วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 11:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2012, 07:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
nongkong เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
nongkong เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ก็ที่ผมจะเชื่อคำสอนของใครนั้น ผมฟังครูบาร์อาจารย์หลายท่านครับ เช่นท่านพุทธทาส หลวงพ่อชา หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่สิม หลวงพ่อพุธ หลวงตามหาบัว หลวงพ่อฤษีลิงดำ และมีอีกมาก พร้อมหา พุทธพจน์ต่างมา ประกอบ แล้วจึงไป วิปัสสนาต่อ ครับ จึงจะเชื่อ
หากเอาคำพูดของอาจารย์ท่านใดมาพูดแล้ว สุดท้าย เอาความเห็นของตน ที่ไม่ตรงกับที่ท่านเทศน์สอนไว้ผมว่า ไม่สู้ดีนัก นะครับ
หากเอามาพูด แล้ว บอกว่า เจอมาเองนะ คิดเองนะ มันก็จะถูกมองว่า อวดรู้อวดดีอีก ผมเลย เอาความคิดเห็นครูบาร์อาจารย์บ้าง คำภีร์บ้าง ความเห็นตัวเองบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะตรงกับพุทธพจน์แล้ว มาโต้ตอบ ไม่ได้หยิบมาด้วนๆนะครับ
ส่วนใครจะเป็นเช่นไร ก็ตามกำลังปัญญาตนเองเถิดครับ ผมแค่สนทนา ตามภาษา คนที่ยังโง่ เท่านั้น
ใครที่ฉลาดล้นแล้ว ก็เพียรต่อไปเถิด


เห็น อัตตา เด่นดวง :b21: :b22: :b34:
ของผมนะ เดียวหาว่า ว่าคนอื่น

:b8: :b8: :b8:

แต่คุนน้องว่าท่านฝึกจิตฉลาด รอบรู้เก่งกาจในธรรมของพระอาจารย์หลายๆท่าน ทำไมพอคุนน้องถามภาคปฏิบัติ กลับเฉไฉ มาสนทนากับคุนน้องด้วยก็ได้ แบ่งปันธรรมมะกัน ท่านเอาธรรมมะพระอาจารย์มาปุชฉา คุนน้องจะวิสัชนาตอบแบบสัมมาทิฏฐิของตนล้วนๆ จะได้รู้ภาคปฏิบัติกับภาคปริยัติแต่ไม่ปฏิบัติมันต่างกันยังงัย :b20: :b53:


ท่านคิดว่า การปฏิบัติ มันแค่นักสมาธิในรูปแบบเท่านั้นหรือ ผมนั่งตั้งแต่ก่อนปีใหม่ จนปัจจุบัน ทุกวัน จนนอน ร่วมกับ วิปัสสนา แต่ ของจริงมันอยู่ที่ทุกปัจจุบันขณะ นั้นแหละครับ เพราะ สมาธิมี ปัญญาสมบูรณ์ / สมาธิข่ม ปัญญาตัด มันเกื้อหนุนกันอยู่ แต่ทุกอย่างอยู่ในสติ ทั้งนั้น
ให้เพียรมีสติอัตฺโนมัติให้ได้เถิด

หากปฏิบัติเพื่อ ไม่มี ไม่เป็น ไม่ได้ หรือไม่บรรลุถึง อะไรๆ แล้วค่อยคุยกันดีกว่าครับ

:b8:

รู้สึกท่านฝึกจิตจะเข้าใจผิดแล้ว คุนน้องไม่เคยคิดว่าว่าทำสมาธิแล้วบรรลุธรรม มีถ้อยคำใดหรือเจ้าค่ะ ที่คุนน้องบอกทำสมาธิแล้วเข้าถึงธรรม ท่านไปอ่านที่คุนน้องอธิบาย ที่คุนน้องบอกว่า ภาคปฏิบัติเราต้องเจริญอะไรบ้าง อ่านดีแล้วหรือถึงได้ กล่าวหาคุนน้อง แล้วคุนน้องก็บอกไปหยกๆว่า ถามมาเลยธรรมมะ คุนน้องจะตอบแบบปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่ต้องคุยว่าใครบรรลุไม่บรรลุ ลองคุยกัน หยิบเอาธรรมมะเรื่องใด เรื่องหนึ่งมา

ท่านก็อธิบายตามความเข้าใจของท่าน คุนน้องจะอธิบายตามความเข้าใจของคุนน้อง คนที่เข้าถึงกระแสธรรม เข้าถึงแก่นธรรมสามารถอธิบายธรรมใดโดยที่ไม่ต้องเรียนปริยัติ ว่าแต่ท่านจะกล้า ปุชฉา วิสัชนากับคุนน้องหรือเปล่า ที่คุนน้องคุยกับท่านเพราะเห็นธรรมมะที่เป็นอัตตาเด่นดวงของท่านเลยอยากลองภูมิ แต่ท่านก็ไม่กล้าคุยธรรมมะกับคุนน้อง แค่นี้คุนน้องก็รู้แล้ว :b11:

ที่ท่านว่า
คุณน้องไม่มีธรรมมะมีแต่ภาคปฏิบัติเลยอยากมีส่วนร่วม อันนี้หมายถึงอะไร หมายถึงว่า ท่านไม่ได้ปริยัติ ใช่ไม่หรือหมายถึงอะไร :b10:
แล้วที่ท่านว่า คุนน้องอ่านเวปธรรมมะอยู่ดีๆ ตั้งใจอ่านแบบแน่วแน่มากเลย จำได้ว่าเข้าไปอ่านอภิธรรมเกี่ยวกับปฏิจสุปปบาท ก็ตั้งใจอ่านแล้วพิจารณาธรรมไปตามนั้น นี้เขาเรียกอะไร :b10:
คุนน้องเหลือปฏิฆะ ตัวเดียว ถ้าเอาออกได้ก็เป็นระดับ อนาคามี นี้แหละ ที่บันดาอาจารญ์ทั้งหลายเรียกว่า ตัวหลง
หากจะปุชฉา ก็ปุชฉา มาได้ครับ ผมจะเอาปัญญาอันน้อยนิดมาตอบท่าน แต่ท่านผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ต้องเอาสิ่งที่ตนรู้ แล้วบอกว่า นั้นแหละแน่นอน ของฉันถูก ออกเสียก่อน
:b8:

จะบอกความจริงให้ก็ได้ พอดีผัสสะรนหาที่มองเห็นกิเลศคนอื่น เลยอดไม่ได้ แล้วเห็นกิเลศคนบางคนออกมาเต้นลิเกร้องรำทำเพลง พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยเพราะกลัวจะเสียท่า หาว่าคนอื่นทำไม่ได้ แต่ตัวเองปากกล้าขาสั่น อัตตามีมากกว่าคนอื่นเห็นอยู่ทนโธ่ แต่ปัญญาสัมมาทิฏฐิดันไม่มีหรือ :b10: ไปตั้งกระทู้ถามเลย เอาหัวข้ออะไรยกมาซักหัวข้อ นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้ หัวข้อนี้ไหมเจ้าค่ะ กระแทกใจจริง :b32: ปล.บอกไว้อย่างคุยธรรมมะนะ ไม่ใช่มาบอกให้ไป ลด ละ ปล่อย วางธรรม :b18:


:b12: ท่านสกทามี ตอบที่ผมยกคำของท่านมาไม่ได้ละซิ :b16:
ผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิที่กลับไม่เข้าใจ คำนี้อีกหรือ ลด ละ ปล่อย วางธรรม :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2012, 07:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบช้าจัง กิเลสผมกำลังพุ่ง เลยนะนี้ :b4: s007


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2012, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิที่กลับไม่เข้าใจ คำนี้อีกหรือ ลด ละ ปล่อย วางธรรม

พอดีเป็นคนที่เข้าใจอะไรยาก เลยต้องมีกัลยามิตรมาอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าจะรู้เรื่อง ท่านฝึกจิตจะเมตตาธรรมคุนน้องได้มั้ยเจ้าค่ะว่า การ ละ ที่ท่านบอกคุนน้องว่าให้ไปลด ละ นี่คือปฏิบัติยังงัย :b20: คุนน้องจะได้เอาไปพิจารณา คุนน้องอัตตาไม่แน่นหนาเหมือนปูนซีเมนตราช้าง :b32: ถ้าความเห็นเข้าท่าจะลองพิจารณาเจ้าค่ะ :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2012, 07:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
อ้างคำพูด:
ผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิที่กลับไม่เข้าใจ คำนี้อีกหรือ ลด ละ ปล่อย วางธรรม

พอดีเป็นคนที่เข้าใจอะไรยาก เลยต้องมีกัลยามิตรมาอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าจะรู้เรื่อง ท่านฝึกจิตจะเมตตาธรรมคุนน้องได้มั้ยเจ้าค่ะว่า การ ละ ที่ท่านบอกคุนน้องว่าให้ไปลด ละ นี่คือปฏิบัติยังงัย :b20: คุนน้องจะได้เอาไปพิจารณา คุนน้องอัตตาไม่แน่นหนาเหมือนปูนซีเมนตราช้าง :b32: ถ้าความเห็นเข้าท่าจะลองพิจารณาเจ้าค่ะ :b27:


เอาที่ผมถามท่านก่อนซิ 5555
ที่ท่านว่า
คุณน้องไม่มีธรรมมะมีแต่ภาคปฏิบัติเลยอยากมีส่วนร่วม อันนี้หมายถึงอะไร หมายถึงว่า ท่านไม่ได้ปริยัติ ใช่ไม่หรือหมายถึงอะไร
แล้วที่ท่านว่า คุนน้องอ่านเวปธรรมมะอยู่ดีๆ ตั้งใจอ่านแบบแน่วแน่มากเลย จำได้ว่าเข้าไปอ่านอภิธรรมเกี่ยวกับปฏิจสุปปบาท ก็ตั้งใจอ่านแล้วพิจารณาธรรมไปตามนั้น นี้เขาเรียกอะไร


s004
ตอนนี้อัตตาผมเด่นมาก รวมทั้งสร้างกิเลสมาเต็ม อย่าพึงดับนะ ดูไว้ดูไว้ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2012, 07:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ช้าอีกแล้ว มันกำลังจะดับแล้วนะ หาคำดีๆป้องกันอัตตาอยู่หรือไร s005
มันกำลังจะ วาง แล้วนะ grin


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2012, 18:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
ใกล้วันวิสาขะ ขยะที่เกิดเยอะในใจ พึ่งชำระออกไป ในวันมหาสมัยเช่นนี้
เป็นโอกาสอันดี ที่จะได้บรรลุธรรม ตามพระบรมศาสดา ด้วยอำนาจแห่งพุทธา-
นุภาพอันยิ่งใหญ่ ที่ยังคงหลงเหลือในจักรวาลอันกว้างไกล ใครฉลาดอาจน้อมนำมาใช้
เป็นพลังค้ำจุนหนุนให้เห็นธรรม
:b48: :b48:
อย่ามัวถกเถียงกันอยู่เลย อย่ามัวเอ่ยอวดอ้าง จงละลดและปลดวาง จากเส้นทางทุรพล
มาตั้งต้นกันใหม่ ในเส้นทางไม่วกวน ไร้บัญญัติอันป่วนป่นระคนเคล้าอัตตา
คือเส้นทางอันประเสริฐเลิศล้ำในโลกา นำหน้าด้วยเมตตา ปิยวาจา พรหมวิหารธรรม
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2012, 07:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ที่ผ่านมาเราสนทนากันแต่ในส่วนของเรื่องการชำระขยะที่มากองไว้ในใจเป็นส่วนใหญ่ แต่ การที่จะมีขยะเข้ามากองทับถมกันไว้ในใจนั้นถ้าเราได้รู้วิธีที่จะไม่รับขยะใหม่เข้ามาอีกคงจะเป็นการดีมิใช่น้อย
:b10:
ดังที่เคยกล่าวมาแล้วว่า "สติ เปรียบได้กับฝาถังขยะ" ซึ่งทำงานร่วมกับ จิต อันเปรียบได้กับผู้คอยปิดเปิดถังขยะ
:b44:
ดังนั้น สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้วจนเป็น "สัมมาสติ" นี่คือเครื่องมือหรือปราการด่านแรกหรือฝาปิดที่จะคอยกั้นมิให้มีขยะมาเพิ่มขึ้นในใจ"
:b44:
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ....."สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้ว"
:b53:
อะไร?จะเป็นสิ่งที่มาอบรมสติและจิต?
:b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2012, 22:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
เห็นมี....."เรา".....อยู่ตลอดทางเลยนะครับ
ถ้าบรรลุธรรมโดยมี..."เรา"...ตามไปตลอดอย่างนี้คงยังอยู่ใต้อำนาจของ ..."เรา"...แน่ๆเลยครับ
:b10:
เอา "เรา" ออกเสียให้ได้แต่แรก น่าจะหมดเรื่องหมดปัญหา หมดทุกข์ได้จริงๆกระมังครับ?


กระผมละงง...กับ..แนวของคุณอโสกะ...จริง ๆ..

ปัญญาผมคงน้อยไป...ก็เลยตาลายเห็นอโสกะ...แยกร่างได้...

จากข้อความนี้..

เอา "เรา" ออกเสียให้ได้แต่แรก น่าจะหมดเรื่องหมดปัญหา หมดทุกข์ได้จริงๆกระมังครับ?

ก็คิดว่าอโสกะ...เป็นพวก...ไม่มีเรา...เราไม่มี...เสียอีก

แต่พอมาถึง..บทนี้...
อ้างคำพูด:
ที่ผ่านมาเราสนทนากันแต่ในส่วนของเรื่องการชำระขยะที่มากองไว้ในใจเป็นส่วนใหญ่ แต่ การที่จะมีขยะเข้ามากองทับถมกันไว้ในใจนั้นถ้าเราได้รู้วิธีที่จะไม่รับขยะใหม่เข้ามาอีกคงจะเป็นการดีมิใช่น้อย

ดังที่เคยกล่าวมาแล้วว่า "สติ เปรียบได้กับฝาถังขยะ" ซึ่งทำงานร่วมกับ จิต อันเปรียบได้กับผู้คอยปิดเปิดถังขยะ

ดังนั้น สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้วจนเป็น "สัมมาสติ" นี่คือเครื่องมือหรือปราการด่านแรกหรือฝาปิดที่จะคอยกั้นมิให้มีขยะมาเพิ่มขึ้นในใจ"

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ....."สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้ว"

อะไร?จะเป็นสิ่งที่มาอบรมสติและจิต?


ก็เห็นอโสกะ...เป็นพวก...มีอะไรสักอย่างที่ต้องไปชำระ

ตกลงอโสกะ....เป็นแนวไหน..ละครับ

เมื่อไม่มีเรา...ตั้งแต่แรก......แล้วอโสกะ....จะมีอะไรให้ต้องชำระ?

ถ้าอะไร...อะไร...ก็อนัตตา....จะอบรมอนัตตาไปทำไม?...ดีแล้วเดียวมันก็สลายไปไม่ใช่รึ?

ส่วนผมนะ...เป็นพวก..เรามี..จิตมี...เลยไม่แปลกอะไร...ถ้าจะมาอบรมจิตหรือว่าเอาขยะออกจากใจ...

แล้วอโสกะ...เป็นแบบไหน...รึว่าเป็นแบบไหนก็ได้ที่พูดแล้วดูเป็นอภิมหาปรัชญา...ดูดีมีชาติตระกูล
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2012, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
ที่ผ่านมาเราสนทนากันแต่ในส่วนของเรื่องการชำระขยะที่มากองไว้ในใจเป็นส่วนใหญ่ แต่ การที่จะมีขยะเข้ามากองทับถมกันไว้ในใจนั้นถ้าเราได้รู้วิธีที่จะไม่รับขยะใหม่เข้ามาอีกคงจะเป็นการดีมิใช่น้อย
:b10:
ดังที่เคยกล่าวมาแล้วว่า "สติ เปรียบได้กับฝาถังขยะ" ซึ่งทำงานร่วมกับ จิต อันเปรียบได้กับผู้คอยปิดเปิดถังขยะ
:b44:
ดังนั้น สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้วจนเป็น "สัมมาสติ" นี่คือเครื่องมือหรือปราการด่านแรกหรือฝาปิดที่จะคอยกั้นมิให้มีขยะมาเพิ่มขึ้นในใจ"
:b44:
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ....."สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้ว"
:b53:
อะไร?จะเป็นสิ่งที่มาอบรมสติและจิต?
:b10:

สติต้องถูกอบรมด้วยสัมมาปัญญา ถึงจะเป็นสัมมาสติได้ บางคนคิดว่า ตัวเองวางเฉย เป็นกลาง ไม่เข้าไปยุ่งไม่เข้าไปมีความเห็น เป็นคนดีมีอุเบกขาวางเฉยอยู่อย่างเดียว คิดว่าตัวเอง มีสัมมาสติ มีอุเบกขา แต่จริงๆแล้ว การวางเฉยโดยไม่คิดวิเคราะไปตามเหตุปัจจัย บุคคลจำพวกนี้จะทำให้จุติด้วย กุศลวิบากที่เรียกว่า
อุเบกขาสันตีรณะกุศลวิบาก เพราะฉะนั้นก็อยากบอกว่า การจะวางเฉยอะไรก็ใช้ปัญญาด้วย เด่วเวลาไปจุติ จะกลายเป็นคนพิการ หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ เป็นโรคคนรวย(ออทิศติก)
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ใช้ วิจารณญาณ ใช้ปัญญาพิจารณาโดยธรรม เพราะคุนน้องพูดก็พูดออกมาจากความรู้หรือจิตใต้สำนึกที่รู้ได้เฉพาะตน เรื่องอจิณไตย อธิบายยาก ต้องรู้ด้วยตัวเอง :b8: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2012, 23:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำถาม..ที่ 2

asoka เขียน:
:b8:
กระบวนการซักใจนั้นมีอยู่ 2 จังหวะคือ
1.ซัก.....ได้แก่การ "นิ่งรู้"ปัจจุบันอารมณ์ (วิปัสสนา)
2.พัก.....ได้แก่การ "นิ่งอยู่"กับ ลม อารมณ์หรือกรรมฐาน (สมถะ)

:b48:


มันเป็น...สมถะ..ทั้งคู่....นั้นแหละ...

ไม่เคยจำ....เล้ย.... :b32:

"นิ่งอยู่" มันไม่ "รู้"...อะไรเลยรึงัย?...

ลมเข้า..รู้มั้ย....ลมออก....รู้มั้ย?...

เลิกเหอะ....นิ่งรู้...เป็นวิปัสสนา..นะ

ถ้าจะเป็น....มันก็หลัง...นิ่งรู้...ไปแล้ว....

หลัง...นิ่งอยู่...มันก็เป็นได้เหมือนกัน

เลิกเหอะนะ...ใช้คำสวย ๆ สำนวนงาม ๆ...คนมาใหม่เขาจะหลงเข้าใจผิดได้ง่าย

:b3: :b3: :b3:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 01:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าใจคุณกบครับ ผมก็เหมือนกัน ถ้านิ่งรู้ กับ กำหนดรู้มีความหมายเหมือนกัน กำหนดรู้น่าจะให้ความหมายที่เข้าใจง่ายกว่า เพราะกำหนดรู้ไม่ว่าจะเดิน จะนั่ง จะทำงาน อยู่นิ่งๆ นั่งสมาธิ เดินจงกลม ก็สามารถใช้ความหมายนี้ แต่นิ่งรู้คือสภาวะการกำหนดรู้แบบใด

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 04:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
เห็นมี....."เรา".....อยู่ตลอดทางเลยนะครับ
ถ้าบรรลุธรรมโดยมี..."เรา"...ตามไปตลอดอย่างนี้คงยังอยู่ใต้อำนาจของ ..."เรา"...แน่ๆเลยครับ
:b10:
เอา "เรา" ออกเสียให้ได้แต่แรก น่าจะหมดเรื่องหมดปัญหา หมดทุกข์ได้จริงๆกระมังครับ?


กระผมละงง...กับ..แนวของคุณอโสกะ...จริง ๆ..

ปัญญาผมคงน้อยไป...ก็เลยตาลายเห็นอโสกะ...แยกร่างได้...

จากข้อความนี้..

เอา "เรา" ออกเสียให้ได้แต่แรก น่าจะหมดเรื่องหมดปัญหา หมดทุกข์ได้จริงๆกระมังครับ?

ก็คิดว่าอโสกะ...เป็นพวก...ไม่มีเรา...เราไม่มี...เสียอีก

แต่พอมาถึง..บทนี้...
อ้างคำพูด:
ที่ผ่านมาเราสนทนากันแต่ในส่วนของเรื่องการชำระขยะที่มากองไว้ในใจเป็นส่วนใหญ่ แต่ การที่จะมีขยะเข้ามากองทับถมกันไว้ในใจนั้นถ้าเราได้รู้วิธีที่จะไม่รับขยะใหม่เข้ามาอีกคงจะเป็นการดีมิใช่น้อย

ดังที่เคยกล่าวมาแล้วว่า "สติ เปรียบได้กับฝาถังขยะ" ซึ่งทำงานร่วมกับ จิต อันเปรียบได้กับผู้คอยปิดเปิดถังขยะ

ดังนั้น สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้วจนเป็น "สัมมาสติ" นี่คือเครื่องมือหรือปราการด่านแรกหรือฝาปิดที่จะคอยกั้นมิให้มีขยะมาเพิ่มขึ้นในใจ"

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ....."สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้ว"

อะไร?จะเป็นสิ่งที่มาอบรมสติและจิต?


ก็เห็นอโสกะ...เป็นพวก...มีอะไรสักอย่างที่ต้องไปชำระ

ตกลงอโสกะ....เป็นแนวไหน..ละครับ

เมื่อไม่มีเรา...ตั้งแต่แรก......แล้วอโสกะ....จะมีอะไรให้ต้องชำระ?

ถ้าอะไร...อะไร...ก็อนัตตา....จะอบรมอนัตตาไปทำไม?...ดีแล้วเดียวมันก็สลายไปไม่ใช่รึ?

ส่วนผมนะ...เป็นพวก..เรามี..จิตมี...เลยไม่แปลกอะไร...ถ้าจะมาอบรมจิตหรือว่าเอาขยะออกจากใจ...

แล้วอโสกะ...เป็นแบบไหน...รึว่าเป็นแบบไหนก็ได้ที่พูดแล้วดูเป็นอภิมหาปรัชญา...ดูดีมีชาติตระกูล
:b32: :b32: :b32:

:b12:
คุณกบคงเหมารวมไปว่าผู้ที่มาอ่านกระทู้มีเพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มเก่าที่คร่ำหวอดอยู่ในลานฯ ไม่คิดว่าจะมีผู้ใหม่มาอ่านบ้างหรือเปล่าครับ แล้วตามธรรมนั้นผู้จะเข้าใจธรรมเห็นธรรมชัด บางท่านก็ชัด อนิจจัง บางท่านก็ชัด ทุกขัง บางท่านก็ชัด อนัตตา แล้วแต่ระดับศรัทธา สติ ปัญญา บารมีที่แต่ละคนสร้างสะสมมา
เปิดกว้างอีกสักนิด ฟังกันต่อไปอีกสักหน่อยแล้วจะค่อยๆเข้าใจไปเองนะครับ

:b16: :b16: :b16:
อนึ่งการ "กำหนดรู้" กับ "นิ่งรู้" นั้นจุดเริ่มต้นก็ต่างกันมาก
"กำหนดรู้ จะเป็นบัญญัติ เป็นอัตตา เต็มๆ "กำหนด" ถ้าพูดเป็นภาษาพ่อขุนฯก็คือคำพูดว่า "กูสั่ง"นั่นเอง

:b43:
แต่ "นิ่งรู้"นั้น เป็นเพียงการที่ สติ ปัญญา ไปเฝ้าสังเกตดูการทำงานตามธรรมชาติของกายและจิต ตามธรรมชาติของ สติและปัญญา หาใช่ กู ไปสั่งว่าต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้
:b39:
ความละเอียดในข้อนี้ก็เช่นกัน ต้องไปสังเกตและสัมผัสสภาวธรรมจริงๆกันดูจึงจะรู้ความนัยนะครับ ลองกันดูนะครับ คุณstudentด้วยต้องลองเข้าไปสังเกตสภาวธรรมจริงๆดูนะครับ อย่าคิดเอาด้วยตรรกะและความเห็น
:b31: :b31:
:b4: :b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 15 มิ.ย. 2012, 05:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 05:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คำถาม..ที่ 2

asoka เขียน:
:b8:
กระบวนการซักใจนั้นมีอยู่ 2 จังหวะคือ
1.ซัก.....ได้แก่การ "นิ่งรู้"ปัจจุบันอารมณ์ (วิปัสสนา)
2.พัก.....ได้แก่การ "นิ่งอยู่"กับ ลม อารมณ์หรือกรรมฐาน (สมถะ)

:b48:


มันเป็น...สมถะ..ทั้งคู่....นั้นแหละ...

ไม่เคยจำ....เล้ย.... :b32:

"นิ่งอยู่" มันไม่ "รู้"...อะไรเลยรึงัย?...

ลมเข้า..รู้มั้ย....ลมออก....รู้มั้ย?...

เลิกเหอะ....นิ่งรู้...เป็นวิปัสสนา..นะ

ถ้าจะเป็น....มันก็หลัง...นิ่งรู้...ไปแล้ว....

หลัง...นิ่งอยู่...มันก็เป็นได้เหมือนกัน

เลิกเหอะนะ...ใช้คำสวย ๆ สำนวนงาม ๆ...คนมาใหม่เขาจะหลงเข้าใจผิดได้ง่าย

:b3: :b3: :b3:

:b12: cry :b12: :b12:
ที่คุณกบวิตกวิจารณ์มาทั้งหมดนี่แสดงให้เห็นว่าคุณกบคงทำภาคปฏิบัติมาน้อย สัมผัสสภาวธรรมจริงๆมาน้อยเกินไปหรือความสังเกตยังไม่เข้าถึงมาตรฐาน จึงแยกไม่ออกว่า "นิ่งอยู่"กับอารมณ์ กับ "นิ่งรู้ ปัจจุบันอารมณ์"มีสภาวธรรมที่แตกต่างกันมาก ไม่ใช่เป็นสมถะทั้งคู่อย่างที่คุณกบและคุณstudentคิดเห็น
:b31:
ลองนั่งหลับตาสังเกตดูให้ดีกันซิครับ ตัวอย่างเช่น ลมหายใจที่เข้าออกนั้น จะทำให้เป็น สมถะภาวนาก็ได้ จะทำให้เป็น วิปัสสนาภาวนาก็ได้ ลองสังเกตดูแล้วดูว่าจะตีความข้อนี้ออกได้ไหมได้ผลประการใดเอามาเล่าสู่กันฟังนะครับ
:b31:
แล้วเมื่อจิต(สติ ปัญญา)นิ่งรู้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์มันเป็นวิปัสสนาภาวนาไปได้อย่างไร? ให้หาคำตอบดูด้วยการลงมือพิสูจน์ธรรมกันจริงๆ บอกใบ้ให้หน่อยก็ได้ว่า ปัจจุบันอารมณ์นั้นแสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลา จริงหรือไม่ คุณกบกับคุณStudentลองค้นหาความจริงดูจากการทำจริง อย่าคิดเอานะครับ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 05:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ที่ผ่านมาเราสนทนากันแต่ในส่วนของเรื่องการชำระขยะที่มากองไว้ในใจเป็นส่วนใหญ่ แต่ การที่จะมีขยะเข้ามากองทับถมกันไว้ในใจนั้นถ้าเราได้รู้วิธีที่จะไม่รับขยะใหม่เข้ามาอีกคงจะเป็นการดีมิใช่น้อย
:b10:
ดังที่เคยกล่าวมาแล้วว่า "สติ เปรียบได้กับฝาถังขยะ" ซึ่งทำงานร่วมกับ จิต อันเปรียบได้กับผู้คอยปิดเปิดถังขยะ
:b44:
ดังนั้น สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้วจนเป็น "สัมมาสติ" นี่คือเครื่องมือหรือปราการด่านแรกหรือฝาปิดที่จะคอยกั้นมิให้มีขยะมาเพิ่มขึ้นในใจ"
:b44:
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ....."สติและ จิต ที่ถูกอบรมมาดีแล้ว"
:b53:
อะไร?จะเป็นสิ่งที่มาอบรมสติและจิต?
:b10:

สติต้องถูกอบรมด้วยสัมมาปัญญา ถึงจะเป็นสัมมาสติได้ บางคนคิดว่า ตัวเองวางเฉย เป็นกลาง ไม่เข้าไปยุ่งไม่เข้าไปมีความเห็น เป็นคนดีมีอุเบกขาวางเฉยอยู่อย่างเดียว คิดว่าตัวเอง มีสัมมาสติ มีอุเบกขา แต่จริงๆแล้ว การวางเฉยโดยไม่คิดวิเคราะไปตามเหตุปัจจัย บุคคลจำพวกนี้จะทำให้จุติด้วย กุศลวิบากที่เรียกว่า
อุเบกขาสันตีรณะกุศลวิบาก เพราะฉะนั้นก็อยากบอกว่า การจะวางเฉยอะไรก็ใช้ปัญญาด้วย เด่วเวลาไปจุติ จะกลายเป็นคนพิการ หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ เป็นโรคคนรวย(ออทิศติก)
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ใช้ วิจารณญาณ ใช้ปัญญาพิจารณาโดยธรรม เพราะคุนน้องพูดก็พูดออกมาจากความรู้หรือจิตใต้สำนึกที่รู้ได้เฉพาะตน เรื่องอจิณไตย อธิบายยาก ต้องรู้ด้วยตัวเอง :b8: :b44: :b44:

:b8:
"สติต้องถูกอบรมด้วยสัมมาปัญญา ถึงจะเป็นสัมมาสติได้"
:b27:
สาธุ อุโมทนาเป็นอย่างยิ่งกับน้องคง ที่ได้คำตอบทันที เราคงจะได้สนทนากันในรายละเอียดของเรื่องนี้กันต่อไปอีกสักนิดหนึ่งนะครับ
:b20:
มีที่ห่วงใยอยู่นิดหนึ่งเพราะเจอบ่อยหลายครั้งคือเรื่องการประกาศตนว่า "ข้าพเจ้าบรรลุโสดาบันแล้ว"นั้นมันค่อนข้างจะหมิ่นเหม่และท้าทายพอสมควร ไม่เป็นสิ่งที่ควรกระทำพร่ำเพรื่อโดยไม่จำเป็นนะครับ ให้แสดงเป็นเฉพาะกิจเฉพาะกาลตามสมควรแก่กาละเทศะ บุคลและประชุมชนดีกว่านะครับ
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 07:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: cry :b12: :b12:
ที่คุณกบวิตกวิจารณ์มาทั้งหมดนี่แสดงให้เห็นว่าคุณกบคงทำภาคปฏิบัติมาน้อย สัมผัสสภาวธรรมจริงๆมาน้อยเกินไปหรือความสังเกตยังไม่เข้าถึงมาตรฐาน จึงแยกไม่ออกว่า "นิ่งอยู่"กับอารมณ์ กับ "นิ่งรู้ ปัจจุบันอารมณ์"มีสภาวธรรมที่แตกต่างกันมาก ไม่ใช่เป็นสมถะทั้งคู่อย่างที่คุณกบและคุณstudentคิดเห็น
:b31:
ลองนั่งหลับตาสังเกตดูให้ดีกันซิครับ ตัวอย่างเช่น ลมหายใจที่เข้าออกนั้น จะทำให้เป็น สมถะภาวนาก็ได้ จะทำให้เป็น วิปัสสนาภาวนาก็ได้ ลองสังเกตดูแล้วดูว่าจะตีความข้อนี้ออกได้ไหมได้ผลประการใดเอามาเล่าสู่กันฟังนะครับ
:b31:
แล้วเมื่อจิต(สติ ปัญญา)นิ่งรู้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์มันเป็นวิปัสสนาภาวนาไปได้อย่างไร? ให้หาคำตอบดูด้วยการลงมือพิสูจน์ธรรมกันจริงๆ บอกใบ้ให้หน่อยก็ได้ว่า ปัจจุบันอารมณ์นั้นแสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลา จริงหรือไม่ คุณกบกับคุณStudentลองค้นหาความจริงดูจากการทำจริง อย่าคิดเอานะครับ
onion


กระผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ...ผมปฏิบัติมาน้อย..จริง ๆ...

นิ่งรู้...มันสมถะ

รู้แต่ไม่นิ่ง...คือ..รู้แล้วมีวิตก..วิจารณ์...ในรู้ที่ปรากฏ...ได้ข้อคิดธรรมะ...มีปิติและสุขจากธรรมนั้น...แล้วเก็บใว้ในใจ(อย่างแยบคาย :b9: :b9: )...จึงจะเรียกว่าวิปัสสนา..ใช้สัญญาเกิดปัญญา..ครับ

นิ่งรู้...รู้แต่ไม่ขยับ...ปัญญาไม่เกิดหรอก...มันขยับมันคิด...ถึงจะมีโอกาสเกิดปัญญา...

นิ่งรู้...นิ่งรู้...แล้วเป็นวิปัสสนาเอง....ผมไม่เชื่อหรอกครับ...ยิ่งมาบอกว่ามีไตรลักษณ์..เห็นไตรลักษณ์อยู่ในนั้น...ยิ่งไม่เชื่อใหญ่....เมื่อไม่ได้วิปัสสนาแรก...ไม่ทำปัญญาให้เกิดแล้ว...ไตรลักษณ์ที่เห็นมันก็เป็นได้แค่สัญญา...ครับ....จะไปดีใจทำไมว่าเห็นไตรลักษณ์...พูดหลอกเด็กให้ดีใจไปงั้น...จะได้ประโยชน์อะไรกัน..คุณอโสกะ

ไม่ต้องบอกใบ้หรอกครับ..บอกตรง ๆ ให้ชัด ๆ มีประโยชน์กว่า...ใช้คำคม..คม...ดูดี..มีลึกลับ...คิดได้หลายแง่...แต่ปฏิบัติไม่ได้จริง...มันไม่มีประโยชน์
:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร