว่ามากไปจนเกินเลย จึงบอกให้เลิก ท่านบอกว่าสงครามเขาจะสงบแล้ว ไม่ต้องเอาก็ได้ พวกตะกรุดยันต์ ผ้ายันต์ เหล่านั้น นั่นมันเป็นของภายนอก สู้เอาคาถาบทนี้ไปบริกรรมแนบ กับใจไม่ได้ ให้บริกรรม ทุกเช้าค่ำจนขึ้นใจ แล้วจะปลอดภัยอันตรายต่างๆ จะไม่มากล้ำกรายตัวเราได้เลย คาถาบทนั้นว่าดังนี้
"นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา" ฯลฯ
เป็นบทสวด ส่วนหนึ่งของบทสวดโมระปะริตตัง ( คาถายูงทอง )

ที่มา http://board.postjung.com/620006.html
:b8:
:b16: :b16:
onion onion onion
คาถา(คำสอน)พระศาสดาสอนให้นำเอาไปปฎิบัติ มีเรื่องศิล สมาธิ ปัญญา. คาถาของพระพุทธองค์ที่เป็นคำสอนนั้นท่านให้ท่องให้คล่องปากขึ้นใจ(เข้าใจความหมาย)ไม่ใช่ท่องแบบโดยไม่เข้าใจในเนื้อความ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2015, 19:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
grin
คุณเอก้อนได้นำความละเอียดละออวิจิตรพิสดารของปัญญาในนัยยะต่างๆมาแสดงแจงให้ดูจนแตกลูกแตกหน่อออกไปโดยกบ บิ๊กทูและคุณRossarin อีกมากมาย ได้ความรู้ความบันเทิงใจกันเยอะแยะ ขออนุโมทนา
:b8:
บัดนี้เราน่าจะได้กลับมาวิเคราะห์กันต่อในเรื่องของมรรค ๘ ภาคปฏิบัติในนัยยะแห่ง

ปัญญา ศีล สมาธิ

ทำไมเมื่อตอนแสดงโอวาทปาติโมกข์พระองค์ทรงสรุปหลักธรรมของพระองค์ไว้ว่า

ละชั่ว ทำดี ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ อันได้ความหมายเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

แต่พอตอนจะเจริญมรรค ๘ ซึ่งก็คือกระบวนการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ พระองค์กลับทรงเอาปัญญามานำหน้า แล้วเอาศีล สมาธิมาตามหลัง

ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะว่าผู้ที่ได้ปรับปรุงรากฐานของตนเองมาตามขั้นตอนของการละชั่ว ทำดีมาพอเพียงแล้วเมื่อจะมาชำระจิตของตนให้ขาวรอบนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาปัญญามานำหน้า ปัญญาที่จะนำมานำหน้านี้คือปัญญาวิปัสสนาภาวนา ได้แกปัญญาที่จะไปขุดค้นหาเหตุแห่งทุกข์ตามกระบวนการของมรรค ๘ โดยมีศีลและสติ สมาธิเป็นกองหนุน

ในเวลาที่ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนานั่งลงหลับตามีมนสิการ เอาสติ และปัญญามาสังเกตรู้เข้าไปในกายและจิตหรือ รูป นาม
เฝ้าดูอยู่ที่สัมผัสของทวารทั้ง ๖ และตั้งสติปัญญาคอบสังเกตพิจารณาที่ช่วงต่อระหว่าง เวทนากับตัณหา ซึ่ง เวทนาที่จะเกิดขึ้นกับผัสสะของทวารทั้ง ๖ นั้นเมื่อเกิดที่กายจะเป็น สุข ทุกข์หรือเฉย ถ้าเกิดที่จิตก็จะเป็น โสมนัส โทมนัส หรืออุเบกขา อุเบกขา ไม่มีปัญหาอะไรเพราะตัณหาไม่เกิดแต่นอกเหนือจากนั้นไปจะมารวมลงที่ อภิชฌา และ โทมนัสสัง หรือความ ยินดียินร้าย

พระบรมศาสดาทรงสอนไว้ว่า เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก (โลกในที่นี้ก็คือผัสสะทางทวารทั้ง ๖ นั่นเอง)อันเป็นสาระสำคัญของมหาสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นทางอันเอกที่อาจทำให้ผู้เจริญได้เข้าถึงนิพพานทันในปัจจุบันชาติ

การเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกนี้พระพุทธองค์มิได้ทรงแนะนำวิธีการไว้ตรงๆคงทิ้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติได้ค้นคว้าและพิสูจน์ธรรมเอาด้วยตนเอง เราจะได้วิเคราะห์เรื่องนี้โดยละเอียดในตอนต่อไป เชิญติดตาม

s004
s006
:b38:
ศิล สมาธิ. ปัญญา. บุญกิริยานี้ทำอันไหนก่อนหลังอะไรก็ได้ถือว่าเป็นบุญไม่จำเป็นจะต้องเรียงจากอะไรไปไอะไร.เพราะเป็นเรื่องของบุญ ส่วนมรรควิธีนั้นมรรคจิตจะต้องเดินด้วยปัญญาที่เป็นสัมมามทิฎฐิ ถ้าสัมมาทิฎฐิไม่เกิดขึ้นมรรคก็เดินไม่ได้. มรรคองค์อื่นๆก็จะเกิดตามไม่ได้แน่นอน. เมื่อสัมมาทิฎฐิไม่เกิดการดำริออกจากกามจะเกิดได้อย่างไร. ตัวอย่างที่เห็นในที่นี้ที่มีบุคคลยังลูบๆคลำข้อวัตรข้อปฎิบัติกันผิดๆเช่นๆท่องๆคาถาเพื่อสิ่งนั้นหวังในสิ่งนี้. วิ่งหาอรหันต์กันอยู่ทั่งๆที่ตนเองก็ไม่รู้ สิ่งเล่านี้ล้วนเป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งนั้น. แล้วการดำริออกจากกามจะเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ที่ทำก็อยากๆๆๆกันทั้งนั้น. ปัญญาที่ถูกจึงต้องมาก่อน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 20 ส.ค. 2015, 20:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2015, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
คาถา(คำสอน)พระศาสดาสอนให้นำเอาไปปฎิบัติ มีเรื่องศิล สมาธิ ปัญญา. คาถาของพระพุทธองค์ที่เป็นคำสอนนั้นท่านให้ท่องให้คล่องปากขึ้นใจ(เข้าใจความหมาย)ไม่ใช่ท่องแบบโดยไม่เข้าใจในเนื้อความ

wink
Rosarin เขียน:
Kiss
หน้า 22-25 พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
:b42:
คำสอนหลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
(4 ตุลาคม 2430 - 30 ตุลาคม 2526)
:b40:
การศึกษาธรรมด้วย การอ่าน การฟัง สิ่งที่ได้ก็คือสัญญา ความจำได้
การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่ได้เป็นผลของการปฏิบัติ คือ ภูมิธรรม
:b39:
ดูที่ใจ
อย่าส่งใจไปดูู ไปรู้สิ่งอื่น ท่านให้ดูที่ใจของตนเองเท่านั้น ท่านไม่ให้ดูสิ่งอื่น
:b8:
ธรรมแท้คือจิต
หลักธรรมที่แท้นั้นคือ จิต ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง
เมื่อเข้าใจจิตตัวเองลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละได้แล้ว
ซึ่งหลักธรรม
:b43:
ให้รู้ทันเหตุแห่งทุกข์
การภาวนานั้น คือ การเจริญจิตให้มีสติสมบูรณ์
สามารถรู้เท่าทันเหตุแห่งทุกข์ จะได้ละเหตุนั้นก่อน จึงจะไม่ต้องรับทุกข์

:b40:
onion onion onion

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50738
:b44:
:b31: :b31:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 17:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
asoka เขียน:
grin
คุณเอก้อนได้นำความละเอียดละออวิจิตรพิสดารของปัญญาในนัยยะต่างๆมาแสดงแจงให้ดูจนแตกลูกแตกหน่อออกไปโดยกบ บิ๊กทูและคุณRossarin อีกมากมาย ได้ความรู้ความบันเทิงใจกันเยอะแยะ ขออนุโมทนา
:b8:
บัดนี้เราน่าจะได้กลับมาวิเคราะห์กันต่อในเรื่องของมรรค ๘ ภาคปฏิบัติในนัยยะแห่ง

ปัญญา ศีล สมาธิ

ทำไมเมื่อตอนแสดงโอวาทปาติโมกข์พระองค์ทรงสรุปหลักธรรมของพระองค์ไว้ว่า

ละชั่ว ทำดี ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ อันได้ความหมายเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

แต่พอตอนจะเจริญมรรค ๘ ซึ่งก็คือกระบวนการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ พระองค์กลับทรงเอาปัญญามานำหน้า แล้วเอาศีล สมาธิมาตามหลัง

ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะว่าผู้ที่ได้ปรับปรุงรากฐานของตนเองมาตามขั้นตอนของการละชั่ว ทำดีมาพอเพียงแล้วเมื่อจะมาชำระจิตของตนให้ขาวรอบนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาปัญญามานำหน้า ปัญญาที่จะนำมานำหน้านี้คือปัญญาวิปัสสนาภาวนา ได้แกปัญญาที่จะไปขุดค้นหาเหตุแห่งทุกข์ตามกระบวนการของมรรค ๘ โดยมีศีลและสติ สมาธิเป็นกองหนุน

ในเวลาที่ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนานั่งลงหลับตามีมนสิการ เอาสติ และปัญญามาสังเกตรู้เข้าไปในกายและจิตหรือ รูป นาม
เฝ้าดูอยู่ที่สัมผัสของทวารทั้ง ๖ และตั้งสติปัญญาคอบสังเกตพิจารณาที่ช่วงต่อระหว่าง เวทนากับตัณหา ซึ่ง เวทนาที่จะเกิดขึ้นกับผัสสะของทวารทั้ง ๖ นั้นเมื่อเกิดที่กายจะเป็น สุข ทุกข์หรือเฉย ถ้าเกิดที่จิตก็จะเป็น โสมนัส โทมนัส หรืออุเบกขา อุเบกขา ไม่มีปัญหาอะไรเพราะตัณหาไม่เกิดแต่นอกเหนือจากนั้นไปจะมารวมลงที่ อภิชฌา และ โทมนัสสัง หรือความ ยินดียินร้าย

พระบรมศาสดาทรงสอนไว้ว่า เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก (โลกในที่นี้ก็คือผัสสะทางทวารทั้ง ๖ นั่นเอง)อันเป็นสาระสำคัญของมหาสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นทางอันเอกที่อาจทำให้ผู้เจริญได้เข้าถึงนิพพานทันในปัจจุบันชาติ

การเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกนี้พระพุทธองค์มิได้ทรงแนะนำวิธีการไว้ตรงๆคงทิ้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติได้ค้นคว้าและพิสูจน์ธรรมเอาด้วยตนเอง เราจะได้วิเคราะห์เรื่องนี้โดยละเอียดในตอนต่อไป เชิญติดตาม
s004
s006
:b38:
ศิล สมาธิ. ปัญญา. บุญกิริยานี้ทำอันไหนก่อนหลังอะไรก็ได้ถือว่าเป็นบุญไม่จำเป็นจะต้องเรียงจากอะไรไปไอะไร.เพราะเป็นเรื่องของบุญ ส่วนมรรควิธีนั้นมรรคจิตจะต้องเดินด้วยปัญญาที่เป็นสัมมามทิฎฐิ ถ้าสัมมาทิฎฐิไม่เกิดขึ้นมรรคก็เดินไม่ได้. มรรคองค์อื่นๆก็จะเกิดตามไม่ได้แน่นอน. เมื่อสัมมาทิฎฐิไม่เกิดการดำริออกจากกามจะเกิดได้อย่างไร. ตัวอย่างที่เห็นในที่นี้ที่มีบุคคลยังลูบๆคลำข้อวัตรข้อปฎิบัติกันผิดๆเช่นๆท่องๆคาถาเพื่อสิ่งนั้นหวังในสิ่งนี้. วิ่งหาอรหันต์กันอยู่ทั่งๆที่ตนเองก็ไม่รู้ สิ่งเล่านี้ล้วนเป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งนั้น. แล้วการดำริออกจากกามจะเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ที่ทำก็อยากๆๆๆกันทั้งนั้น. ปัญญาที่ถูกจึงต้องมาก่อน
:b8:
อนุโมทนากับความเห็นของคุณ bigtoo

และก็อนุโมทนาตามข้อธรรมของหลวงปู่ดุลย์ที่คุณ Rossarin ยกมาให้ได้พิจารณากัน
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 23:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็พูด...พูด..พูด...กันไป

สัมมาทิฏฐิ...

พอพูดขึ้นด้วยคำว่า...สัมมาทิฏฐิ...

ก็ดูเท่เหลือหลาย... :b32: :b32:

อริยะเจ้า..ยังอยากจะกินเหล้าอยู่บ้าง....มั้ยละคับ..อโสกะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ก็พูด...พูด..พูด...กันไป

สัมมาทิฏฐิ...

พอพูดขึ้นด้วยคำว่า...สัมมาทิฏฐิ...

ก็ดูเท่เหลือหลาย... :b32: :b32:

อริยะเจ้า..ยังอยากจะกินเหล้าอยู่บ้าง....มั้ยละคับ..อโสกะ
:b32: :b32:
อริยะเจ้าเขาไม่มีหรอกยากกินเหล้านะครับ. แต่ที่กินได้เพราะบริบทของสังคมตัวน้ำเหล้ามันก็แค่ธาตุนี่ต่างหากที่เขาไปไกลกว่าคนที่มองว่า ต้องไม่แตะเลย. จิตเขาไม่มีความต้องการที่จะดื่มเลยก็แค่นี่ กบยึดแบบนี้ไม่ผ่านน๊า แล้วจะปล่อยวางเรื่องที่ละเอียดกว่านี้ได้อย่างไร

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 12:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ก็พูด...พูด..พูด...กันไป

สัมมาทิฏฐิ...

พอพูดขึ้นด้วยคำว่า...สัมมาทิฏฐิ...

ก็ดูเท่เหลือหลาย... :b32: :b32:

อริยะเจ้า..ยังอยากจะกินเหล้าอยู่บ้าง....มั้ยละคับ..อโสกะ
:b32: :b32:

:b12:
ไม่อยากแล้วครับ ตายขาดไปจากใจเลยความอยากดื่มเหล้า เสพย์ของมึนเมาทั้งหลาย
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 17:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ก็พูด...พูด..พูด...กันไป

สัมมาทิฏฐิ...

พอพูดขึ้นด้วยคำว่า...สัมมาทิฏฐิ...

ก็ดูเท่เหลือหลาย... :b32: :b32:

อริยะเจ้า..ยังอยากจะกินเหล้าอยู่บ้าง....มั้ยละคับ..อโสกะ
:b32: :b32:


asoka เขียน:
:b12:
ไม่อยากแล้วครับ ตายขาดไปจากใจเลยความอยากดื่มเหล้า เสพย์ของมึนเมาทั้งหลาย
onion


แล้วถ้าเพื่อนคะยั้นคะยอ..ให้ดื่มหน่อย..ถ้าไม่ดื่มจะตัดเพื่อน...อริยะจะยอมดื่มเพื่อสังคมมั้ยคับ

หรือ...ต้องกินเลี้ยงเอาใจลูกค้า...ต้องดื่มเอาใจลูกค้านี้นะ...อริยะจะยอมดื่มเพื่อเข้าสังคม..กลัวสังคมเขาจะรังเกียจ..มั้ยคับ..อโสกะ

s006 s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ก็พูด...พูด..พูด...กันไป

สัมมาทิฏฐิ...

พอพูดขึ้นด้วยคำว่า...สัมมาทิฏฐิ...

ก็ดูเท่เหลือหลาย... :b32: :b32:

อริยะเจ้า..ยังอยากจะกินเหล้าอยู่บ้าง....มั้ยละคับ..อโสกะ
:b32: :b32:


asoka เขียน:
:b12:
ไม่อยากแล้วครับ ตายขาดไปจากใจเลยความอยากดื่มเหล้า เสพย์ของมึนเมาทั้งหลาย
onion


แล้วถ้าเพื่อนคะยั้นคะยอ..ให้ดื่มหน่อย..ถ้าไม่ดื่มจะตัดเพื่อน...อริยะจะยอมดื่มเพื่อสังคมมั้ยคับ

หรือ...ต้องกินเลี้ยงเอาใจลูกค้า...ต้องดื่มเอาใจลูกค้านี้นะ...อริยะจะยอมดื่มเพื่อเข้าสังคม..กลัวสังคมเขาจะรังเกียจ..มั้ยคับ..อโสกะ

s006 s006
มีคนหนึ่งเอามีดแทงเข้าไปในท้องแล้วทำคนตายเพราะต้องการฆ่า. แต่อีกคนหนึ่งเอามีดแทงไปในท้องแล้วคนตายเพราะต้องการรักษา. มีค่าเท่ากันคือคนตาย แต่ทำไมผลรับสองคนจึงไม่เท่ากัน. เช่นเดียวกันกับคนดื่มเหล้านั่นแหล่ะกบ. พอเข้าใจนะเจตนาเป็นกรรม

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 20:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ก็พูด...พูด..พูด...กันไป

สัมมาทิฏฐิ...

พอพูดขึ้นด้วยคำว่า...สัมมาทิฏฐิ...

ก็ดูเท่เหลือหลาย... :b32: :b32:

อริยะเจ้า..ยังอยากจะกินเหล้าอยู่บ้าง....มั้ยละคับ..อโสกะ
:b32: :b32:


asoka เขียน:
:b12:
ไม่อยากแล้วครับ ตายขาดไปจากใจเลยความอยากดื่มเหล้า เสพย์ของมึนเมาทั้งหลาย
onion


ถามอโสกะ..ครับผม

กบนอกกะลา เขียน:
แล้วถ้าเพื่อนคะยั้นคะยอ..ให้ดื่มหน่อย..ถ้าไม่ดื่มจะตัดเพื่อน...อริยะจะยอมดื่มเพื่อสังคมมั้ยคับ

หรือ...ต้องกินเลี้ยงเอาใจลูกค้า...ต้องดื่มเอาใจลูกค้านี้นะ...อริยะจะยอมดื่มเพื่อเข้าสังคม..กลัวสังคมเขาจะรังเกียจ..มั้ยคับ..อโสกะ

s006 s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2015, 14:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ก็พูด...พูด..พูด...กันไป

สัมมาทิฏฐิ...

พอพูดขึ้นด้วยคำว่า...สัมมาทิฏฐิ...

ก็ดูเท่เหลือหลาย... :b32: :b32:

อริยะเจ้า..ยังอยากจะกินเหล้าอยู่บ้าง....มั้ยละคับ..อโสกะ
:b32: :b32:


asoka เขียน:
:b12:
ไม่อยากแล้วครับ ตายขาดไปจากใจเลยความอยากดื่มเหล้า เสพย์ของมึนเมาทั้งหลาย
onion


แล้วถ้าเพื่อนคะยั้นคะยอ..ให้ดื่มหน่อย..ถ้าไม่ดื่มจะตัดเพื่อน...อริยะจะยอมดื่มเพื่อสังคมมั้ยคับ

หรือ...ต้องกินเลี้ยงเอาใจลูกค้า...ต้องดื่มเอาใจลูกค้านี้นะ...อริยะจะยอมดื่มเพื่อเข้าสังคม..กลัวสังคมเขาจะรังเกียจ..มั้ยคับ..อโสกะ

s006 s006

:b12:
พระอริยเจ้าคือผู้ที่มีสติปัญญาดีจึงได้เห็นธรรมและบรรลุธรรม ท่านจะมีความแยบคายในการที่จะหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าเพื่อการสมาคมและสังคมนั้นกลับจะยกย่องนับถือไว้เป็นมิตรที่ดีในกลุ่มของเขาเมื่อเห็นความเด็ดเดี่ยวของการไม่ดื่มเหล้าหรือผิดศีลข้อที่ 5

เรื่องนี้มีตัวอย่างจริงๆที่เกิดขึ้นหลายที่หลายเรื่องเช่น
มีนักเรียนแม่โจ้รุ่นหนึ่งจำนวนกว่า 200 คน ใน 200 คนนั้นมีอยู่ 2 คนที่ไม่ยอมดื่มเหล้าจนรุ่นพี่เพื่อนและรุ่นน้องต้องยอมรับนับถือในความเด็ดเดี่ยวของเขาในระดับที่ว่า จะฆ่าให้ตายก็ยอมถ้าจะบังคับให้เขากินเหล้า จนเพื่อนๆแม่โจ้ทั้งวิทยาลัยต่างพากันพูดว่า "ยกให้มันเสียสักคนเถอะ เก็บไว้ประดับรุ่นของเราสักคนสองคนเถอะ" "ไอ้มหา" แล้วไอ้มหาคนนั้นก็ได้ทำงานทำการอยู่ร่วมในวงการเกษตรมาตลอดจนประสบความสำเร็จในชีวิตพอสมควรกับอัตตภาพ

อีกอย่างหนึ่งสังคมดีๆที่ไม่ต้องอาศัยเหล้าหรือของมึนเมาทั้งหลายเป็นสื่อเชื่อมก็ยังมีอีกเยอะแยะเป็นการดีเสียอีกที่เมื่อปฏิเสธการดื่มเหล้าได้เด็ดขาดแล้วความเด็ดเดี่ยวอันนั้นกลับจะกลายเป็นเครื่องกรองและคัดเลือกเอาแต่มิตรที่ดีสังคมที่ดีเป็นกัลยาณมิตรจริงมาให้อริยบุคคลหรือกัลยาณชนท่านนั้น
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2015, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b27:
asoka เขียน:
grin
คุณเอก้อนได้นำความละเอียดละออวิจิตรพิสดารของปัญญาในนัยยะต่างๆมาแสดงแจงให้ดูจนแตกลูกแตกหน่อออกไปโดยกบ บิ๊กทูและคุณRossarin อีกมากมาย ได้ความรู้ความบันเทิงใจกันเยอะแยะ ขออนุโมทนา
:b8:
บัดนี้เราน่าจะได้กลับมาวิเคราะห์กันต่อในเรื่องของมรรค ๘ ภาคปฏิบัติในนัยยะแห่ง

ปัญญา ศีล สมาธิ

ทำไมเมื่อตอนแสดงโอวาทปาติโมกข์พระองค์ทรงสรุปหลักธรรมของพระองค์ไว้ว่า

ละชั่ว ทำดี ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ อันได้ความหมายเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

แต่พอตอนจะเจริญมรรค ๘ ซึ่งก็คือกระบวนการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ พระองค์กลับทรงเอาปัญญามานำหน้า แล้วเอาศีล สมาธิมาตามหลัง

ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะว่าผู้ที่ได้ปรับปรุงรากฐานของตนเองมาตามขั้นตอนของการละชั่ว ทำดีมาพอเพียงแล้วเมื่อจะมาชำระจิตของตนให้ขาวรอบนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาปัญญามานำหน้า ปัญญาที่จะนำมานำหน้านี้คือปัญญาวิปัสสนาภาวนา ได้แกปัญญาที่จะไปขุดค้นหาเหตุแห่งทุกข์ตามกระบวนการของมรรค ๘ โดยมีศีลและสติ สมาธิเป็นกองหนุน

ในเวลาที่ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนานั่งลงหลับตามีมนสิการ เอาสติ และปัญญามาสังเกตรู้เข้าไปในกายและจิตหรือ รูป นาม
เฝ้าดูอยู่ที่สัมผัสของทวารทั้ง ๖ และตั้งสติปัญญาคอบสังเกตพิจารณาที่ช่วงต่อระหว่าง เวทนากับตัณหา ซึ่ง เวทนาที่จะเกิดขึ้นกับผัสสะของทวารทั้ง ๖ นั้นเมื่อเกิดที่กายจะเป็น สุข ทุกข์หรือเฉย ถ้าเกิดที่จิตก็จะเป็น โสมนัส โทมนัส หรืออุเบกขา อุเบกขา ไม่มีปัญหาอะไรเพราะตัณหาไม่เกิดแต่นอกเหนือจากนั้นไปจะมารวมลงที่ อภิชฌา และ โทมนัสสัง หรือความ ยินดียินร้าย

พระบรมศาสดาทรงสอนไว้ว่า เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก (โลกในที่นี้ก็คือผัสสะทางทวารทั้ง ๖ นั่นเอง)อันเป็นสาระสำคัญของมหาสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นทางอันเอกที่อาจทำให้ผู้เจริญได้เข้าถึงนิพพานทันในปัจจุบันชาติ

การเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกนี้พระพุทธองค์มิได้ทรงแนะนำวิธีการไว้ตรงๆคงทิ้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติได้ค้นคว้าและพิสูจน์ธรรมเอาด้วยตนเอง เราจะได้วิเคราะห์เรื่องนี้โดยละเอียดในตอนต่อไป เชิญติดตาม
s004
s006
:b38:
ศิล สมาธิ. ปัญญา. บุญกิริยานี้ทำอันไหนก่อนหลังอะไรก็ได้ถือว่าเป็นบุญไม่จำเป็นจะต้องเรียงจากอะไรไปไอะไร.เพราะเป็นเรื่องของบุญ ส่วนมรรควิธีนั้นมรรคจิตจะต้องเดินด้วยปัญญาที่เป็นสัมมามทิฎฐิ ถ้าสัมมาทิฎฐิไม่เกิดขึ้นมรรคก็เดินไม่ได้. มรรคองค์อื่นๆก็จะเกิดตามไม่ได้แน่นอน. เมื่อสัมมาทิฎฐิไม่เกิดการดำริออกจากกามจะเกิดได้อย่างไร. ตัวอย่างที่เห็นในที่นี้ที่มีบุคคลยังลูบๆคลำข้อวัตรข้อปฎิบัติกันผิดๆเช่นๆท่องๆคาถาเพื่อสิ่งนั้นหวังในสิ่งนี้. วิ่งหาอรหันต์กันอยู่ทั่งๆที่ตนเองก็ไม่รู้ สิ่งเล่านี้ล้วนเป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งนั้น. แล้วการดำริออกจากกามจะเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ที่ทำก็อยากๆๆๆกันทั้งนั้น. ปัญญาที่ถูกจึงต้องมาก่อน
:b8:
อนุโมทนากับความเห็นของคุณ bigtoo

และก็อนุโมทนาตามข้อธรรมของหลวงปู่ดุลย์ที่คุณ Rossarin ยกมาให้ได้พิจารณากัน
:b27:

:b1:
สำหรับปุถุชนต้องเรียงลำดับเป็นศีล สมาธิ ปัญญา
เพราะต้องจดจำสิ่งต้องห้ามได้และเจตนาไม่ล่วงศีล
เช่นไม่ดื่มสุราก็คือไม่ทุกกรณี ต้องเด็ดเดี่ยว เป็นต้น
ต้องฝึกทำสมาธิให้ชำนาญจนจิตได้รับความสงบก่อน
ปัญญาที่แท้จริงคือการเข้าถึงจิตที่เป็นนามธรรมล้วนๆ
ไม่ใช่ความจำได้หมายรู้ในสภาวะธรรมนั่นเป็นแค่สัญญา
สัมมาทิฏฐิเป็นจิตที่เข้าใจความต่างของสัญญากับปัญญา
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2015, 14:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
พระอริยเจ้าคือผู้ที่มีสติปัญญาดีจึงได้เห็นธรรมและบรรลุธรรม ท่านจะมีความแยบคายในการที่จะหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าเพื่อการสมาคมและสังคมนั้นกลับจะยกย่องนับถือไว้เป็นมิตรที่ดีในกลุ่มของเขาเมื่อเห็นความเด็ดเดี่ยวของการไม่ดื่มเหล้าหรือผิดศีลข้อที่ 5

เรื่องนี้มีตัวอย่างจริงๆที่เกิดขึ้นหลายที่หลายเรื่องเช่น
มีนักเรียนแม่โจ้รุ่นหนึ่งจำนวนกว่า 200 คน ใน 200 คนนั้นมีอยู่ 2 คนที่ไม่ยอมดื่มเหล้าจนรุ่นพี่เพื่อนและรุ่นน้องต้องยอมรับนับถือในความเด็ดเดี่ยวของเขาในระดับที่ว่า จะฆ่าให้ตายก็ยอมถ้าจะบังคับให้เขากินเหล้า จนเพื่อนๆแม่โจ้ทั้งวิทยาลัยต่างพากันพูดว่า "ยกให้มันเสียสักคนเถอะ เก็บไว้ประดับรุ่นของเราสักคนสองคนเถอะ" "ไอ้มหา" แล้วไอ้มหาคนนั้นก็ได้ทำงานทำการอยู่ร่วมในวงการเกษตรมาตลอดจนประสบความสำเร็จในชีวิตพอสมควรกับอัตตภาพ

อีกอย่างหนึ่งสังคมดีๆที่ไม่ต้องอาศัยเหล้าหรือของมึนเมาทั้งหลายเป็นสื่อเชื่อมก็ยังมีอีกเยอะแยะเป็นการดีเสียอีกที่เมื่อปฏิเสธการดื่มเหล้าได้เด็ดขาดแล้วความเด็ดเดี่ยวอันนั้นกลับจะกลายเป็นเครื่องกรองและคัดเลือกเอาแต่มิตรที่ดีสังคมที่ดีเป็นกัลยาณมิตรจริงมาให้อริยบุคคลหรือกัลยาณชนท่านนั้น
:b38:

:b8: :b8:
ใช่ครับ..เห็นด้วยกับอโสกะ...อริยะ..สติก็ดี..ปัญญาก็ดี...

ผมแถมให้อีกนิดว่า..กล้าหาญไม่กลัวใครจะไม่ชอบ...อีกด้วย...
แล้วจะอะไรกับสังคมว่าเขาจะมองอย่างไร..

ก็ขนาดเด็กนักศึกษาปุถุชน...ยังกล้าไม่กลัวใครว่าที่ไม่ดื่มเหล้า...เลย...อย่างที่อโสกะว่ามา..

ก็คงจะมีแต่อริยะจอมปลอม...อ้างนั้นอ้างนี้...เปิดตำราหาทางแปล...เพื่อปลอบใจตัวเอง..ว่าตัวเองยังเป็นอริยะได้อยู่แม้จะดื่มเหล้าไปบ้าง...เที่ยวที่อโคจรบ้าง..เล่นพนันบ้าง...ก็ปลอบใจตัวว่ายังเป็นอริยะได้...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร